วันนี้ว่าจะเล่าเรื่องอีดำ แต่พอเปิดบันทึกเรื่องอีพะโล้ พบความเห็นของน้องจิ เลยต้องกลับมาเล่าอีพะโล้ภาค ๒ ซะก่อนเพื่อสนับสนุนปุยฝ้ายของน้องจิเขา ..........เข้าเรื่องเลยนะ คืองี้ ปีนี้อีพะโล้มันออกลูกประมาณ สัก ๘ ตัวได้กระมัง และค่าที่มันเป็นหมามีระเบียบวินัยและรักโรงเรียนเป็นที่ยิ่งดังได้กล่าวไว้ในตอนก่อนแล้ว ดังนั้นพอลูกมันเริ่มเดินได้เตาะแตะ บรรดาผู้อยู่ใกล้เคียงและผู้รับรู้ชื่อเสียงของอีพะโล้ต่างก็อยากได้ลูกของมันและพยายามขโมยของมันไปทุกวัน ............เกิดเหตุบรรดาครูและนักการ ภารโรงประชุมสภาแล้วลงความเห็นว่าควรจะเก็บลูกของอีพะโล้ครอกนี้ไว้สักหนึ่งตัวเพื่อสืบทายาทหรือสกุลของมัน และเล็งเห็นว่าปีนี้อีพะโล้ก็แก่มากมากแล้ว ข้อนี้มีหลักฐานยืนยัน ในฤดูกาลผสมพันธุ์รอบนี้ไม่มีหมาหนุ่มตัวไหนเหลียวมองอีพะโล้เลย มันหันไปสนใจอีดำหมาวัยกำดัดซึ่งกำลังแตกเนื้อสาวซิง ๆ ทำให้ในปีนี้อีพะโล้ท้องว่างไปหนึ่งสมัย..............การที่จะออกกฎกับนักเรียนว่าใครอย่าเอาลูกอีพะโล้ไปนะ ........ห้ามยากมากเหมือนห้ามเอากล้วยออกจากปากลิงยังไงยังงั้นแหละ ........ และแล้วที่ประชุมสภาก็มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าเอาลูกอีพะโล้ไปไว้บ้านยายทุเรียนตาเริง นักการ ภารโรงซึ่งอยู่หลังบ้านของฉัน .....ใครๆ ก็มาดูแลมันในยามว่างและยามเย็นรวมทั้งเพื่อนำอีพะโล้ให้ไปพบกับลูกของมันด้วย ....หมาที่โรงเรียนฉันมันแปลกนะมันแบ่งเขตกันชัดเจนถ้าข้าไม่ยอมเอ็งอย่าแหยม อีพะโล้ก็อีพะโล้เถอะ ซ่าส์ แค่ไหนก็ต้องยอมเจ้าถิ่นเหมือนกัน.( มันต้องอาศัยคนพาไป ).........ลูกมันอยู่บ้านยายทุเรียนได้สัก ๑ เดือน ยายทุเรียนก็อุ้มอีปุย หรืออีปุกปุย ลูกของอีพะโล้มาบ้านครูดวงจันทร์ซึ่งอยู่หน้าบ้านฉัน พร้อมกับขอร้องให้ครูดวงจันทร์เลี้ยงดูอีปุยต่อไปเนื่องด้วยตนไม่มีเงินพอที่จะซื้อนมให้มันกิน ( งงงงง?????? ) อีปุยก็ได้มาอยู่บ้านครูดวงฯตั้งแต่บัดนั้น เขาเอามันเข้าไปเลี้ยงในบ้านค่าที่มันตัวยังเล็กนักและเกรงว่ามันจะหนาวฝนตายซะก่อน ........ฝ่ายอีพะโล้เขาไม่ให้เข้าบ้านเนื่องด้วยกลิ่นพะโล้ของมันและมันคงไม่น่ารักเท่าอีปุย...............ทุกเช้าเวลาตี ๕ ฉันจะได้ยินเสียงครูดวงจันทร์พูดเรื่องอีปุยโดยไม่มีใครถามแต่จะมีคนคุยต่อไปในเรื่องของมัน ..........เวลาตี ๕ อีพะโล้จะมาเคาะประตูบ้านเพื่อขอให้นมลูก เสร็จแล้วก็ไปปฏิบัติภารกิจของมันที่โรงเรียน สาย ๆ หน่อยก็็จะมาอีกเหมือนกับว่าอยากจะอยู่กับลูก ....ครูดวงแกก็เอาอีปุยไปโรงเรียนด้วยตามมติสภาฯ เพื่อฝึกให้มันรู้จักโรงเรียน นักเรียนและได้อยู่กับแม่ของมันตามโครงการแม่ลูกอ่อนในสถานที่ทำงานประมาณนั้นแหละ ตกเย็นก็เอามันกลับบ้าน ......บางวันอีพะโล้มาหาลูกช้า อีปุยก็จะขึ้นกระได ( เด็ก ๆ ต้องเรียกกระได ) ไปเคาะประตูห้องนอนครูดวงให้เปิดบ้านให้เพื่อมันจะได้ออกมาคอยแม่ของมันและทำธุระเกี่ยวกับท้องไส้ของมันเอง ...............อยู่มาวันหนึ่งประมาณ ๓ ทุ่มได้ยินยายทุเรียนมาร้องเรียกครูดวงที่หน้าบ้านนัยว่าเอาอีปุยมาส่ง แกบอกครูดวงว่าเปิดประตูบ้านออกมาเห็นมันนอนอยู่ที่หน้าบ้านไล่ให้มันกลับบ้านมันก็ทำนอนเฉย ๆ ชวนมันกลับบ้านบอกว่าจะมาส่งมันก็ไม่สนใจ สงสัยมันจะงอนครูดวงละมั้ง ครูดวงทำอะไรให้มันโกรธหรือเปล่า................ครูดวงรับมันเข้าบ้าน............. ...........วันนี้อีปุย เอ้ๆ แอ่น ๆ ไม่ยอมเข้าบ้าน จนใกล้ค่ำครูดวงเปิดบ้านร้องเรียกมันปรากฏว่ามันกำลังคลอเคลียอยู่กับอีพะโล้แม่ของมัน และทำเดินคลอเคลียเพื่อเข้าบ้านทั้งแม่ทั้งลูก ทันใดนั้นเสียงครูดวงตวาดแว้ด!!! หยุดเลย ๆ ทั้งแม่ทั้งลูก แค่ลูกมึงตัวเดียวก็พอแล้วอีพะโล้มึงไม่ต้องเข้า บ้านมันคับแคบ ....................อีพะโล้หยุดมองดู ครูดวงและอีปุยที่เข้าบ้านไปพร้อมกับปิดประตู ..............ทำให้นึกถึงเรื่องอีเขียวของคุณมานพ ถนอมศรี ที่เพิ่งอ่านไปเมื่อวันก่อน .................เป็นไงคะที่มาที่ไปของปุยฝ้าย .......ยังไม่เคยได้ยินใครเรียกอีปุยว่าปุยฝ้ายเลย แสดงว่าเด็กนักเรียนอาจตั้งชื่อให้มันใหม่โดยที่ครูพรรณาตกไทยรัฐ เดลินิวส์ มติชน ข่าวสด ข่าวแห้ง แน่ ๆ เลยใช่ไหมน้องจิ ดังนั้นคุณสมควรเรียกมันว่า อีปุย.............หรือปุยฝ้ายดี ............เลือกเอานะคะ .............งานนี้ครูพรรณเล่าช่วยน้องจิ
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที