วัตพล

ผู้เขียน : วัตพล

อัพเดท: 18 พ.ค. 2024 11.06 น. บทความนี้มีผู้ชม: 3177 ครั้ง

ความงาม


ฝ้าเป็นแล้วมีวิธีรักษาให้หายขาดไหม และควรป้องกันอย่างไร

ฝ้าเกิดจากปัจจัยอะไรบ้างที่กระตุ้นให้เกิดบนใบหน้า การดูแลและรักษาจะต้องพิจารณาไปตามชนิดของฝ้าที่เกิดขึ้น ซึ่งการรักษาอาจต้องใช้เวลานานและต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง

ฝ้า

ไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ผิวหน้าเป็นฝ้าได้ง่ายมากขึ้น เป็นเรื่องที่น่ากังวลใจอย่างมากสำหรับหลายคนโดยเฉพาะกับผู้หญิง ซึ่งการเกิดฝ้าก็มีหลายสาเหตุทั้งจากการทำงานกลางแจ้งที่ต้องเจอกับแสงแดด หรือแม้กระทั่งแสงจากหลอดไฟหรือจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากหรือเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ ทางการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จึงจำเป็นต้องมีการปกป้องผิวอย่างถูกวิธี หากปล่อยให้เป็นและทิ้งระยะเวลาไว้นานก็จะยิ่งใช้เวลาในการรักษานานมากขึ้น ซึ่งฝ้ามีหลายชนิดทำให้การรักษาฝ้าจึงมีการรักษาที่แตกต่างกันไปตามความเหมาะสม


ฝ้าคืออะไร มีลักษณะอย่างไรและมักเกิดขึ้นบริเวณใด

ฝ้า คือ

ฝ้า คือ ปัญหาผิวหน้าที่เกิดจากรอยจุด กระ จุดด่างดำทำให้ผิวไม่กระจ่างใส ผิวหมองคล้ำ ที่หลายคนกังวลอย่างมากเพราะการรักษาบางครั้งก็ไม่หายขาดและยังมีหลายวิธีซึ่งล้วนมีค่าใช้จ่ายสูงหากต้องการรักษาที่ได้ผลอย่างรวดเร็วและปลอดภัย โดยฝ้าบนใบหน้าจะมีลักษณะเป็นจุดคล้ำสีน้ำตาลหรือน้ำตาลเข้มจำนวนมาก รวมตัวกันเป็นปื้นเป็นแผ่นไม่มีรอยนูน ซึ่งหากไม่ได้ดูแลผิวหน้าแต่เนิ่น ๆ และไม่มีการปกป้องผิวหรือปล่อยให้เป็นฝ้าระยะเวลานานแล้ว ก็จะยิ่งเป็นฝ้าลึกลงไปใต้ชั้นผิว ทำให้ยิ่งรักษาได้ยากมากขึ้น 


ฝ้าเกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง

ฝ้าแดด

หลายคนมักเข้าใจว่าปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้ผิวหน้าเกิดฝ้าได้จะมีเพียงแสงแดดเท่านั้น ซึ่งความเป็นจริงแล้วยังมีอีกหลายปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้อย่างง่ายดาย และเป็นเหตุผลที่ว่าทุกคนควรต้องมีการปกป้องผิว บำรุงผิว ไม่ให้เกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำบนใบหน้าโดยปัจจัยที่ทำเกิดฝ้ามีดังนี้


ฝ้ามีกี่ชนิด มีแบบไหนบ้าง

ฝ้าบนใบหน้าที่มักพบเห็นได้บ่อย ๆ จะเป็นฝ้าตรงโหนกแก้มซึ่งมักเป็นจุดที่สัมผัสกับแสงแดดได้ง่าย โดยลักษณะของฝ้าจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิดดังต่อไปนี้ 

ฝ้าลึก (Dermal type)

ฝ้าลึกจะมีลักษณะที่กลืนไปกับผิวหน้า มีสีน้ำตาลอ่อนบ้าง สีเทาบ้าง ซึ่งจะเห็นเป็นวงกว้างและมีขอบเขตของฝ้าที่กลืนไปกับผิว โดยจะเป็นฝ้าที่ขึ้นบนชั้นหนังแท้และอยู่ใต้ชั้นหนังกำพร้า ซึ่งการรักษาต้องใช้ระยะเวลานาน

ฝ้าตื้น (Epidermal type) 

ฝ้าตื้นจะรักษาได้ง่ายกว่า โดยจะเกิดฝ้าชนิดนี้ได้ที่หนังกำพร้า ซึ่งมีรอยฝ้าแผ่บนผิวหน้าเห็นขอบอย่างชัดเจน โดยจะมีสีน้ำตาลเข้มหรืออาจจะเป็นสีเทาดำชัดเจน

ฝ้าผสม (Mixed type)

เป็นฝ้าผสมที่รวมทั้งฝ้าลึกและฝ้าตื้นอยู่บนผิวหน้า อาจเห็นขอบเขตไม่ค่อยชัดเจนนักเพราะจะมีสีเข้มและขอบมีสีอ่อนกว่า โดยการรักษาจะต้องใช้ทั้งสองวิธีในการรักษาจึงจะได้ผล


ฝ้ามีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง และรักษาหายขาดหรือไม่

เมื่อมีฝ้าเกิดขึ้นบนใบหน้าแล้ว ไม่ว่าจะฝ้าชนิดใดก็ตาม จะมีวิธีป้องกันและวิธีรักษาซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้และต้องใช้เวลาในการรักษา อีกทั้งเมื่อฝ้าจางลงหรือดีขึ้นแล้วก็ยังสามารถกลับมาเป็นใหม่ได้อีกหากหยุดการดูแลผิวหรือหยุดการรักษา

รักษาฝ้าด้วยยาทาหรือทานยาสมุนไพร 

ปัจจุบันนี้มีทั้งรูปแบบยาทาและยารับประทานซึ่งถูกผลิตขึ้นมาในรูปแบบสมุนไพรหัวไชเท้าที่กำลังได้รับความนิยม โดยเป็นยารับประทานที่มีวิตามิน A และกรดแอสคอบิก (Ascorbic Acid) ที่สามารถช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ทำให้เกิดฝ้าให้น้อยลงได้ โดยการทานยาก็ต้องอยู่ในการดูแลจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพราะอาจจะเกิดผลข้างเคียง หรือมีอาการแพ้ได้ ซึ่งจะทำให้รู้สึกแสบร้อนบริเวณผิวหน้า และหากเกิดรอยแดงก็จะยิ่งรักษาได้ยากมากขึ้นไปอีก

รักษาฝ้าด้วยการใช้สกินแคร์ครีมทาผิว

การใช้สกินแคร์ครีมทาผิว ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยบรรเทาหรือรักษาฝ้าให้จางลงได้ โดยการเลือกครีมทาผิวที่เหมาะสมต่อสภาพผิว เป็นอีกวิธีที่รักษาฝ้าด้วยตัวเองได้ ซึ่งก็เป็นเพียงการช่วยให้ฝ้าและกระหรือจุดด่างดำต่าง ๆ ลดลงได้เท่านั้นแต่ไม่หายขาด เป็นเพียงการช่วยให้ผิวหน้าดูดีขึ้นกระจ่างใส่มากขึ้น ซึ่งถ้าหากหยุดใช้สกินแคร์ ฝ้าก็จะกลับมาเห็นเด่นชัดเหมือนเดิม และอาจจะมีเพิ่มขึ้นทำให้ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าเดิมหากเริ่มที่จะใช้ครีมทาผิวเพื่อลดรอยฝ้าให้จางลง

รักษาฝ้าด้วยการลอกผิวด้วยกรด AHA หรือ Alpha Hydroxy Acid 

เป็นวิธีการรักษาฝ้าด้วยสารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งเป็นการลอกฝ้าหรือผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่เสื่อมสภาพแล้ว แต่ก็ไม่สามารถจะรักษาเซลล์ผิวที่อยู่ลึกลงไปได้ เป็นการช่วยให้ฝ้าบนผิวหน้าดูจางลง ซึ่งการใช้วิธีรักษาแบบนี้หากทำบ่อยหรือใช้สารเคมีในปริมาณมากเกินไปอาจจะทำให้เกิดการระคายเคือง หรือเกิดอาการแพ้ได้ ใบหน้าจะมีรอยแดง ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจน

รักษาฝ้าด้วยการฉีดเมโสสารอาหารผิว

เป็นวิธีการรักษาฝ้าและกระที่ทำการฉีดสารอาหารที่มีฤทธิ์ในการควบคุมการสร้างเม็ดสีให้ทำงานน้อยลงโดยผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้ฝ้าเพียงแค่จางลงเท่านั้น ไม่ทำให้หายขาดแต่ผิวหน้าจะดูดีขึ้นเพียงชั่วคราว ซึ่งหากหยุดฉีดหรือหยุดรักษาไปโดยสิ้นเชิง จะทำให้กลับมามีฝ้าอีกครั้ง และยังทำให้ฝ้าขึ้นหนากว่าเดิมอีกด้วย จึงจำเป็นต้องฉีดอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์

รักษาฝ้าด้วยการทำเลเซอร์

เป็นวิธีการรักษาฝ้าที่ยังไม่มีการยืนยันว่าจะทำให้ฝ้าจางลงได้จริง และเป็นวิธีการที่มีค่าใช้จ่ายสูง จากการยิงแสงเข้าสู่ชั้นผิวหนังเพื่อไปทำลายฝ้าและจุดด่างดำให้กระจายตัวออกจากกัน ซึ่งก็จะมีผลข้างเคียงที่จะทำให้รู้สึกแสบผิว เกิดการระคายเคือง และยิ่งโดนแสงแดดก็จะรู้สึกแสบร้อนได้ นอกจากที่อาจจะรักษาไม่ได้ผลลัพธ์ที่แน่นอน 100% แล้วยังอาจทำให้ผิวหน้าแย่ลงไปอีกสำหรับคนที่แพ้ง่าย จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อน


วิธีการป้องกันฝ้า รีบทำวันนี้เลยถ้าไม่อยากให้หน้าพัง

ฝ้า กระ

การเกิดฝ้ามีหลายสาเหตุ ซึ่งการป้องกันที่ดีจะช่วยไม่ให้เกิดฝ้าบนใบหน้าและยังเป็นการรักษาฝ้าด้วยตัวเองได้อีกด้วย ในกรณีที่เริ่มมีฝ้า กระและจุดด่างดำบาง ๆ ขึ้นมาโดยวิธีการสำหรับป้องกันผิวไม่ให้เกิดฝ้าได้มีดังนี้


สรุป ฝ้าป้องกันได้ แต่ถ้าเป็นแล้วต้องรีบรักษา

ฝ้ามีวิธีที่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้จากการทาครีมกันแดด การดูแลตัวเองจากการพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ และการดื่มน้ำทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครบถ้วน ก็ช่วยลดปัจจัยในการเกิดฝ้าได้แล้ว  แต่หากสุดวิสัยไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดฝ้าที่หน้า ก็มีวิธีการรักษาตามอาการหรือตามชนิดของฝ้า ซึ่งต้องทำความเข้าใจเลยว่า ฝ้าทุกชนิดไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ 100% จะต้องมีการรักษา ดูแลผิวหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้าเกิดขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็อาจจะทำให้รักษายากมากกว่าเดิม


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที