ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพชรสังเคราะห์เติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอดเวลา จากเดิมในปี 2558 ที่มีสัดส่วนในตลาดเกือบเป็นศูนย์ มาสู่ปัจจุบันที่เพชรสังเคราะห์มีความนิยมแพร่หลายโดยมีสัดส่วนราว 20% ของตลาดเพชรทั่วโลก จากแรงผลักดันในประเด็นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีที่มาโปร่งใส และราคาจับต้องได้ ทำให้เป็นที่ต้องการโดยเฉพาะในกลุ่มคนมิลเลนเนียลและเจน Z แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนเห็นว่า แนวโน้มดังกล่าวกำลังจะลดน้อยลงไป
ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนับเป็นประเด็นชูธงสำคัญของเพชรสังเคราะห์ ทั้งยังได้ดาราและเซเลบหลายคนที่พากันสวมใส่เครื่องประดับเพชรสังเคราะห์ ร่วมด้วยแบรนด์เครื่องประดับรายใหญ่เช่น De Beers และ Pandora ที่ลงมาร่วมแชร์ส่วนแบ่งด้วย ยิ่งเป็นแรงผลักดันเพิ่มแรงจูงใจแก่ผู้บริโภคมากขึ้นเป็นลำดับ กระทั่งในปี 2565 นับเป็นปีทองที่เพชรสังเคราะห์ โดยมูลค่าตลาดเพชรสังเคราะห์กระโดดขึ้นจาก 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2559 เป็นเกือบหมื่นสองพันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 คิดเป็นการเติบโตสูงถึง 38% เมื่อเทียบกับปี 2564
ทว่า Paul Zimnisky ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเพชรเริ่มมองเห็นจุดเปลี่ยนแปลงจากความรุ่งโรจน์ดังกล่าว ตั้งแต่หลังการคลายล็อคดาวน์และการทยอยฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้ผู้คนเริ่มมองเพชรสังเคราะห์ว่าไม่ทรงคุณค่าและเกลื่อนตลาด ต่างจากเพชรแท้ที่มีเอกลักษณ์ มีที่มาเรื่องราว และทรงคุณค่าผ่านกาลเวลา ทำให้มีการประเมินว่า ราคาเพชรสังเคราะห์ในปีนี้จะลดลงอีกราว 25% เนื่องจากอุปทานล้นตลาดขณะที่อุปสงค์ลดน้อยลง
อีกเหตุผลหลักที่สนับสนุนความคิดเห็นดังกล่าว คือ ขาดหลักเกณฑ์ความโปร่งใสและกฎระเบียบที่ชัดเจนมากำกับ การโฆษณาว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีจริยธรรม ของผู้ผลิตเพชรสังเคราะห์ ไม่มีมาตรฐานการตรวจสอบหรือการรับรองที่ชัดเจน ทั้งนี้ การผลิตเพชรสังเคราะห์ต้องมีการใช้พลังงานสูง ซึ่งก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก รวมถึงผู้ผลิตเพชรสังเคราะห์รายใหญ่ของโลกทั้งจีน (56%) และอินเดีย (15%) ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันราว 71% ของกำลังผลิตทั่วโลกนั้น แหล่งพลังงานไฟฟ้าที่นำมาใช้ส่วนใหญ่มาจากถ่านหินซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมาก
ภาพเพชรสังเคราะห์จาก https://osamboard.org/largest-lab-grown-diamond-manufacturers-in-the-world/
นอกจากนี้ ราคาของเพชรสังเคราะห์ที่ลดลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับเพชรธรรมชาติ นับตั้งแต่ปี 2558 จากส่วนต่าง 10% เมื่อเทียบกับราคาเพชรธรรมชาติ กระทั่งปัจจุบันสามารถเห็นส่วนต่างได้ถึง 90% ซึ่ง Paul Zimnisky คาดการณ์ว่า ภายใน 5-10 ปีนี้ ราคาเพชรสังเคราะห์จะมีมูลค่าไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ราคาเพชรธรรมชาติจะยังคงซื้อขายกันในหลักพันถึงหลักหมื่นดอลลาร์สหรัฐ
แม้ว่าเพชรสังเคราะห์ได้เข้ามาตีตลาดในอุตสาหกรรมเพชรอย่างต่อเนื่องหลายปี แต่เมื่อผู้บริโภคตระหนักถึงคุณค่าของเพชรมากขึ้น หลายคนจึงหันมาซื้อเพชรธรรมชาติมากขึ้นแม้จะได้ขนาดที่เล็กกว่า เพราะเพชรธรรมชาติมีเรื่องราวที่มาและสามารถทรงคุณค่าได้แม้ผ่านกาลเวลาไปหลายปี ซึ่งเป็นสิ่งที่เพชรสังเคราะห์ไม่สามารถทดแทนได้
ติดตามข้อมูลด้านการตลาดอัญมณีและเครื่องประดับได้ที่เว็บไซต์ https://infocenter.git.or.th/
จัดทำโดย นายพุทธิพร วิชัยดิษฐ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
พฤษภาคม 2567
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที