ในทางจิตวิทยา "อารมณ์" เป็นสถานะจิตที่เกิดขึ้นในบุคคลตามสภาวะที่ต่างกัน ซึ่งเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ความคิด ความรู้สึก พฤติกรรมต่าง ๆ รวมไปถึงการทำงานที่ผิดปกติของสารสื่อประสาท พันธุกรรม
โดยอารมณ์สามารถเป็นตัวชี้วัดหรือตัวแสดงของสภาวะจิตใจและสภาพอารมณ์ของบุคคลนั้น ๆ ว่ามีอารมณ์ที่ไม่สมดุล แปรปรวนไปมา อาจมีผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายและการปรับตัวในชีวิตประจำวันของบุคคลนั้น ๆ ดังนั้นการเข้าใจและการจัดการกับอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพจิต เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและเกิดโรคตามมาอย่าง “ไบโพลาร์” หรือในบางครั้งอาจสะกดว่า โรคไบโพล่า โรคไบโพล่าร์
โรคไบโพลาร์ เป็นสภาวะสุขภาพจิตที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสุดขั้วในอารมณ์ ความรู้สึก และพฤติกรรม ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีภาวะที่เปลี่ยนแปลงระหว่างอารมณ์สูงและอารมณ์ต่ำ ซึ่งเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง
โรคไบโพลาร์เป็นภาวะที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความสัมพันธ์ของผู้ป่วย รวมถึงครอบครัว คนรักและเพื่อน ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ป่วยประสบกับความยากลำบากในการทำงาน การรักษาความสัมพันธ์ การเรียนการสอน และสถานการณ์ทางสังคมอื่น ๆ ซึ่งต้องใช้การพูดคุยปรึกษาจิตแพทย์เพื่อการดูแลและโรคไบโพล่าร์ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
ไบโพลาร์ (Biopolar) คือโรคที่มีอาการแปรปรวนทางภาวะอารมณ์สองขั้ว โดยผู้ป่วยประสบกับการเปลี่ยนแปลงอารมณ์อย่างรวดเร็วและรุนแรง ระหว่างสองขั้วของระบบอารมณ์ ซึ่งเป็นขั้วบวกหรือภาวะอารมณ์คลุ้มคลั่ง (manic) และขั้วลบหรือภาวะอารมณ์ซึมเศร้า (depressive) โดยเรียกว่าภาวะอารมณ์แบบไบโพลาร์ (bipolar disorder) หรืออีกชื่อหนึ่งโรคไบโพลาร์ (bipolar disorder)
ในภาวะขั้วบวก (manic episode) ผู้ป่วยไบโพลาร์ จะมีอารมณ์เศร้าหรือตื่นเต้น พร้อมกับมีการตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ร่าเริง และกระตือรือร้น พูดมากขึ้นอย่างมากเกินกว่าปกติ รู้สึกขี้เหงาหรือเครียดและหมกมุ่นในงานต่าง ๆ รวมถึงมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงเกินไป ในขณะที่ในภาวะขั้วลบ (depressive episode) ผู้ป่วยจะมีอารมณ์เศร้าหรือซึมเศร้าอย่างรุนแรง รู้สึกหมดแรง หมดหวัง ไม่อยากทำอะไร ไม่สนใจเรื่องราวรอบตัว รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า และอาจมีความคิดที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตาย โดยส่วนใหญ่แล้วโรคนี้เริ่มเกิดในวัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว แต่สามารถเริ่มเกิดได้ในทุกช่วงอายุ
สาเหตุที่ทำให้เกิดไบโพลาร์มีหลายปัจจัยด้วยกัน ซึ่งมีการพิจารณาว่าโรคนี้เกิดจากปัจจัยหลายอย่างที่มีผลต่อความเสี่ยงของการเป็นโรค สามารถอธิบายได้ดังนี้
อย่างไรก็ตาม การเป็นโรคไบโพลาร์ไม่ได้มีสาเหตุเดียว แต่อาจเป็นผลมาจากผสมผสานของปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อความเสี่ยงในการเป็นโรค ซึ่งการตรวจวินิจฉัยและเข้ารับการรักษาไบโพล่าควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านจิตเวชศาสตร์หรือที่รู้จักกันดีในนามจิตแพทย์
การหมั่นสังเกตตนเองเป็นเรื่องที่ดีและควรทำอยู่เสมอ หากรู้สึกว่าตนเองเริ่มมีอาการเบื้องต้นเหล่านี้อาจจะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณมีโอกาสเป็นไบโพลาร์
อาการของโรคไบโพลาร์สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักได้คือ อาการของภาวะอารมณ์คลุ้มคลั่ง (manic episode) และอาการของภาวะอารมณ์ซึมเศร้า (depressive episode)
อาการเหล่านี้อาจเป็นรอบ ๆ กินระยะเวลานานตั้งสัปดาห์จนถึงเป็นเดือน ๆ คือจะมีอาการภาวะอารมณ์คลุ้มคลั่งและภาวะอารมณ์ซึมเศร้าสลับกัน หรืออาจเป็นแบบภาวะอารมณ์เดียว ๆ กันเอง ขึ้นอยู่กับประเภทของโรคไบโพลาร์และความรุนแรงของอาการที่แต่ละบุคคลประสบ
วิธีรักษาไบโพล่า ทางการแพทย์มักเป็นไปในทางร่วมกันของทีมทางการแพทย์ที่ประกอบด้วยจิตแพทย์และนักจิตวิทยา เพื่อประเมิน วินิจฉัย และบำบัดอาการผู้ป่วยร่วมกัน โดยการที่มีนักจิตวิทยาร่วมรักษาด้วยจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยได้เรียนรู้ทักษะในการจัดการอารมณ์และปัญหาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจรวมถึงการใช้เทคนิคการควบคุมอารมณ์ พูดคุยทำความเข้าใจและมีการแนะนำทางออกในการแก้ไขปัญหาของผู้ป่วย
ทางด้านจิตแพทย์จะให้คำแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วย รวมไปถึงการรักษาด้วยการกินยาร่วมด้วย เพื่อควบคุมฮอร์โมนและช่วยการทำงานของสารสื่อประสาทให้ทำงานเป็นปกติ ยารักษาโรคไบโพล่า จะเป็น ยากลุ่มลิเทียม (Lithium) ซึ่งการรับยาแต่ละครั้งต้องอยู่ภายใต้การกำกับของจิตแพทย์
การดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยไบโพลาร์นั้นสำคัญมาก เนื่องจากการดูแลตนเองที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการซึมเศร้าร่วมด้วยและเพื่อให้การตนเองกลับมาหายดี มีสภาวะทางอารมณ์ที่เป็นปกติ และสุขภาพจิตแข็งแรง ดังนั้นนี่คือบางขั้นตอนที่คุณสามารถทำเพื่อดูแลตนเอง
อย่าลืมว่าการดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยไบโพลาร์เป็นเรื่องที่แตกต่างไปในแต่ละบุคคล หากคุณพบว่าคุณมีอาการที่รุนแรงหรือไม่สามารถจัดการได้ด้วยตนเอง ควรปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อรับการช่วยเหลือเพิ่มเติม
การดูแลคนใกล้ชิดที่เป็นไบโพลาร์เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากไบโพลาร์เป็นภาวะทางจิตที่มีความซับซ้อนและอาจมีผลกระทบให้คนที่เป็นใกล้ชิดรู้สึกท้อแท้ได้ เพราะต้องหาแนวทางรับมือ ช่วยเหลือผู้ป่วยอยู่เสมอ โดยแนวทางในการดูแลคนใกล้ชิดที่เป็นไบโพลาร์มีดังนี้
ณ ปัจจุบันไบโพลาร์พบได้มากในกลุ่มช่วงอายุ 15-19 ปี และอายุ 20-24 ปี จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นวัยเรียน และช่วงเริ่มเข้าวัยทำงาน ในบางรายอาจรักษาไบโพล่าหายแล้ว แต่บางรายสามารถกลับมาเป็นได้อีก หรือบางรายเป็นไบโพล่ากินยาตลอดชีวิตก็เป็นไปได้เช่นกัน ด้วยหลายสาเหตุที่อาจไม่เหมือนกันในแต่ละคน เช่น สาเหตุจากความเครียด จากความผิดปกติของสารสื่อประสาท
อย่างไรก็ตามไบโพลาร์สามารถเป็นได้ทุกวัย ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก เนื่องจากอาการที่เรียกว่าภาวะอารมณ์สองขั้ว คือ ภาวะอารมณ์คลุ้มคลั่ง (manic) และภาวะอารมณ์ซึมเศร้า (depressive) เกิดขึ้นได้ หากเราไม่คอยดูแล ใส่ใจอารมณ์ของตนเองอาจจทำให้มีโอกาสเป็นไบโพลาร์ได้ เพราะฉะนั้นหมั่นดูแลและสังเกตตนเองอยู่เสมอเมื่อช่วงไหนที่มีปัญหาต่าง ๆ หรือสถานการณ์ที่จะส่งผลต่อความรู้สึกของเรา
การดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์สำหรับตนเองและคนใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากผู้ป่วยอาจมีความเสี่ยงที่จะมีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน นอกจากการปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา เรายังสามารถดูแลตนเองโดยการรักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจ และช่วยเหลือผู้ป่วยให้มีสุขภาพจิตใจที่แข็งแรงขึ้นและกลับมาเป็นปกติได้ อย่างไรก็ตาม ควรจัดหาข้อมูลและแหล่งความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับไบโพลาร์
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที