PRK คือการผ่าตัด Lasik ตาด้วยเลเซอร์ชนิดหนึ่งที่ใช้แก้ไขสายต ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง ที่มีตาแห้งหรือกระจกตาบางเกินไป
ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง หนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนคือ การแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ ซึ่งเป็นวิธีการที่ปลอดภัย รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาสายตาผิดปกติต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคนิค PRK หรือ Photorefractive Keratectomy ก็ได้รับความนิยมอย่างมากเพราะเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง ที่มีตาแห้งหรือกระจกตาบางเกินไปสำหรับการทำเลสิคมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า และให้ผลลัพธ์ที่คงอยู่ถาวร
PRK หรือ PRK Lasik คือหนึ่งในวิธีการผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ โดยใช้เลเซอร์ Excimer ซึ่งปล่อยพลังงานแสงอัลตราไวโอเลต (UV) ปรับแต่งรูปร่างของกระจกตา ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อใสบริเวณส่วนหน้าของดวงตา เพื่อให้แสงที่ผ่านเข้ามาตกกระทบเรตินาได้อย่างแม่นยำ แก้ปัญหาสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่าง เลสิคกับ PRK ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทคนิคยอดนิยม คือ PRK จะทำการเปิดชั้นผิวของกระจกตาออกโดยตรง ในขณะที่เลสิค จะสร้างแผ่นเนื้อเยื่อกระจกตาขึ้นมา แม้ Lasik PRK คือ อาจใช้เวลานานกว่าที่การมองเห็นจะกลับมาเป็นปกติ เล็กน้อย แต่ PRK ก็มีข้อดีที่ต่างจากการทำเลสิค
PRK ช่วยแก้ปัญหาสายตาได้ 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้
1. สายตาสั้น (Myopia) เกิดจากกระจกตานูนหรือลูกตายาวเกินไป ทำให้แสงไปตกโฟกัสหน้าเรตินา มองเห็นภาพไกลไม่ชัด ผ่าตัดสายตาสั้น PRK จะปรับรูปร่างกระจกตาให้แบนลง เพื่อให้แสงตกกระทบเรตินาได้พอดี
2. สายตายาว (Hyperopia) เกิดจากกระจกตาแบนเกินไปหรือลูกตาสั้นเกินไป ทำให้แสงไปตกโฟกัสหลังเรตินา มองเห็นภาพใกล้ไม่ชัด PRK จะปรับรูปร่างกระจกตาให้นูนขึ้น เพื่อให้แสงตกกระทบเรตินาได้พอดี
3. สายตาเอียง (Astigmatism) เเกิดจากกระจกตามีความโค้งไม่เท่ากัน ทำให้แสงหักเหไม่เท่ากัน มองเห็นภาพเบลอทั้งใกล้และไกล PRK จะปรับรูปร่างกระจกตาให้มีความโค้งสม่ำเสมอ เพื่อให้แสงตกกระทบเรตินาได้อย่างเหมาะสม
PRK vs Lasik PRK เป็นเทคนิคการแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และมอบข้อดีมากมาย ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการบอกลาปัญหาสายตา พร้อมก้าวสู่วิถีชีวิตที่สะดวกสบาย มั่นใจในทุกสถานการณ์ Lasik กับ PRK มีข้อดีต่างกัน ข้อได้เปรียบของ PRK คือ
- เลสิค PRK ตอบโจทย์ผู้ที่มีข้อจำกัดทางด้านสายตา เช่น ผู้ที่มีกระจกตาบาง PRK จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ และผู้ที่มีปัญหา ตาแห้ง ตาเล็ก เบ้าตาลึก หรือผู้ที่ไม่สามารถทำเลสิคได้ เช่น ผู้ป่วยโรคต้อหิน (อยู่ภายใต้ดุลยพินิจของจักษุแพทย์)
- ผลลัพธ์ที่ถาวร PRK มอบผลลัพธ์การแก้ไขสายตาที่คงอยู่ยาวนานยั่งยืน
- ความปลอดภัยที่มากกว่า ด้วยเทคนิคที่ไม่ต้องสร้างแผ่นเนื้อเยื่อกระจกตา เลสิค PRK จึงลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
- สะดวก สบาย ไม่ต้องกังวลเพราะก่อนการรักษาเพียงแค่หยอดยาชา ไม่ต้องฉีดยา ระหว่างทำไม่เจ็บ ไม่ต้องเย็บแผล กลับบ้านได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล
- ลดความกังวลเรื่องผลข้างเคียงเพราะ PRK มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยกว่าเลสิค โดยเฉพาะอาการตาแห้ง ซึ่งพบได้น้อยมาก
- สะดวกสบายมองเห็นชัดเจนเหมือนการทำเลสิค
ข้อจำกัดที่ควรพิจารณา
- ระยะเวลาการ PRK พักฟื้น อาจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวนานกว่าวิธีการแก้ไขสายตาแบบอื่น โดยชั้นผิวของกระจกตาจะใช้เวลาในการสมานตัวนานกว่า
- ความรู้สึกไม่สบายหลังผ่าตัด หลังการรักษา ผู้ป่วยอาจมีอาการไม่สบายตา เช่น แสบตา ระคายเคือง ลืมตาไม่ขึ้น สู้แสงไม่ได้ น้ำตาไหล หรือมองเห็นภาพไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นอาการปกติ และจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ แต่อาจใช้เวลาแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
- การดูแลหลังผ่าตัด ผู้ป่วยจำเป็นต้องใส่คอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษประมาณ 3-5 วัน เพื่อลดอาการระคายเคืองบริเวณแผล และต้องเข้ารับการตรวจติดตามอาการกับจักษุแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรก ซึ่งจะมีความถี่มากกว่าการรักษาประเภทอื่นๆ
แม้จะมีข้อจำกัด แต่ PRK ก็เป็นทางเลือกที่ปลอดภัย และเหมาะสมกับผู้ป่วยหลายราย อย่างไรก็ตาม การปรึกษาจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินความพร้อมของร่างกาย และความเหมาะสมในการรักษา รวมถึงการปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดอย่างเคร่งครัด จะช่วยลดความเสี่ยง และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
การทำ PRK แม้จะเป็นขั้นตอนที่มีความปลอดภัยสูง แต่การเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างเหมาะสม จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และการฟื้นตัวที่ราบรื่น ควรปฏิบัติดังนี้
1. ปรึกษาหารืออย่างใกล้ชิดกับจักษุแพทย์
- แจ้งข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับประวัติสุขภาพ เช่น โรคประจำตัว ยาที่ใช้ และประวัติการแพ้ยา
- เข้ารับการตรวจตาอย่างละเอียด เพื่อประเมินความพร้อมของดวงตา รวมถึงวัดค่าสายตา ความโค้งของกระจกตา และความหนาของกระจกตา
- สอบถามข้อสงสัย และแจ้งความคาดหวังเกี่ยวกับการรักษา เพื่อให้แพทย์วางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
2. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- งดเว้นการใส่คอนแทคเลนส์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์
- งดการแต่งหน้า ทาครีม และใช้น้ำหอมบริเวณใบหน้าและรอบดวงตา เป็นเวลาอย่างน้อย 1 วัน
- งดการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- เตรียมแว่นกันแดด เพื่อป้องกันดวงตาหลังการผ่าตัด
- หาคนใกล้ชิด เพื่อช่วยเหลือในการเดินทาง เนื่องจากหลังผ่าตัดการมองเห็นอาจยังไม่ชัดเจน
3. ดูแลตัวเองในวันเข้ารับการรักษา
- รับประทานอาหาร ดื่มน้ำ และทานยาตามปกติ เว้นแต่แพทย์สั่งงด
- เลือกสวมเสื้อผ้าที่สบาย หลวม ไม่รัดคอ
- ทำความสะอาดใบหน้า และรอบดวงตาให้สะอาด
- นำยาหยอดตา และเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน และบัตรนัด ติดตัวมาด้วย
4. ข้อปฏิบัติเพิ่มเติม
- แจ้งแพทย์ทันที หากมีอาการผิดปกติหลังผ่าตัด เช่น ตาแดง คัน น้ำตาไหล หรือผิดปกติอื่นๆ
- พักผ่อนให้เพียงพอ ทั้งก่อนและหลังการรักษา
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ระยะก่อนผ่าตัด:
- ปรึกษาจักษุแพทย์โดยแพทย์จะซักประวัติ ตรวจสุขภาพตาอย่างละเอียด ตรวจวัดค่าสายตา ตรวจความโค้งของกระจกตา ตรวจความหนาของกระจกตา ตรวจความดันลูกตา และตรวจสุขภาพดวงตาโดยรวม
- ประเมินความเหมาะสมโดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ สุขภาพตา ความหนาของกระจกตา ค่าสายตา และโรคประจำตัว
- เตรียมตัวก่อนผ่าตัด งดใส่คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่ม อย่างน้อย 1 สัปดาห์ และชนิดแข็ง อย่างน้อย 3 สัปดาห์ งดแต่งหน้าบริเวณรอบดวงตาก่อนวันผ่าตัด หยุดใช้เครื่องสำอางบริเวณรอบดวงตาอย่างน้อย 1 วัน เตรียมแว่นกันแดด และหมวกปีกกว้าง จัดเตรียมคนที่จะดูแลพากลับบ้านหลังผ่าตัด
ระยะผ่าตัด:
- ใช้ยาชาหยอดตา ช่วยให้ไม่รู้สึกเจ็บขณะผ่าตัด
- เปิดผิวกระจกตา ใช้เครื่องมือเฉพาะทางเปิดชั้นผิวของกระจกตาออกอย่างนุ่มนวล
- ยิงเลเซอร์ปรับความโค้งกระจกตา ใช้เลเซอร์ Excimer Laser ปรับแต่งความโค้งของกระจกตาตามค่าสายตาที่คำนวณไว้
- ปิดผิวกระจกตา ปิดผิวกระจกตาที่เปิดออก โดยไม่ต้องเย็บแผล
ระยะหลังผ่าตัด:
- พักฟื้น พักสายตา ประมาณ 1-2 วัน
- ใช้ยาหยอดตา ตามแพทย์สั่ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และลดอาการอักเสบ
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ว่ายน้ำ โดนน้ำสกปรก
- พบแพทย์ตามนัด เพื่อติดตามผล และตรวจเช็คอาการ
PRK ข้อเสียอาจมีบ้างและผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย และมักจะหายไปเองภายในไม่กี่วัน หรือไม่กี่สัปดาห์
- ตาพร่ามัว เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุดหลังผ่าตัด โดยเฉพาะในช่วง 1-2 วันแรก
- มองเห็นแสงฟุ้งกระจาย โดยเฉพาะในที่มืด หรือที่ที่มีแสงจ้า
- ตาแห้ง เนื่องจากการผ่าตัดส่งผลต่อต่อมน้ำตา
- รู้สึกเคืองตา มีอาการระคายเคือง รู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ในตา
- มองเห็นภาพซ้อน มักเกิดขึ้นในช่วงแรก และจะค่อยๆ ดีขึ้น
การดูแลหลังผ่าตัด PRK อย่างถูกวิธี เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นตัวของดวงตา ช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน และช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด
ขั้นตอนการดูแล:
1. 24 ชั่วโมงแรก: พักสายตา: หลับตาพักผ่อนให้มากที่สุด ประคบเย็น: ทุก 2-4 ชั่วโมง นาน 10-15 นาที ลดอาการบวม งดขยี้ตา งดแต่งหน้าบริเวณรอบดวงตา ทานยาตามแพทย์สั่ง
2. 1-4 สัปดาห์: หยอดตาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ทำความสะอาดรอบดวงตาอย่างเบามือ ใส่แว่นกันแดดทุกครั้งที่ออกแดด งดว่ายน้ำและแช่น้ำร้อน งดแต่งหน้าบริเวณรอบดวงตา งดใส่คอนแทคเลนส์ ทานอาหารบำรุงสายตา พักผ่อนให้เพียงพอ พบแพทย์ตามนัด
3. หลังจาก 4 สัปดาห์: ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างต่อเนื่อง ดูแลสุขภาพดวงตา ไม่ใช้สายตานานเกินไป และพบแพทย์ทันทีหากมีอาการผิดปกติ
PRK เลสิคเป็นการผ่าตัดแก้ไขสายตาผิดปกติ โดยใช้เลเซอร์ปรับความโค้งกระจกตา ช่วยให้มองเห็นชัดเจนขึ้น แม้จะมีความปลอดภัยสูงและมีข้อดีมากมายกว่าการผ่าตัด Laser-Assisted แบบทั่วไป แต่ก็อาจเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้น การพบแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสม รวมถึงการปฏิบัติตามคำแนะนำหลังผ่าตัดอย่างเคร่งครัด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที