รู้จักปัญหาสายตาสั้นหรือยาว และวิธีแก้ไขปัญหาเมื่อเกิดปัญหาสายตาขึ้น รวมถึงการดูแลสุขภาพตาและวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาสายตา
ดวงตาเป็นหนึ่งในอวัยวะที่สำคัญมากในร่างกาย ช่วยให้สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน การมองเห็นที่ดีจึงมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจประสบปัญหาสายตาที่ส่งผลต่อการมองเห็น เช่น อาการสายตาสั้น อาการสายตาเอียง เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้อาจเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากสภาวะทางพันธุกรรม พฤติกรรมการใช้สายตา หรือโรคประจำตัว
ปัญหาสายตา หมายถึง ภาวะที่ดวงตาไม่สามารถโฟกัสแสงได้อย่างถูกต้อง ทำให้มองเห็นภาพไม่ชัดเจน อาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน และการเรียน โดยปัญหาด้านสายตาที่พบบ่อย มีดังนี้
อาการของปัญหาสายตาสั้น มักเกิดขึ้นในวัยเด็กหรือวัยรุ่น และอาจมีอาการดังนี้
- มองเห็นวัตถุที่อยู่ไกลไม่ชัดเจน มักจะเริ่มสังเกตได้ในเด็กที่เริ่มเข้าเรียน โดยเด็กอาจชอบหรี่ตาเวลาอ่านหนังสือ มองกระดานไม่ชัด หรือชอบเดินเข้าไปดูทีวี จอคอมพิวเตอร์ หรือสิ่งของในระยะใกล้
- ต้องเพ่งมอง หรือขยับตัวเข้าไปมองวัตถุในระยะที่ใกล้มากขึ้น
- ตาพร่ามัว หรือมองเห็นภาพเบลอ ๆ
- ปวดตา หรือล้าตา
- ปวดศีรษะ
- มีอาการตาแห้ง
สาเหตุของปัญหาสายตาสั้น ยังไม่แน่ชัด แต่เชื่อกันว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ดังนี้
- พันธุกรรม โดยเด็กที่มีพ่อแม่สายตาสั้น มีโอกาสเป็นสายตาสั้นสูง
- โครงสร้างดวงตาผิดปกติ โดยกระจกตามีความโค้งมากกว่าปกติ หรือลูกตายาวกว่าปกติ ทำให้แสงตกกระทบจอประสาทตาเร็วเกินไป
- การใช้สายตา โดยการใช้สายตาในระยะใกล้เป็นเวลานาน เช่น การอ่านหนังสือ เล่นโทรศัพท์ เล่นคอมพิวเตอร์ อาจส่งผลให้สายตาสั้นขึ้น
ปัญหาสายตายาวแต่กำเนิด มักไม่ค่อยมีอาการที่ชัดเจนในเด็กเล็ก เพราะกล้ามเนื้อตาสามารถปรับโฟกัสเพื่อมองเห็นวัตถุในระยะไกลได้ชัดเจน แต่เมื่อเด็กโตขึ้น กล้ามเนื้อตาจะค่อย ๆ เสื่อมลง ทำให้เริ่มมีอาการดังนี้
- มองเห็นวัตถุใกล้ไม่ชัด มักจะเริ่มสังเกตได้ในเด็กวัยประถมศึกษา เด็กอาจต้องเพ่งมองเวลาอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ หรือมองวัตถุในระยะใกล้
- ล้าตา หรือปวดตา
- ปวดศีรษะ
- มีอาการตาแห้ง
- ตาไวต่อแสง
- เพ่งมองนาน ๆ
- ขยี้ตาบ่อย ๆ
สายตายาวแต่กำเนิด เกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างดวงตา ดังนี้
- กระจกตามีความโค้งน้อยกว่าปกติ ทำให้แสงไม่หักเหเข้าตาได้มากพอ
- ลูกตายาวกว่าปกติ ทำให้แสงตกกระทบหลังจอประสาทตา
- ความยาวแกนตาสั้นกว่าปกติ
ปัญหาสายตายาวตามอายุ เป็นภาวะที่ดวงตาสูญเสียความสามารถในการปรับโฟกัสเพื่อมองวัตถุในระยะใกล้ มักเริ่มมีอาการเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป และจะค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เริ่มมีอาการดังนี้
- มองเห็นวัตถุใกล้ไม่ชัด โดยเฉพาะในที่แสงสว่างน้อย เช่น การอ่านหนังสือ เย็บผ้า ร้อยเข็ม
- ต้องยื่นวัตถุออกห่างจากตา เพื่อมองให้ชัด
- ล้าตา หรือปวดตา
- ปวดศีรษะ
- มีอาการตาแห้ง
- ตาไวต่อแสง
- มองภาพซ้อน
- มองภาพเบลอ ๆ
สาเหตุของสายตายาวตามอายุ โดยเกิดจากเลนส์ตาแข็งตัวและสูญเสียความยืดหยุ่นตามวัย ส่งผลต่อความสามารถในการปรับโฟกัส
ปัญหาสายตาเอียง เกิดจากความผิดปกติของรูปร่างกระจกตาหรือเลนส์ตา ทำให้แสงตกกระทบจอประสาทตาไม่เท่ากัน ส่งผลให้ภาพที่เห็นเบลอหรือบิดเบี้ยว ปัญหาสายตาเอียง ทำให้เริ่มมีอาการดังนี้
- มองเห็นภาพไม่ชัดเจน ทั้งในระยะใกล้และระยะไกล
- เห็นภาพซ้อน
- มองเห็นแสงกระจาย ในตอนกลางคืน
- ต้องหรี่ตา หรือเพ่งตาบ่อยๆ
- ปวดตา หรือล้าตา
- ปวดศีรษะ
- มีอาการตาแห้ง
สาเหตุของสายตาเอียง ยังไม่แน่ชัด แต่เชื่อกันว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ดังนี้
- พันธุกรรม โดยเด็กที่มีพ่อแม่สายตาเอียง มีโอกาสเป็นสายตาเอียงสูง
- ความผิดปกติของกระจกตา โดยกระจกตามีความโค้งไม่สม่ำเสมอ หรือกระจกตามีรูปร่างผิดไปจากปกติ เช่น โค้งเป็นทรงรี หรือรูปไข่
- การบาดเจ็บที่ดวงตา โดยการได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ การติดเชื้อ หรือการผ่าตัดตา
การแก้ไขปัญหาสายตา ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของปัญหาทางสายตา โดยมีวิธีแก้ไขดังนี้
เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตาไม่มาก หรือต้องการแก้ไขปัญหาสายตาเฉพาะบางช่วงเวลา ได้แก่
1. ใส่แว่นตา
ข้อดี
- หาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง
- ใช้งานและพกพาสะดวก
- สามารถแก้ไขปัญหาสายตาได้หลากหลายชนิด เช่น สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง
- ปรับเปลี่ยนเลนส์ได้ตามความต้องการ
ข้อจำกัด
- ไม่สะดวกในการเล่นกีฬา ว่ายน้ำ
- กรอบแว่นตาอาจรบกวนการมองเห็น
- ต้องดูแลรักษาความสะอาด
- เลนส์แว่นตาอาจเกิดรอยขีดข่วน
2. ใส่คอนแทคเลนส์
ข้อดี
- มองเห็นภาพกว้าง ชัดเจน เป็นธรรมชาติ
- ไม่รู้สึกกดทับใบหน้า
- มีหลายแบบให้เลือก เช่น แบบรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน
- เปลี่ยนสีตาได้
ข้อจำกัด
- ราคาค่อนข้างแพง
- ต้องดูแลรักษาความสะอาด
- เสี่ยงต่อการเกิดตาแห้ง ตาอักเสบ
- ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาตาบางชนิด
เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตามาก โดยต้องการแก้ไขปัญหาสายตาในระยะยาว ได้แก่
1. การผ่าตัดเลสิค (LASIK)
ข้อดี
- มองเห็นชัดเจนโดยไม่ต้องใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์
- ใช้เวลาผ่าตัดไม่นาน
- ฟื้นตัวเร็ว
- ผลลัพธ์ถาวร
ข้อจำกัด
- ราคาค่อนข้างแพง
- ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาตาบางชนิด
- มีภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ตาแห้ง แสงจ้ากระจาย
2. การทำ PRK (Photorefractive Keratectomy)
ข้อดี
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบาง
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะกระจกตาหลุด
- ผลข้างเคียงน้อยกว่าเลสิค
ข้อจำกัด
- ใช้เวลาในการฟื้นตัวนานกว่าเลสิค
- รู้สึกแสบตาหลังผ่าตัด
- มองเห็นภาพไม่ชัดเจนในช่วงแรกหลังผ่าตัด
การดูแลตนเองและวิธีป้องกันปัญหาสายตา เช่น
- พักสายตาบ่อย ๆ จากหน้าจอทุก 20 นาที โดยมองวัตถุที่อยู่ไกล ๆ ประมาณ 20 วินาที
- ปรับแสงหน้าจอให้เหมาะสม ไม่สว่างหรือมืดจนเกินไป
- ตั้งหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ห่างจากตาประมาณ 18-24 นิ้ว ถือโทรศัพท์มือถือห่างจากตาประมาณ 14 นิ้ว
- กะพริบตาบ่อย ๆ ช่วยให้มีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตา
- ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตา
- ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อให้ดวงตาได้รับน้ำหล่อเลี้ยง
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงการขยี้ตา
- สวมแว่นกันแดด
- ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ
รวมถึงหากทำเลสิกแล้วก็ยังต้องดูแลสุขภาพตา เพราะสามารถกลับมาผิดปกติได้หากดูแลได้ไม่ดีพอ
ปัญหาสายตาสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่อายุยังน้อยจนไปถึงวัยชรา โดยเฉพาะการใช้ชีวิตประจำวันที่อาจทำให้เกิดปัญหาด้านสายตาได้ขึ้นได้อย่างไม่รู้ตัว จึงต้องค่อยดูแลและหมั่นเข้ารับการตรวจจากจักษุแพทย์เพื่อลดและหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องสายตาที่จะเกิดขึ้น
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที