ส่งของไปญี่ปุ่น ง่ายนิดเดียว! จัดส่งถึงมือปลายทางแบบรวดเร็ว
ส่งของไปญี่ปุ่นง่าย ๆ ด้วยบริการครบวงจร ทั้งค่าส่งของจากไทยไปญี่ปุ่นราคาเริ่มต้นเบา ๆ ไม่ว่าจะส่งของเพื่อธุรกิจหรือของใช้ส่วนตัว พร้อมจัดส่งไวถึงปลายทางได้อย่างมั่นใจ
อยากส่งของขวัญไปเซอร์ไพรส์เพื่อนที่ญี่ปุ่น หรือจะส่งสินค้าไปขายที่นั่น แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง? ส่งของไปญี่ปุ่น อาจดูเหมือนเรื่องยุ่งยาก แต่ถ้ารู้เคล็ดลับและเลือกบริการให้เหมาะสม ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะในปัจจุบันมีบริการขนส่งพัสดุไปญี่ปุ่นที่หลากหลายและสะดวกสบายมากขึ้น
บทความนี้จะพาทุกคนไปไขข้อข้องใจทุกอย่างเกี่ยวกับการส่งของไปญี่ปุ่น ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมของ วิธีเลือกช่องทางขนส่ง ไปจนถึงค่าส่งของไปญี่ปุ่นที่ต้องเตรียมพร้อม ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หัดส่ง หรือผู้มีประสบการณ์แล้ว ก็สามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างแน่นอน พร้อมแล้วไปลุยกันเลย!
ส่งของไปญี่ปุ่น ง่ายนิดเดียว! เลือกช่องทางไหนดี?
การส่งของไปประเทศญี่ปุ่นมีหลากหลายช่องทางให้เลือกใช้ แต่ละช่องทางมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า ปริมาณ และความเร่งด่วนในการส่งมอบ มาดูกันว่ามีช่องทางไหนบ้าง และแต่ละช่องทางเหมาะกับการส่งอะไร
ช่องทางการส่งของไปญี่ปุ่น
-
ทางอากาศ (Air Freight): ส่งของไปญี่ปุ่นได้รวดเร็วที่สุด เหมาะสำหรับสินค้ามีมูลค่าสูง สินค้าที่ต้องการความสดใหม่ หรือสินค้าที่ต้องการส่งด่วน เช่น อาหารสด เสื้อผ้าแฟชั่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แต่ค่าขนส่งค่อนข้างสูง
-
ทางทะเล (Sea Freight): ขนส่งที่มีค่าส่งของจากไทยไปญี่ปุ่นถูกที่สุด เหมาะสำหรับสินค้าที่มีน้ำหนักมาก หรือสินค้าที่ไม่รีบด่วน เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องจักร วัตถุดิบ แต่ใช้เวลานานในการขนส่ง
-
บริการไปรษณีย์ (Postal Service): เป็นช่องทางส่งของจากไทยไปญี่ปุ่นที่สะดวก รวดเร็ว เหมาะสำหรับพัสดุขนาดเล็กถึงกลาง เช่น ของขวัญส่วนตัว หนังสือ เอกสาร แต่ค่าขนส่งอาจสูง เมื่อเทียบกับปริมาณสินค้า
-
บริการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ (International Express): ขนส่งรวดเร็ว มีบริการรับส่งถึงที่ ติดตามพัสดุได้ตลอดเวลา เหมาะสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าสูง หรือสินค้าที่ต้องการความปลอดภัย แต่ส่งพัสดุไปญี่ปุ่น ราคาค่าขนส่งสูง
เลือกช่องทางไหนดี?
-
พิจารณาจากประเภทของสินค้า: ส่งของไปญี่ปุ่นเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงหรือต้องการความรวดเร็ว ควรเลือกทางอากาศ หรือบริการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ สินค้ามีน้ำหนักมากและไม่รีบด่วน ควรเลือกทางทะเล
-
พิจารณาจากปริมาณสินค้า: ส่งของจากไทยไปญี่ปุ่น หรือส่งของจากญี่ปุ่นไปไทย หากเป็นสินค้าปริมาณมาก ควรเลือกทางทะเลหรือบริการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
-
พิจารณาจากระยะเวลาขนส่ง: ส่งของไปญี่ปุ่น หากต้องการให้สินค้าถึงปลายทางเร็วที่สุด ควรเลือกทางอากาศหรือบริการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ
-
พิจารณาจากงบประมาณ: ทางทะเลจะมีค่าใช้จ่ายถูกที่สุด แต่ใช้เวลานานที่สุด
ส่งของไปญี่ปุ่น ค่าใช้จ่ายที่ควรรู้
การส่งของไปญี่ปุ่นอาจดูยุ่งยาก แต่ก็สะดวกสบายกว่าที่คิด ค่าใช้จ่ายในการส่งของไปประเทศญี่ปุ่นขึ้นอยู่กับค่าจัดส่งและภาษีต่าง ๆ ดังนี้
-
ค่าจัดส่งในการส่งของไปญี่ปุ่น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่
-
น้ำหนักและขนาดของสินค้า: สินค้าที่มีน้ำหนักและขนาดใหญ่จะมีค่าจัดส่งสูงกว่าสินค้าที่มีขนาดเล็ก
-
ระยะทาง: ระยะทางจากจุดส่งในประเทศไทยไปยังปลายทางในญี่ปุ่นมีผลต่อค่าจัดส่ง
-
ประเภทของบริการ: บริการขนส่งของจากไทยไปญี่ปุ่นแบบด่วน จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าบริการขนส่งปกติ
-
บริษัทขนส่ง: แต่ละบริษัทจะมีอัตราค่าบริการแตกต่างกันไป
-
ภาษี: การส่งของไปญี่ปุ่นอาจมีการเรียกเก็บภาษี ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า มูลค่าของสินค้า และกฎหมายของประเทศญี่ปุ่น
-
สินค้าส่วนบุคคล: ส่งของไปประเทศญี่ปุ่น หากเป็นสินค้าส่วนบุคคล เช่น ของขวัญ อาจมีข้อยกเว้นภาษีในปริมาณที่เหมาะสม แต่หากมีมูลค่าสูงเกินไป อาจต้องเสียภาษี
-
สินค้าเพื่อการค้า: สินค้าเพื่อการค้าจะต้องเสียภาษีนำเข้าตามอัตราที่กำหนด ซึ่งแตกต่างกันไปตามประเภทของสินค้า
ค่าส่งพัสดุไปญี่ปุ่น หากสินค้ามีมูลค่าต่ำกว่า 10,000 เยน หรือประมาณ 2,200 บาท ไม่ต้องเสียภาษี แต่หากสินค้ามีมูลค่าเกินจะเก็บภาษีในอัตราที่จำแนกแต่ละประเภท เช่น เสื้อผ้าเสียภาษีนำเข้า 20%, เครื่องดื่มชา กาแฟ เสียภาษีนำเข้า 15% ของชำร่วยหรือสินค้าอุปโภคเสียภาษีนำเข้า 3% เป็นต้น
สรุปค่าจัดส่งและภาษีเมื่อส่งของไปญี่ปุ่น มีความซับซ้อนและขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย การวางแผนและเตรียมข้อมูลให้พร้อมก่อนส่งของจะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้
ส่งของไปญี่ปุ่น ใช้ระยะเวลานานแค่ไหน? มาดูกัน!
ระยะเวลาในการส่งของไปญี่ปุ่นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ช่องทางการขนส่ง ประเภทของสินค้า ช่วงเวลา และระยะทางจุดหมายปลายทาง โดยทั่วไปแล้ว จะใช้เวลาประมาณดังนี้
ช่องทางการขนส่งของไปต่างประเทศญี่ปุ่นและระยะเวลาโดยประมาณ ดังนี้
-
ทางอากาศ (Air Freight):
-
รวดเร็วที่สุด: เหมาะสำหรับสินค้าต้องการความรวดเร็ว เช่น ของสด สินค้าแฟชั่น หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
-
ระยะเวลา: ประมาณ 2-5 วันทำการ (ไม่รวมเวลาดำเนินการศุลกากร)
-
ทางทะเล (Sea Freight):
-
ประหยัดที่สุด: เหมาะสำหรับสินค้ามีน้ำหนักมากและไม่เร่งด่วน
-
ระยะเวลา: ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน ขึ้นอยู่กับท่าเรือต้นทางและปลายทาง
-
บริการไปรษณีย์ (Postal Service):
-
สะดวก รวดเร็ว: เหมาะสำหรับส่งพัสดุไปญี่ปุ่นที่มีขนาดเล็ก
-
ระยะเวลา: ประมาณ 3-10 วันทำการ ขึ้นอยู่กับบริการที่เลือก
-
บริการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ (International Express):
-
รวดเร็ว มีบริการเสริม: เหมาะสำหรับสินค้ามีมูลค่าสูง หรือต้องการความปลอดภัย
-
ระยะเวลา: ประมาณ 2-4 วันทำการ (ไม่รวมเวลาดำเนินการศุลกากร)
สิ่งของต้องห้ามส่งไปญี่ปุ่น รู้ก่อนส่ง เพื่อความปลอดภัย
การส่งของไปญี่ปุ่นอาจมีข้อจำกัดบางประเภท เพื่อป้องกันอันตรายต่อสุขภาพ สัตว์ และสิ่งแวดล้อมของประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นก่อนจะส่งของไปประเทศญี่ปุ่น ควรศึกษาสิ่งของต้องห้ามนำเข้าให้เข้าใจก่อน เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้
สิ่งของต้องห้ามส่งไปญี่ปุ่นโดยทั่วไป ได้แก่
-
อาหาร: ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ทุกชนิด ห้ามส่งพัสดุไปญี่ปุ่น เช่น เนื้อวัว หมู ไก่ ไข่ นม เนย ชีส อาหารทะเล อาหารกระป๋อง อาหารแปรรูป ผัก ผลไม้สด พืชพันธุ์ ธัญพืช เมล็ดพืช อาหารปรุงสุก และน้ำผึ้ง
-
สัตว์: สัตว์มีชีวิตทุกชนิด ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น ขนสัตว์ หนังสัตว์ งาช้าง แมลงและไข่แมลง
-
พืช: พืชสด ต้นไม้ ดอกไม้ ดิน และเมล็ดพืช
-
ยา: ยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ยาเสพติด หรืออาหารเสริมบางชนิด
-
สิ่งของอันตราย: อาวุธ ปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด สารเคมีอันตราย สารกัมมันตรังสี และสิ่งของที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
-
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: เหล้า วิสกี้ สาเก โซจู เบียร์ รวมถึงเหล้าสำหรับการทำอาหาร
-
สินค้าลอกเลียนแบบ: สินค้าปลอม หรือสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์
-
สิ่งของอื่นๆ ที่กฎหมายญี่ปุ่นห้าม: เงินปลอมหรือสินค้าที่ผิดกฎหมาย
สรุปส่งของไปญี่ปุ่น ง่ายนิดเดียว!
ส่งของไปญี่ปุ่นไม่ยุ่งยาก หากเข้าใจขั้นตอนและกฎระเบียบ ก่อนส่งต้องเช็กลิสต์สิ่งของต้องห้ามอย่างละเอียด เพราะญี่ปุ่นมีกฎหมายที่เข้มงวด ช่องทางขนส่งของไทยไปญี่ปุ่น มีทั้งทางอากาศรวดเร็วค่าใช้จ่ายสูง ทางทะเลประหยัดใช้เวลานาน หรือบริการไปรษณีย์ที่สะดวก แต่ละช่องทางมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ควรเลือกให้เหมาะกับประเภทของสินค้าหรือความเร่งด่วน รวมทั้งอย่าลืมเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน เพื่อจะได้ส่งของไปประเทศญี่ปุ่นได้อย่างราบรื่น
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที
- ตอนที่ 1 : ส่งของไปญี่ปุ่น ง่ายนิดเดียว! จัดส่งถึงมือปลายทางแบบรวดเร็ว