sriracha

ผู้เขียน : sriracha

อัพเดท: 31 ก.ค. 2024 02.58 น. บทความนี้มีผู้ชม: 50 ครั้ง

SDLC เปรียบเสมือนกุญแจสำคัญของการพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่จะทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพได้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งาน


SDLC คืออะไร? แบบแผนในการเริ่มต้นพัฒนาซอฟต์แวร์

sdlc

เคยไหมที่ทำโปรเจคซอฟต์แวร์ไปแล้ว เกิดล้มเหลวขึ้นมากลางทาง ใช้งบประมาณบานปลาย หรือพัฒนาฟีเจอร์ออกมาไม่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ปัญหาเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นได้บ่อยครั้งในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งได้มีสิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้นั่นคือ SDLC หรือ Software Development Lift Cycle นั่นเอง 

ในบทความนี้ เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ SDLC อย่างลึกซึ้ง เผยให้เห็นถึงประโยชน์มากมายที่จะช่วยยกระดับโปรเจคซอฟต์แวร์ของคุณ พร้อมทั้งแนะนำแนวทางการนำ SDLC ไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการพัฒนาซอฟต์แวร์ยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความสำเร็จกันเลย!

SDLC (Software Development Lifecycle) คืออะไร?

SDLC คือ

Software Development Life Cycle (SDLC) คือ กระบวนการที่ครอบคลุมตั้งแต่การเริ่มต้นไอเดียในการพัฒนาซอฟต์แวร์ไปจนถึงการส่งมอบและบำรุงรักษา เปรียบเสมือนแผนงานที่กำหนดแนวทางและขั้นตอนต่าง ๆ ในการพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างเป็นระบบ ช่วยให้มั่นใจว่าซอฟต์แวร์ที่ได้นั้น จะตรงตามความต้องการ มีประสิทธิภาพ สามารถใช้งานได้ง่าย และสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้ 

โดยทั่วไปแล้วขั้นตอนการทำ SDLC จะมี 7 ขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้

  1. วางแผนและวิเคราะห์ความต้องการ
  2. การออกแบบ
  3. การพัฒนา
  4. การทดสอบ
  5. การนำไปใช้งาน
  6. การสนับสนุนและแก้ไข
  7. การบำรุงรักษา

การปฏิบัติตามขั้นตอน SDLC คือหัวใจสำคัญในการสร้างผลงานที่มีคุณภาพและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างตรงจุด

แนะนำ SDLC Model 

SDLC Model เปรียบเสมือนแผนงานสำหรับการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งในแต่ละโมเดลก็จะมีขั้นตอนและวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของโปรเจคซอฟต์แวร์แต่ละประเภท ทรัพยากรที่มี และความต้องการของผู้ใช้ โดยการทำงานของ SDLC Model มีอยู่ 7 รูปแบบด้วยกันดังนี้

1. Waterfall Model

Waterfall Model เป็นโมเดล SDLC แบบคลาสสิกที่เน้นความเป็นขั้นตอนชัดเจนเปรียบเหมือนน้ำตกที่ไหลลงมาทีละชั้น โดยแบ่งการพัฒนาออกเป็นเฟสต่าง ๆ ที่ต้องดำเนินการจนเสร็จสมบูรณ์ก่อน ถึงจะเริ่มดำเนินการเฟสถัดไป เหมาะสำหรับโปรเจคที่มีความชัดเจน แน่นอน และมีการเปลี่ยนแปลงน้อย

2. Big Bang Model

Big Bang Model เป็นโมเดล SDLC ที่เน้นความรวดเร็วในการพัฒนา โดยแทบจะไม่มีการวางแผนที่ละเอียดเหมือนกับโมเดลอื่น ๆ เหมาะกับโปรเจคขนาดเล็กที่มีงบประมาณจำกัด หรือโปรเจคที่ต้องการทดสอบแนวคิดที่เน้นพัฒนาฟีเจอร์หลักของโปรเจคก่อน

3. Iterative Model

Iterative Model คือ โมเดล SDLC แบบวนซ้ำที่มีจุดเด่นในการแบ่งการพัฒนาออกเป็นรอบย่อย ๆ ซึ่งในแต่ละรอบจะมุ่งเน้นไปที่ฟีเจอร์เฉพาะส่วน โดยหลังจากพัฒนาเสร็จ ทีมจะทำการทดสอบ เก็บ Feedback จากผู้ใช้งานมาปรับปรุง แล้วนำไปพัฒนาต่อในรอบถัดไป

4. V-Shaped Model

V-Shaped Model เป็นโมเดล SDLC ที่เน้นการตรวจสอบควบคู่ไปกับการพัฒนาในรูปแบบคู่ขนานกันไป โดยลักษณะโมเดลจะเป็นรูปตัว V ที่แผนดำเนินการทดสอบจะมาบรรจบกับแผนดำเนินการพัฒนาในช่วงท้ายของโครงการ

5. Agile Model

Agile Model เป็นโมเดล SDLC ที่เน้นความคล่องตัวและความยืดหยุ่นสูง มีการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว เหมาะสำหรับโปรเจคที่มีความไม่แน่นอนสูง ความต้องการของผู้ใช้อาจเปลี่ยนแปลงไประหว่างการพัฒนา หรือโปรเจคที่ต้องการผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว

6. Spiral Model

Spiral Model คือโมเดล SDLC ที่เน้นการจัดการความเสี่ยง โดยแบ่งโปรเจคออกเป็นวงรอบย่อย ๆ แต่ละรอบประกอบด้วยขั้นตอนการวางแผน ประเมินความเสี่ยง การพัฒนา และการทดสอบ ซึ่งจุดเด่นของ Spiral Model คือการประเมินความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ รอบ ทำให้ทีมพัฒนาสามารถโฟกัสไปที่ความเสี่ยงที่สำคัญก่อน และปรับเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับโปรเจคขนาดใหญ่ มีความซับซ้อนสูง ต้องการลดความเสี่ยงในการพัฒนา

7. RAD Model

RAD Model (Rapid Application Development Model) คือโมเดล SDLC ที่เน้นความรวดเร็วในการพัฒนา โดยอาศัยการสร้างต้นแบบ (prototype) และการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของการพัฒนา ซึ่งกระบวนการทำงานของ RAD Model จะแบ่งเป็นขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้

การพัฒนาระบบของซอฟต์แวร์ (SDLC) ทำงานอย่างไร?

หลังจากที่ได้ทำความเข้าใจกับโมเดล SDLC แต่ละประเภทกันไปแล้ว ถัดไปเราจะมาดูขั้นตอนของวงจรการพัฒนาระบบกันดูบ้างว่ามีรายละเอียดในแต่ละขั้นตอนอย่างไร โดยขั้นตอนของกระบวนการพัฒนาระบบจะแบ่งออกเป็น 6 ขั้นตอนดังนี้

  1. การวางแผน: กำหนดเป้าหมาย ขอบเขตความต้องการของผู้ใช้ และแผนงานสำหรับโปรเจค
  2. การออกแบบระบบ: ออกแบบสถาปัตยกรรม อินเทอร์เฟซ และฐานข้อมูลของซอฟต์แวร์
  3. ดำเนินการพัฒนา: เขียนโค้ด ทดสอบยูนิต และพัฒนาซอฟต์แวร์ตามที่ออกแบบไว้
  4. ทดสอบ: ทดสอบซอฟต์แวร์อย่างละเอียดเพื่อหาข้อผิดพลาด แก้ไขบั๊ก และตรวจสอบให้มั่นใจว่าซอฟต์แวร์ทำงานได้อย่างถูกต้อง
  5. ติดตั้ง: ติดตั้งซอฟต์แวร์บนระบบผู้ใช้ ฝึกอบรมผู้ใช้ และจัดทำเอกสารคู่มือ
  6. บำรุงรักษา: แก้ไขปัญหาที่ผู้ใช้พบ อัปเดตซอฟต์แวร์ และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของซอฟต์แวร์

ทำไมต้องพัฒนาระบบซอฟต์แวร์

วงจรการพัฒนาระบบ

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกแง่มุมของชีวิต การพัฒนาระบบซอฟต์แวร์กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรและบุคคลทั่วไปด้วยเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้

จะเห็นได้ว่าซอฟต์แวร์มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานทั้งต่อองค์กรและตัวบุคคล ดังนั้นการพัฒนาซอฟต์แวร์โดยยึดตาม SDLC จะยิ่งส่งผลให้ได้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพและยิ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำได้ดียิ่งขึ้น

สรุปวงจรการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ (SDLC)

SDLC หรือ Software Development Life Cycle คือ กระบวนการที่ครอบคลุมตั้งแต่เริ่มต้นความคิดจนถึงการส่งมอบและบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ เปรียบเสมือนเข็มทิศนำทางให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์มั่นใจได้ว่าซอฟต์แวร์ที่พัฒนาเสร็จนั้น จะมีคุณภาพสูง ตรงตามเป้าหมาย และสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที