สิวเป็นหนึ่งในปัญหาที่ทุกคนล้วนแล้วต้องเคยประสบพบเจอ ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงผู้ใหญ่ และสิวที่เกิดขึ้นบนใบหน้า หรือตามร่างกายมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท เช่น สิวอักเสบ สิวอุดตัน สิวผด สิวหัวช้าง สิวซีสต์ หากปล่อยไว้ไม่ทำการรักษาสิว อาจทำให้เกิดอาการรุนแรงมากขึ้น หรือถ้าหากบีบสิว แกะสิวก็จะทำให้สิวเกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้น และสิวขึ้นซ้ำที่จุดเดิมแถมยังทิ้งจุดด่างดำและรอยแผลเป็นอีกด้วย
การรักษาสิวอย่างถูกวิธีจะช่วยลดการเกิดสิว และช่วยกำจัด สิวให้หมดออกไปจากใบหน้าได้ แต่ส่วนใหญ่คนที่มักเป็นสิวไม่หายสักที เกิดจากการรักษาสิวแบบผิดวิธี หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสเตยรอยด์ เป็นตัวกระตุ้นของการเกิดสิวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังนั้นมาดูกันว่าวิธีรักษาสิวอย่างถูกวิธีมีอะไรบ้าง และสาเหตุของการเกิดสิวมาจากอะไร
สิว คือภาวะทางผิวหนังที่พบบ่อย ซึ่งสิวจะเกิดขึ้นเมื่อต่อมไขมันเกิดการอุดตันด้วยน้ำมัน และเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว หลุดลอกไปสะสมที่รูขุมขนจนอุดตัน สิวสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วของร่างกาย แต่ที่พบได้บ่อยที่สุดมักจะเป็นที่บนใบหน้า หน้าอก และหลัง ถึงแม้ว่าสิวจะไม่สร้างผลกระทบร้ายแรงต่อร่างกาย แต่ก็ควรรักษาสิวอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันการเกิดสิว ป้องกันรอยดำ รอยแดง และหลุมสิว
สิวมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน โดยสิวจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
สิวอักเสบ เป็นสิวชนิดที่มีลักษณะเป็นตุ่มแดง บวม และเจ็บปวดเมื่อสัมผัส เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน สิวอักเสบสามารถจะแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่
- สิวตุ่ม สิวนุ่นแดง เป็นสิวอักเสบที่มีขนาดเล็ก ลักษณะเป็นสีแดง บวม
- สิวหัวหนอง เป็นสิวอักเสบที่มีขนาดใหญ่ มีหนองขาวหรือเหลืองอยู่ตรงกลาง
- สิวอักเสบขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นก้อนนูนแดง เมื่อจับจะเป็นก้อนไตแข็งใต้ผิวหนัง ไม่มีหัว หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษาสิวอักเสบอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็น
- สิวหัวช้าง เป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรง มีหัวสิวขนาดใหญ่ เป็นตุ่ม หากปล่อยทิ้งไว้ไม่หาวิธีรักษาสิวหัวช้าง อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นถาวรได้
- สิวซีสต์ เป็นสิวที่เกิดจากการอักเสบรุนแรงใต้ชั้นผิวหนัง มีลักษณะเป็นก้อนนูนแดงขนาดใหญ่ หากไม่รักษาสิว อาจทำให้เป็นสิวเรื้อรัง รอยแผลเป็น และเป็นหลุมสิว
สิวไม่อักเสบ เป็นสิวอุดตันรูขุมขนที่มักไม่มีอาการอักเสบ ไม่มีรอยแดง บวม หรือความรู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัส สิวไม่อักเสบสามารถจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- สิวหัวดำ จะมีลักษณะเป็นตุ่มสีดำเล็ก ๆ เกิดจากเซลล์ผิวหนังที่ตาย น้ำมัน ฝุ่นละออง แล้วไปสะสมที่รูขุมขนจนอุดตัน เป็นสิวชนิดที่พบได้บ่อย และรักษาสิวได้ง่าย
- สิวหัวขาว มีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีขาวหัวปิด ไม่มีการอักเสบ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน มลภาวะในอากาศ และปัจจัยอื่น ๆ แต่ว่าสิวหัวขาวสามารถติดเชื้อ และอักเสบได้ง่ายสิวประเภทอื่น หากบีบ หรือแกะสิวจะเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดการอักเสบ
สิวเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หลายปัจจัยที่ก่อให้เกิดสิวได้ หากพบว่าตัวเองเป็นสิวควรรักษาสิว ไม่ว่าจะรักษา สิวอุดตัน หรือรักษาสิวผดไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ โดยสาเหตุหลักที่คนส่วนใหญ่มักจะเป็นสิว ดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน (Androgen) เพิ่มมากขึ้น เป็นตัวกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น นำไปสู่ของการเกิดสิว
- ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป ต่อมไขมันมีหน้าที่ผลิตน้ำมันออก เพื่อป้องกันผิวหนังและช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น เมื่อต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป น้ำมันจะไปอุดตันที่รูขุมขนจนทำให้เกิดสิว
- เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว โดยทั่วไปแล้วผิวหนังจะผลัดเซลล์ผิวเก่าออกไปและให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมา จึงทำให้มีโอกาสที่เซลล์ผิวที่ตายแล้วไปสะสมอุดตันรูขุมขน
- แบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P. acnes) มักจะอาศัยอยู่ในรูขุมขน และบนผิวหนัง หากมีมากเกินไปจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดผิวหนังอักเสบจนเกิดสิวตามมา
- พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ความเครียด พักผ่อนน้อย กินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เมื่อร่างกายและระบบภูมิคุ้มกันเริ่มอ่อนแอลง สิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น จึงทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อนำไปสู่การเกิดสิว
สิวที่เกิดขึ้นตามร่างกายโดยเฉพาะใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นสิวอักเสบและสิวไม่อักเสบ ไม่ควรบีบ หรือแกะสิว เพราะอาจจะทำให้สิวอักเสบมากกว่าเดิม และทำให้เกิดรอยแผลเป็น รวมถึงหลุมสิว ซึ่งการรักษาสิวมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ดังนี้
- การรับยาปฏิชีวนะกลุ่ม Tetracycline เช่น doxycycline minocycline เป็นวิธีรักษาสิวอักเสบช่วยในเรื่องของการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของสิวอักเสบ
- ยาต้านฮอร์โมนกลุ่ม Spironolactone เป็นวิธีรักษาสิวฮอร์โมน ช่วยในเรื่องของการลดผลิตฮอร์โมนที่เป็นตัวกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น
- ยา Retinoids เป็นวิธีลดสิว ลดจากเกิดขึ้นของสิว ช่วยในเรื่องของการลดการผลิตน้ำมัน ผลัดเซลล์ผิว และลดการอักเสบ
- ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ใช้เป็นยาลดการอักเสบของสิวอักเสบรุนแรงเป็นอีกหนึ่งวิธีช่วยกำจัดสิวได้
- ยาปฏิชีวนะชนิดทา เช่น ยาเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และลดการผลิตน้ำมัน
- ยาที่มีกรดซาลิไซลิก ช่วยลดการอุดตันรูขุมขน และฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
- ยาที่มีเรตินอยด์ ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตันรูขุมขน และช่วยรักษารอยสิว
การกดสิวเป็นวิธีการรักษาสิวแบบดั้งเดิมที่ช่วยขจัดสิวอุดตันชนิดหัวขาวและหัวดำออกจากรูขุมขน
การกดสิว ช่วยรักษาสิวอุดตันหายได้เร็ว แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวังหรือโดยแพทย์ผิวหนังเพื่อป้องกันรอยแผลเป็นและการติดเชื้อ
เลเซอร์สิว เป็นวิธีการรักษาสิวและวิธีลดรอยสิวที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน โดยใช้แสงเลเซอร์ความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน เช่น เลเซอร์ไดโอด, เลเซอร์ YAG หรือ Pico laserขึ้นอยู่กับปัญหาสิว มีข้อดีคือเห็นผลลัพธ์ได้เร็ว สิวอักเสบยุบลง รอยสิวแลดูจางลง
- มีรีวิวที่น่าเชื่อถือ อ่านรีวิวจากคนไข้จริงเพื่อดูว่าพวกเขามีประสบการณ์อย่างไรกับสถานพยาบาล/คลินิกต่าง ๆ
- ตัวเลือกการรักษา หลาย ๆ สถานพยาบาลจะมีตัวเลือกการรักษาสิว ที่หลากหลายและเหมาะกับปัญหาสิวของคนไข้ นอกจากนี้ยังมีวิธีรักษารอยแดงจากสิว
- ราคา เปรียบเทียบราคาการรักษาสิวจากสถานพยาบาล/คลินิกต่าง ๆ
- มีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล เป็นเอกสารสำคัญที่แสดงว่าสถานพยาบาล/คลินิกนั้นๆ ได้รับการรับรองจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
สิวเป็นปัญหาผิวหนังที่พบบ่อยมากโดยเฉพาะในวัยรุ่น สิวเกิดขึ้นเมื่อรูขุมขนอุดตันด้วยน้ำมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว สิ่งนี้สามารถนำไปสู่แบคทีเรียที่เติบโตและทำให้เกิดการอักเสบ ส่งผลให้เกิดสิว
มีหลายวิธีในการรักษาสิว ตัวเลือกการวิธีรักษาสิวอุดตัน สิวหัวหนอง สิวหัวดำ และสิวชนิดอื่น ๆ จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิวและปัจจัยอื่นๆ แพทย์ผิวหนังสามารถช่วยคุณเลือกตัวเลือกการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที
