ในปี 2024 ความนิยมของ iPhone ยังคงแข็งแกร่งในตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลก ผู้ใช้งานหลายคนต่างมองหา iPhone ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านการถ่ายภาพและการเล่นเกมที่ลื่นไหล แต่การตัดสินใจเลือกซื้อ iPhone รุ่นที่เหมาะสมนั้นอาจไม่ง่ายนัก ในบทความนี้ เราจะเปรียบเทียบไอโฟนรุ่นต่าง ๆ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือก ไอโฟนรุ่นไหนดี ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
คำว่า "ดีที่สุด" สำหรับผู้ใช้งานแต่ละคนอาจมีนิยามที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของแต่ละคน ไอโฟนในปัจจุบันมีตัวเลือกหลากหลายตั้งแต่ iPhone 16 Series, iPhone 15 Series, iPhone 14 Series, iPhone 13 Series และ iPhone SE แต่ละรุ่นถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ในกลุ่มที่แตกต่างกัน
สำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่คุ้มค่า iPhone SE เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากราคาเข้าถึงได้ง่าย แต่ยังคงมีประสิทธิภาพจากชิป A15 Bionic ขณะเดียวกัน iPhone 13 Series หรือ iPhone 14 Series เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและราคา โดยเหมาะกับการใช้งานทั่วไป เช่น การถ่ายภาพ การเล่นเกมแบบปกติ หรือการใช้งานแอปพลิเคชันในชีวิตประจำวัน ส่วน iPhone 15 Series และ iPhone 16 Series นั้นเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเทคโนโลยีและฟีเจอร์ล่าสุด เช่น กล้องคุณภาพสูงหรือการเล่นเกมที่ลื่นไหลที่สุด
แม้จะสรุปคร่าวๆได้แบบนั้นแต่ในความจริงแล้วในรุ่นย่อยของแต่ละซีรี่ส์ก็มีความโดดเด่นในเรื่องของคุณภาพที่แตกต่างกันออกไปอีก ด้านล่างจะเป็นการเปรียบเทียบระหว่างรุ่นย่อยของซีรี่ส์ในด้านต่างๆ เช่นกล้อง หรือการเล่นเกม
ในส่วนนี้จะยกตัวอย่างกล้องไอโฟน 4 ซีรี่ส์ล่าสุดที่ยังคงมีจำหน่าย โดยเปรียบในรายละเอียดของกล้อง คุณสมบัติเด่นประจำรุ่นย่อยนั้นๆ โดยเป็นการสรุปเบื้องต้นในส่วนข้อมูลที่น่าสนใจประจำรุ่นเพียงเท่านั้น
iPhone 16 และ iPhone 16 Plus
ดีไซน์กล้องคู่แนวตั้ง: เปลี่ยนจากการจัดเรียงแบบแนวทแยง เพื่อความสวยงามและใช้งานง่าย
เลนส์หลัก 48 ล้านพิกเซล (f/1.6): มอบความละเอียดและคุณภาพในการถ่ายภาพที่ยอดเยี่ยม
เลนส์ Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล (f/2.2): อัปเกรดจาก iPhone 15 Pro พร้อมรองรับการถ่ายภาพมาโคร
ฟีเจอร์ถ่ายภาพ Spatial: รองรับการถ่ายภาพสำหรับ Vision Pro
วิดีโอ QuickTake: รองรับความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 60 fps ใน Dolby Vision
ระบบเสียง Spatial Audio: ลดเสียงลมรบกวนสำหรับวิดีโอที่คมชัดทั้งภาพและเสียง
iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max
ซูม 5 เท่า: รองรับการซูมออปติคัล 5 เท่าในทุกรุ่น Pro
เลนส์ Ultra Wide 48 ล้านพิกเซล: รองรับการถ่ายภาพมาโครคุณภาพสูง
เลนส์ Fusion Wide (f/2.2): เซ็นเซอร์ Quad Pixel รุ่นที่สอง รองรับภาพ RAW 48 ล้านพิกเซลแบบไม่มี shutter lag
วิดีโอ ProRes สูงสุด 4K ที่ 120 fps: เหมาะสำหรับมืออาชีพ พร้อมรองรับ SSD ภายนอก
บันทึกเสียง Spatial Audio: ไมโครโฟน 4 ตัวใหม่ ให้คุณภาพเสียงสมจริงและชัดเจน
ฟีเจอร์ Slo-mo 4K Dolby Vision: รองรับที่ 120 fps
ฟีเจอร์เด่นที่มีในทุกรุ่นของ iPhone 16 Series
ปุ่มควบคุมกล้องใหม่: เพิ่มความสะดวกในการเปลี่ยนโหมดและปรับการตั้งค่ากล้อง
Photographic Styles ใหม่: เลือกสไตล์ภาพถ่าย พร้อมดูตัวอย่างแบบเรียลไทม์
Audio Mix: ปรับแต่งเสียงในวิดีโอด้วยโหมด In-frame, Studio และ Cinematic
iPhone 15 และ iPhone 15 Plus
กล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล (f/1.6)
ใช้เซ็นเซอร์ที่ปรับปรุงจาก iPhone 14
เก็บแสงได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในสภาวะแสงน้อย
กล้องมุมกว้างความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (f/2.4)
เลนส์มุมกว้างที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพวิวหรือกลุ่มคน
จุดเด่น: การอัปเกรดกล้องหลักให้มีความละเอียดสูงขึ้นช่วยให้การถ่ายภาพกลางคืนและรายละเอียดในภาพดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า
iPhone 15 Pro
กล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล (f/1.8)
ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX803 ขนาด 1/1.3 นิ้ว
เพิ่มความคมชัดและลด noise ในภาพถ่าย
กล้องมุมกว้างความละเอียด 4 ล้านพิกเซล (f/2.8)
ปรับปรุงการถ่ายภาพมุมกว้างให้ได้คุณภาพที่ดีขึ้น
กล้อง Telephoto ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล (f/2.2)
การซูมแบบออปติคัลและเก็บรายละเอียดได้ดีกว่าเดิม
จุดเด่น: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการถ่ายภาพหลากหลายรูปแบบด้วยประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
iPhone 15 Pro Max
กล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล (f/1.8)
ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX803 เช่นเดียวกับรุ่น Pro
กล้องมุมกว้างความละเอียด 4 ล้านพิกเซล (f/2.8)
คุณภาพการถ่ายภาพมุมกว้างยังคงยอดเยี่ยม
กล้อง Telephoto ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล (f/2.2)
เลนส์ Periscope ระยะซูม 85 มม.
ซูมได้สูงสุด 5-10 เท่า พร้อมคุณภาพที่คมชัดกว่าเดิม
จุดเด่น: เลนส์ Periscope ในรุ่น Pro Max ทำให้การซูมไกลมีคุณภาพดีกว่าทุกรุ่นในซีรีส์นี้ เหมาะสำหรับการถ่ายภาพที่ต้องการรายละเอียดจากระยะไกล
iPhone 14 และ iPhone 14 Plus
กล้องหลัก:
ความละเอียด 12MP
รูรับแสง f/1.5
เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ขึ้น ช่วยให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น
กล้องมุมกว้าง (Ultra Wide):
ความละเอียด 12MP
รูรับแสง f/2.4
กล้องหน้า:
ความละเอียด 12MP
รูรับแสง f/1.9
เพิ่มระบบ Autofocus ช่วยให้การถ่ายภาพเซลฟีคมชัดมากขึ้น
iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max
กล้องหลัก:
ความละเอียด 48MP
รูรับแสง f/1.8
เทคโนโลยี Quad Bayer รวมพิกเซล 4-in-1 เพื่อเพิ่มความคมชัดในภาพถ่าย
รองรับการถ่ายภาพ ProRAW ความละเอียด 48MP
กล้องมุมกว้าง (Ultra Wide):
ความละเอียด 12MP
รูรับแสง f/2.2
ถ่ายภาพมาโครได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กล้อง Telephoto:
ความละเอียด 12MP
รูรับแสง f/2.8
รองรับการซูมออปติคัล 3 เท่า
กล้องหน้า:
ความละเอียด 12MP
รูรับแสง f/1.9
Autofocus พร้อมรองรับฟีเจอร์ Dynamic Island
iPhone 13 / iPhone 13 Mini
กล้องหลัง (Dual Camera)
เลนส์ Wide: ความละเอียด 12MP (f/1.6), เลนส์ 7 ชิ้น พร้อม Focus Pixel 100%
เลนส์ Ultra-Wide: ความละเอียด 12MP (f/2.4), มุมกว้าง 120 องศา
รองรับ Deep Fusion สำหรับเพิ่มรายละเอียดในภาพถ่ายที่มีแสงน้อย
กล้องหน้า (TrueDepth)
ความละเอียด 12MP (f/2.2)
รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K ที่ 60fps
รองรับ Dolby Vision HDR และโหมด Cinematic Mode
มีโหมดกลางคืน (Night Mode) สำหรับการถ่ายภาพในที่แสงน้อย
จุดเด่น: iPhone 13 และ iPhone 13 Mini เน้นการใช้งานกล้องที่ครบครันในราคาคุ้มค่า โดยให้ภาพถ่ายและวิดีโอคุณภาพดีในทุกสภาพแสง
iPhone 13 Pro
กล้องหลัง (Triple Camera)
เลนส์ Wide: ความละเอียด 12MP (f/1.5), เลนส์ 7 ชิ้น พร้อม OIS และ Focus Pixel 100%
เลนส์ Ultra-Wide: ความละเอียด 12MP (f/1.8), มุมมองภาพ 120 องศา
เลนส์ Telephoto: ความละเอียด 12MP (f/2.8), รองรับการซูมออปติคัล 3 เท่า
รองรับ Apple ProRAW และ Deep Fusion
เพิ่ม LiDAR Scanner ช่วยให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยแม่นยำขึ้น และยกระดับการใช้งาน AR
กล้องหน้า (TrueDepth)
ความละเอียด 12MP (f/2.2)
รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K ที่ 60fps
รองรับ HDR แบบ Dolby Vision
รองรับ ProRes Video สูงสุด 4K ที่ 30fps
จุดเด่น: iPhone 13 Pro เพิ่มฟีเจอร์ระดับมืออาชีพทั้งในด้านภาพนิ่งและวิดีโอ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานฟีเจอร์ขั้นสูง
iPhone 13 Pro Max
กล้องหลัง (Triple Camera)
เลนส์ Wide: ความละเอียด 12MP (f/1.5), เลนส์ 7 ชิ้น พร้อม OIS และ Focus Pixel 100%
เลนส์ Ultra-Wide: ความละเอียด 12MP (f/1.8), มุมมองภาพ 120 องศา
เลนส์ Telephoto: ความละเอียด 12MP (f/2.8), รองรับการซูมออปติคัล 3 เท่า
รองรับ Apple ProRAW และ Deep Fusion
มี LiDAR Scanner ช่วยเพิ่มมิติในการถ่ายภาพและ AR
กล้องหน้า (TrueDepth)
ความละเอียด 12MP (f/2.2)
รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K ที่ 60fps
รองรับ HDR แบบ Dolby Vision
รองรับ ProRes Video สูงสุด 4K ที่ 30fps
จุดเด่น: iPhone 13 Pro Max มีสเปกกล้องเหมือนกับ iPhone 13 Pro แต่ได้เปรียบในเรื่องแบตเตอรี่ที่อึดกว่า เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต่อเนื่องยาวนาน
หากคุณข้อมูลเพิ่มเติมหรือมองหาราคาพิเศษของ iPhone 13 คลิกลิ้งก์ได้เลย
สรุป: ไอโฟนรุ่นไหนมีกล้องที่ดีที่สุดในด้านต่าง ๆ
การเลือก iPhone ที่มีกล้องดีที่สุดขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะด้าน เช่น การถ่ายภาพในที่แสงน้อย, การถ่ายวิดีโอ หรือการถ่ายภาพบุคคล ด้านล่างคือสรุปความโดดเด่นของแต่ละรุ่น:
1. การถ่ายภาพในที่แสงน้อย (Low Light Photography)
ดีที่สุด: iPhone 15 Pro Max และ iPhone 16 Pro Max
เหตุผล:
เซ็นเซอร์กล้องหลัก 48MP แบบ Quad Bayer ที่รับแสงได้ดีเยี่ยม
รูรับแสงกว้าง (f/1.8) ช่วยเพิ่มแสงในสภาพแวดล้อมมืด
LiDAR Scanner (ในรุ่น Pro/Pro Max) ช่วยปรับโฟกัสในที่แสงน้อยอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
รองลงมา: iPhone 14 Pro และ iPhone 15 Pro
2. การถ่ายวิดีโอ (Video Recording)
ดีที่สุด: iPhone 15 Pro Max และ iPhone 16 Pro Max
เหตุผล:
รองรับการถ่ายวิดีโอ ProRes 4K ที่ 120 fps (ในรุ่น Pro)
Dolby Vision HDR และระบบเสียง Spatial Audio ทำให้วิดีโอมีคุณภาพระดับมืออาชีพ
เทคโนโลยีการลดเสียงรบกวน (Wind Noise Reduction) ช่วยให้วิดีโอเสียงคมชัด
รองลงมา: iPhone 14 Pro และ iPhone 15 Pro
3. การถ่ายภาพบุคคล (Portrait Photography)
ดีที่สุด: iPhone 16 Pro Max และ iPhone 15 Pro Max
เหตุผล:
เลนส์ Telephoto แบบ Periscope ในรุ่น Pro Max ช่วยสร้างระยะโฟกัสที่สมจริง
การผสานเทคโนโลยี LiDAR กับ Portrait Mode ทำให้ภาพบุคคลดูมีมิติมากขึ้น
โหมด Photographic Styles ที่ปรับแต่งได้ตามต้องการ
รองลงมา: iPhone 14 Pro และ iPhone 13 Pro
Apple พัฒนาเทคโนโลยีของชิปเซ็ตใน iPhone รุ่นใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านการเล่นเกม ซึ่งต้องการประสิทธิภาพสูง ทั้งการประมวลผลกราฟิกที่ลื่นไหล การควบคุมอุณหภูมิ และการแสดงผลหน้าจอที่ตอบสนองเร็ว
บทความในส่วนนี้เป็นการกล่าวถึงประสิทธิภาพของชิปในการเล่นเกมว่ารองรับการเล่นเกมได้ดีมากเพียงใด โดยแยกตามรุ่นชิปเซ็ต ข้อมูลจะสามารถสรุปได้ดังนี้
เทคโนโลยีการผลิต 3 นาโนเมตร: ประสิทธิภาพการทำงานและพลังงานดีขึ้นกว่าชิป 4 นาโนเมตรเดิม
กราฟิก (GPU):
GPU แบบ 6-core ใหม่ รองรับ Ray Tracing แบบฮาร์ดแวร์ ช่วยให้กราฟิกในเกมมีความสมจริงมากขึ้น
ความเร็วในการประมวลผลกราฟิกเพิ่มขึ้น ~20%
ความสามารถพิเศษ:
รองรับเกมที่มีกราฟิกหนัก เช่น Genshin Impact, Honkai: Star Rail ในเฟรมเรตสูงสุด
การจัดการพลังงานทำให้เล่นเกมต่อเนื่องได้นานขึ้นโดยไม่ลดความเร็ว (Thermal Throttling ต่ำ)
หน้าจอ: ProMotion 120Hz ปรับเฟรมเรตตามเนื้อหาเกมได้อย่างลื่นไหล
ระบบระบายความร้อน:
ใช้ระบบระบายความร้อนที่ปรับปรุงใหม่ ลดความร้อนสะสมจากการเล่นเกมยาวนาน
หากคุณข้อมูลเพิ่มเติมหรือมองหาราคาพิเศษ คลิก iPhone 16 Pro Max
เทคโนโลยีการผลิต 3 นาโนเมตร: พลังงานและประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าชิป A16
กราฟิก (GPU):
GPU แบบ 6-core รองรับ Ray Tracing แบบซอฟต์แวร์ ทำให้ภาพกราฟิกในเกมสมจริง
การประมวลผลกราฟิกเร็วขึ้น ~25% เมื่อเทียบกับ A16
ความสามารถพิเศษ:
รองรับเกม AAA ระดับคอนโซล เช่น Resident Evil 4 Remake และ Assassin's Creed Mirage
พลังการประมวลผล AI ช่วยปรับปรุงเอฟเฟกต์ในเกมให้สมจริง
หน้าจอ: ProMotion 120Hz รองรับการเล่นเกมได้ลื่นไหล
ระบบระบายความร้อน:
ดีกว่า iPhone 14 Pro/Pro Max แต่ยังคงมีความร้อนเมื่อเล่นเกมที่มีกราฟิกหนักต่อเนื่อง
หากคุณข้อมูลเพิ่มเติมหรือมองหาราคาพิเศษ คลิก iPhone 15 Pro
เทคโนโลยีการผลิต 4 นาโนเมตร: ประสิทธิภาพและการจัดการพลังงานดีกว่าชิป A15
กราฟิก (GPU):
GPU แบบ 5-core รองรับ Metal 3 API ทำให้เกมที่รองรับ iOS ดึงประสิทธิภาพสูงสุดออกมาได้
ประมวลผลกราฟิกเร็วขึ้น ~10% เมื่อเทียบกับ A15
ความสามารถพิเศษ:
รองรับเกมที่มีกราฟิกระดับกลางถึงสูง เช่น PUBG Mobile หรือ Call of Duty Mobile
ไม่รองรับ Ray Tracing
หน้าจอ: ProMotion 120Hz แต่เฟรมเรตในเกมระดับ AAA อาจไม่สูงสุดเหมือน A17 หรือ A18
ระบบระบายความร้อน:
ดีพอสำหรับการเล่นเกมทั่วไป แต่ความร้อนสะสมในเกมที่ใช้กราฟิกสูงยังเกิดขึ้นได้
เทคโนโลยีการผลิต 5 นาโนเมตร: มีประสิทธิภาพต่ำกว่าชิป A16, A17 และ A18 แต่ยังคงเร็วเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนทั่วไป
กราฟิก (GPU):
GPU แบบ 5-core รองรับ Metal 2 API สำหรับการเล่นเกมพื้นฐาน
ประมวลผลกราฟิกเร็วเพียงพอสำหรับเกมที่ใช้กราฟิกปานกลาง
ความสามารถพิเศษ:
เหมาะสำหรับเกมทั่วไป เช่น Mobile Legends หรือ Free Fire
อาจประสบปัญหาเฟรมเรตตกในเกมที่ใช้กราฟิกสูง
หน้าจอ: ProMotion 120Hz แต่ฮาร์ดแวร์ GPU จำกัดเฟรมเรตในเกมระดับสูง
ระบบระบายความร้อน:
อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นเมื่อเล่นเกมหนักต่อเนื่อง
สรุป: ไอโฟนรุ่นไหนเหมาะกับการเล่นเกมมากที่สุด
iPhone 16 Pro/Pro Max: ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเกมเมอร์ระดับฮาร์ดคอร์ ด้วย Ray Tracing, GPU ใหม่, และระบบระบายความร้อนที่เหนือกว่า
iPhone 15 Pro/Pro Max: คุ้มค่าที่สุดสำหรับเกมเมอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในราคาย่อมเยากว่า
iPhone 13 Pro/Pro Max: เหมาะสำหรับเกมเมอร์ทั่วไปที่ต้องการจอ 120Hz และการเล่นเกมที่ยังลื่นไหลในราคาประหยัด
หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ไอโฟน หรือมีคำถามเกี่ยวกับไอโฟน สามารถค้นหาข้อมูล ศึกษาเพิมเติมเพื่อค้นหาว่า iPhone รุ่นไหนดี ที่เหมาะกับคุณ นอกจากในส่วนของข้อมูลและรายละเอียดแล้ว เว็บไซต์ A Lot Tech ยังมาพร้อมดีลสุดพิเศษให้คุณได้เลือกซื้อในราคาพิเศษอีกด้วย เข้าชมเว็บไซต์ได้ที่ A Lot Tech
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที