power  toon

ผู้เขียน : power toon

อัพเดท: 22 ม.ค. 2008 14.39 น. บทความนี้มีผู้ชม: 117161 ครั้ง

แอร์บินไทยฮือต้าน"สงครามนางฟ้า"จี้ช่อง5หยุดฉาย-เอ็กแซ็กท์แถลงบ่ายนี้


เรื่องของ แอร์กี่ (ดังมากที่ web pantip)ตอน1

หัวข้อ : เรื่องของ แอร์กี่ (ดังมากที่ web pantip)
ข้อความ : นี่คือเรื่องราวชีวิตของฉันที่วันนี้อยากเล่าให้ชาวพันทิปฟัง

อาจจะยาว ถ้าไม่ชอบ ผ่านไปเลยค่ะ

ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว
ฉันเรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยรัฐที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆแห่งหนึ่งด้วยความที่ฉันชอบภาษาอังกฤษและเคยได้ทุนเอเอฟเอสไปอยู่อเมริกาหนึ่งปี ฉันจึงไปสมัครเป็นแอร์ที่สายการบินบ้านเรานี่เอง

ที่นั่นคือจุดเริ่มต้นความสุขที่สุดในชีวิต ความทุกข์ที่สุดในชีวิต รวมถึงความขมขื่นยาวนานที่ต่อเนื่องมาจนวันนี้ที่ฉันเข้าสู่วัยทองแล้ว

ความเป็นแอร์น้องใหม่ สดๆซิงๆ (ในความรู้สึกรุ่นพี่ผู้ชายเพราะบ้าเรียนมากๆ แถมเรียนเก่งด้วยสิ เลยยิ่งบ้าเรียนหนัก ย้อนกลับไปคิดก็เสียดายความสนุกสนานในชีวิตนิสิตที่ฉันค่อนข้างพลาดไปเสียหมด

ฉันเลยมาใจแตกเอาตอนทำงาน คนจีบเยอะ โอกาสเป็นใจเวลาไปบินต่างประเทศ ต้องมีการนอนค้าง คืนเดียวบ้าง หลายคืนบ้าง เค้าจะจัดให้ลูกเรือพักคนละห้อง ใครจะเข้าห้องใครก็ไม่ใช่เรื่องของใคร เรื่องส่วนตั๊วส่วนตัว ที่ปิดกันให้แซ่ดไงล่ะ

วันดีคืนดีฉันก็ไปบินไฟลท์ยาวไฟลท์หนึ่ง ไปตะวันออกกลาง ฉันทำงานอยู่ตรงโซนกลาง ชั้น economy ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่ไปขายแรงงานหลับกันไปหมดแล้ว ฉันยืนจัดข้าวของเตรียมเสิร์ฟมื้อเช้าก่อนเครื่องลงอยู่ มีเสียงห้าวๆดังมาจากข้างๆ " ขอกาแฟถ้วยนึงครับ ฉันหันไปหาเสียงนั้น โหยยยย ตาสบตา....วิ้ง วิ้ง วิ้ง เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงและหน้าตาดีมากกก (สเป็คเลย) สวมเครื่องแบบนักบิน เอ๊ะ
นักบิน เดินมาทำอะไรตรงนี้นะ ถ้าจะขอกาแฟก็กดเรียกแอร์ ที่ชั้นหนึ่งสิ ฉันเลยอาจจะทำหน้าเอ๋อๆ ไม่ทันตอบอะไร เค้าพูดต่อว่า

"อ้าว! งงเลยเหรอครับ มาขอกาแฟตรงนี้ไม่ได้เหรอครับ "ได้ค่ะได้" ฉันรีบยิ้มตอบ ใจเต้นตึกตักๆๆ โอ้ รักแรกพบหรือเปล่าเนี่ย

"กาแฟดำนะครับ น้ำตาลครึ่งซอง " เขาบอกอีก
"ค่ะ" ฉันรับคำ หันไปหยิบถ้วยกาแฟมากดกาแฟจากเครื่องเติมน้ำตาลครึ่งซอง(มันแค่ไหนหว่า ครึ่งซอง กะๆเอาละกันระหว่างที่ฉันชงกาแฟ เค้าชวนคุยไปเรื่อยๆ

"น้องชื่ออะไรครับ ไม่เคยเห็นหน้าเลย สวยๆแบบนี้ไม่ค่อยมาบินเครื่องพี่เลย
"พี่ชื่อ....." บอกชื่อ และนามสกุลเสร็จสรรพ นามสกุลดังเลยเชียว แบบเอ่ยมารู้จักกันหมดแน่ ไม่เอ่ยดีกว่า แล้วเขากับฉันคุยกันไปเรื่อยๆอย่างถูกคอ ฉันรู้สึกได้เลยว่า ฮั่นแน่ เราปิ๊งกันซะแล้ว แถมจะอยู่ ที่เมื่องปลายทางตั้งสี่วัน อิอิอิ งานนี้ฉันคงได้แฟนซะ ที

คุยสักพัก เขากลับไป cockpit (ห้องนักบินพอดีกับที่แอร์รุ่นพี่ที่เดินไปคุยกับเพื่อนที่ด้านหลังเดินกลับเข้ามา "อุ๊ย หนู โดนพี่...เค้าจีบเหรอ เฮ้อ หนุ่มในฝันของแอร์อ่ะ แต่ว่า...."

"แต่ว่ารัยคะพี่จี๊ด..." ประโยคต่อมาของพี่จี๊ดทำเอาใจฉันดังตู้ม ราวกับโดนถล่มด้วยซีโฟร์สี่ลูกซ้อน
(ที่หัวใจห้องละลูกไงคะ...."เค้ามีเมียแล้วอ่ะดิ เป็นแอร์เก่า โคดขี้หึงเลย เช็คทุกไฟลท์ว่าพี่เค้าบินกะแอร์คนไหนมั่ง ถ้าใครสวย เธอจะจับตาดูเลยว่าสามีจะไปบินกับแอร์คนนั้น อีกบ่อยๆมั้ย ยัยปรางเพื่อนพี่มันเคยโดนมายืนดักที่ขาออกเลยอ่ะ เมียอะไรไม่รู้ ไม่ให้เกียรติผัว..แย่งมันเลยน้อง สวยๆแบบนู๋นี่นะ รับรอง..มีเฮ.."

อ้าววววว พี่จี๊ด เจ๊จะให้นู๋โดนหนามทุเรียนรึงัย โธ่ๆๆๆๆๆๆ อุตส่าห์นึกว่ารักแรกพบ ที่ไหนได้ จะกลายเป็นรักแรกตบเอาซะ พอเครื่องลง ฉันเลยเฉยๆกะเค้า แต่หน้าหล่อๆกระชากใจของเค้ามันชวนให้อยากลองสิ้นดี ..ชั่วจริงๆเลยชั้น เช็คอินเข้าโรงแรม ว้ายตาย ฉันได้ห้องตรงข้ามกะเค้า ไม่รู้เค้าตั้งใจป่าว จนวันนี้ยังไม่เคยถาม

ตอนเช้า ฉันตื่นมาแต่งตัวเพื่อลงไปทานอาหารเช้าที่ทางโรงแรมจัดให้ฟรี ตามเวลาท้องถิ่น พวกเรามักจะลงไปประมาณแปดโมงเช้า เพื่อจะได้พร้อมหน้า พร้อมตากันทั้งไฟลท์ โดยเฉพาะไปแถบตะวันออกกลาง แอร์จะจับกลุ่มกันมากเป็นพิเศษ มันเป็นประเทศที่ผู้หญิงไม่น่าไปเอาซะเลย แต่งตัวเสร็จพอดี มีเสียงเคาะประตู ฉันดูที่ช่องตาแมว เห็นเค้านั่นแหละยืนอยู่ เปิดประตูออกไป เขายิ้มหวาน ถามว่า "มีที่เป่าผมมั้ยครับ ขอยืมหน่อยครับฉันให้เค้ายืมที่เป่าผม เค้าบอกว่า "เดี๋ยวเอามาคืนนะครับ รอพี่ด้วยน้า จะได้ลงไปทานอาหารด้วยกัน "ค่ะๆๆๆ" ใจอ่อนไม่เข้าเรื่องเล้ย แล้วเราลงไปทานอาหารเช้าพร้อมกัน ตอนเดินเข้าห้องอาหาร มีลูกเรือหลายคนนั่งอยู่แล้ว ทุกคนหันมามองที่ฉันและเขา... ขอโทษที่ช้านะคะ คนแก่รำลึกความหลัง ต้องค่อยเป็นค่อยไปค่ะ ต่อเลย

ช่วงทานอาหาร สรุปกันว่าวันนั้นเราทั้งหมดจะไปเที่ยวชายทะเลกันทุกคน โดยมีผู้จัดการสถานี (station manager)จัดรถมารับเรา แล้วต่อด้วยอาหาร เย็นที่บ้านท่านเลย ลืมบอกไปว่าพี่เค้าเป็น co-pilot หรือนักบินที่สอง ยังไม่ได้เป็นกัปตัน ซึ่งหมายถึงนักบินที่หนึ่ง กัปตันจะมีหน้าที่ควบคุมรับผิดชอบการบินทั้งหมด และมีสิทธิ์ ขาดในการตัดสินใจคนเดียว วันนั้น เค้าพยายามอยู่ใกล้ฉันตลอดเวลา คุยกันไปไม่รู้กี่เรื่อง คุยเรื่องอเมริกา เค้าเรียนจบจากที่นั่น คุยเรื่องหนังสือ คุยเรื่องดนตรี ฯลฯ

ช่างคุยกันได้ทุกเรื่อง ตอนอาหารเย็น มีการดื่มเหล้ากัน (ในประเทศที่ห้ามดื่ม- กฎมีไว้แหกเสมอฉันมันเด็กดี ดื่มไม่เป็น แอร์บางคนทั้งดื่มเหล้า ทั้งสูบบุหรี่ เรื่องส่วนตัว ไม่ว่ากัน อย่าเมาตอนทำงานละกัน สายการบินนี้มีกฎห้ามดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชม.ก่อนบิน พี่เค้าชักเริ่มเมา (หรือเมาดิบไม่รู้เหมือนกัน) เค้ามากระซิบว่า "โอย.. ทำไมน้องสวยอย่างงี้ นี่ถ้าพี่ยังโสด จะขอน้องแต่งงานเดี๋ยวนี้เลยฉันหน้าแดง (อันนี้พี่จี๊ดบอก) ไม่รู้จะพูดว่าไงดี เลยถามเค้าไปว่า "พี่มีลูกกี่คนแล้วคะ "สองคนครับ ห้าขวบคนนึง เก้าเดือนคนนึง ผู้หญิงทั้งคู เค้ามีเจ้าของๆๆๆๆท่องไว้ๆๆๆๆ

แต่หัวใจสาวน้อยไม่เคยมีแฟนมันเตลิด เพราะเค้าหล่อแถมมีเสน่ห์มั่กๆ จริงๆนะ คืนนั้นจบลงด้วยการกลับห้องใครห้องมัน เหตุการณ์เป็นแบบนี้ซ้ำๆ คือไปไหนๆกันทั้งไฟลท์ เค้าเกาะติดฉัน แยกย้ายกันเข้าห้อง แต่...ความสัมพัน์ของเราคืบหน้าอย่างเร็ว เพราะ... เค้าโทร.มาที่ห้องฉัน คุยกันต่อคืนละสองสามชั่วโมง ทำเอาตอนเช้าฉันตื่นแทบไม่ไหว สรุปคือ เค้าจีบฉันนั่นแหละ ฉันเองก็ไม่ยักห้ามใจตัวเอง คิดแค่ว่า คุยกันขำขำ เดี๋ยวกลับ กทม.ก็ไม่เจอกันแล้ว คืนสุดท้าย เค้ามาหาฉันที่ห้องจนได้ เค้าบอกว่ารักฉัน ตามสไตล์ผู้ชายที่อยากได้ของใหม่ๆ แต่ตอนนั้นฉันปลื้มมากกว่าจะรู้ทัน

อย่าค่ะ อย่าเพิ่งคิดนะว่าฉันเสร็จเค้า ยี่สิบกว่าปีที่แล้วนะ ฉันไม่เคยด้วย ไม่กล้า แต่โง่ไปเหมือนกัน เพราะสารภาพว่ารักเค้าด้วย ยังไงก็ตามฉันยืนยัน

"พี่กลับห้องดีกว่านะคะลงท้าย ได้แค่กอดๆหอมๆ ฉันก็ฝันดี แหม ตอนนั้นมันโง่นี่นา รุ่งขึ้นบินกลับ เครื่องลง เดินออกมาที่ตรงผู้โดยสารขาออก ฉันมีความรู้สึกว่ามีสายตาจ้องมาที่ฉัน มองหา เจอะหน้าเค็มๆ ดุๆ (รู้สึกแบบนั้นจริงๆ) จ้อง ฉันเขม็ง เธอคนนั้นดูอายุมากกว่าฉันเยอะ จูงเด็กผู้หญิงหน้าตาเหมือนพี่เค้าเด๊ะเลยมาด้วย พอพี่เค้าเดินออกไป ลูกสาวเค้าก็วิ่งเข้ามากอดขา (ลูกสาวห้าขวบตัว สูงยังไม่ถึงเอวพ่อเลย " นั่นไงๆ เมียเค้ามาดักอีกละ ท่าทางพี่เค้ากลัวเมียนิ" พี่จี๊ดเธอเม้าท์ ฉันกับเค้าจากกันวันน้นโดยไม่ได้ร่ำลา ไม่มีการขอเบอร์ ไม่มีการบอกว่าจะติดต่อกันอีก

สมัยนั้นมือถือยังไม่มีเลยค่ะน้องๆ กลับบ้านไป ฉันคิดถึงเค้ามากจนนอนร้องไห้ตาบวม อีกสองวันต้องไปบินอีกไฟลท์นึง ชั้นจะมีเรี่ยวแรงไปบินมั้ย อกหักอย่างแรง อกหักครั้งแรก เค้ามีเจ้าของๆๆๆ ร้องไห้มันทั้งสามคืนที่อยู่บ้านเลย คืนสุดท้ายร้องน้อยหน่อย เพราะกลัวตาบวม เดี๋ยวไม่สวย

ตอนเช้าไปบินจาร์กาต้า อินโดนีเซีย นอนค้างหนึ่งคืน วันนั้นไม่เห็นนักบินเลย และคิดว่าไม่มีเค้าอยู่ด้วยหรอก เพราะเครื่องที่บินมันไม่ใช่แบบที่เค้าบิน คือนักบินจะบินเครื่องแบบเดียวเท่านั้น ใครอยู่ fleet ไหนก็บินตามนั้น ถ้าจะเปลี่ยนชนิดของเครื่องที่บิน ต้องเรียนใหม่ และถ้าจะกลับไปบินเครื่องที่เคยบินก็ต้องกลับไปเรียนใหม่อีก ต่างจากแอร์ สจ๊วต ที่บินเครื่องไหนๆ ได้หมด เพราะการบริการมันเหมือนๆกัน ต่างกันแต่พวกอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องจำให้ได้หมดทุกเครื่องว่าอะไรอยู่ตรงไหน มีงงๆกันบ้าง ในที่สุดก็คุ้นไปเอง

ก่อนเครื่องลงที่จาร์กาต้า เจอนักบินเข้าจนได้ โอยยยย คนนี้ยิ่งหล่อ อะไรกั๊น เค้าคัดนักบินที่หน้าตาหรือความสามารถนะ เสียวเครื่องตกอ่ะ คนนี้เค้ามาแปลกค่ะท่านผู้อ่าน เค้าตรงเข้ามาหาฉันพร้อมกับดอกไม้ช่อใหญ่เบิ้ม...ยื่นให้.. "พี่...(กิ๊กไฟลท์เดียวของฉัน)...ฝากมาให้น้องครับท่ามกลางสายคตาประชาชี ฉันคงหน้าแดงอีกตามเคย "ขอบคุณค่ะ มีจดหมายปิดผนึกมาด้วย จดหมายปิดผนึก จ่าหน้าซองด้วยลายมือตัวโต๊โต แบบที่ฉันไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน อยากอ่านจะแย่ แต่เป็นเวลาทำงาน ต้องเก็บใส่กระเป๋าถือไว้ รออ่าน ตอนเข้าห้องที่โรงแรมแล้ว

ก่อนเข้าห้อง ฉันแอบเห็นพี่นักบินคนที่หอบช่อดอกไม้มาให้เหล่ฉันใหญ่ แต่ฉันไม่สนร้อก ในเมื่อฉันสนอยู่แต่จดหมายจากอีกคนนึงต่างหาก

ไม่ได้นึกสังหรณ์เลยว่าคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตฉัน คือคนส่งดอกไม้นี่เอง มาถึงตอนนี้ ท่านผู้อ่านอาจจะสับสน ตัวละครเพิ่มขึ้น ฉันขอตั้งชื่อให้เค้าทั้งสองคนเลยละกัน

คนแรกที่เจอแล้วปิ๊งสุดสุด สมมุติชื่อพี่อิน

คนที่หอบดอกไม้จากพี่อินมาให้ชื่อ พี่หนิง

ส่วนฉัน ชื่อริน


ฉันเข้าห้อง ล็อกประตู รีบเปิดจดหมายออกอ่าน ข้อความในนั้นทำเอาฉันน้ำตาซึม อ่านวนเวียนไปมาอยู่หลายรอบ

พี่อินเขียนมาว่า ...น้องรินครับ

พี่ตื่นขึ้นมาทุกวันด้วยความรู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรไป ตั้งแต่พบน้องริน ดอกไม้บานในใจพี่เหลือเกิน

เมียพี่เค้ารู้ว่าพี่ชอบน้องริน เค้าบอกว่า เห็นเดินออกมาก็รู้เลยว่า พี่ไม่ปกติซะแล้ว พี่ยอมรับกับเขาว่าพี่ชอบน้องริน แต่อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม

พ่อพี่มีเมียสามคน แม่พี่เป็นคนที่สอง พี่ไม่อยากให้ลูกพี่ต้องมีพ่อเป็นอย่างพ่อพี่ แต่พี่ห้ามใจไม่ได้ น้องรินเป็นคนน่ารัก มีเสน่ห์เหลือเกิน

ธรรมดาพี่ไม่เคยชอบผู้หญิงผิวขาวเลย แต่น้องรินเป็นข้อยกเว้น ในที่สุด เมียพี่เค้าบอกว่า จะชอบใครก็ได้ตามใจ แต่เค้าขอให้ BANGKOK เป็น TERRITORY ของเค้าเท่านั้น

พี่ยังหวังเสมอว่าจะได้พบน้องรินอีก พี่อยากเห็นน้องรินมีความสุขนะครับ ถ้าคิดถึงพี่ ยิ้มเข้าไว้นะจ๊ะ อย่าเศร้า ขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้เราได้พบกัน ถึงจะสาย แต่พี่อดที่จะรักน้องรินไม่ได้เลย.......

จดหมายยาวกว่านี้อีก แต่ฉันจำได้เท่านี้

อ่านจดหมายอยู่นานแค่ไหนไม่รู้ โทรศัพท์ในห้องดัง ยุ้ยเพื่อนแอร์รุ่นใกล้ๆกัน และเรียนรร.เดียวกันมาตั้งแต่ ม.ปลาย โทร.มา

" ริน ไปกินข้าวเย็นกันป่ะ เคยกินขากบมั้ย เราจะพาไหน
"แหยะ ขากบรัยยุ้ย ไม่เห็นอยากกิน รินไม่ชอบกินตัวแปลกๆ" นึกถึงก็ไม่อยากกินแล้ว

"ไปเหอะริน พี่หนิงเค้าจะพาไป เค้าจีบเราอยู่ นะๆ ไปเป็นเพื่อนเราหน่อย" ยุ้ยตื๊อต่อ

"เอ๊า จีบกันแล้วให้เราไปเป็นกขค.ทำไม" ฉันสงสัย

"เหอะน่า แล้วจะเล่าให้ฟัง" ยุ้ยพูดชวนสงสัย เอ้า ไปก็ไป ฉันแต่งตัวสวยลงมารอยุ้ยที่ล็อบบี้โรงแรม เจอกัปตัน ฉันยกมือไหว้ อย่างสวยงามตามที่ถูกอบรมมา
สายการบินนี้ถืออาวุโสจัด เจอกันต้องไหว้ เมื่อเช้าเพิ่งเจอ มาเจออีกตอนเย็นก็ต้องไหว้ ไหว้กันจนเวียนหัว บางทีเผลอไปไหว้ลูกเรือสายการบินอื่นที่หน้าตาแบบคนไทยเข้าให้ เจอเค้าทำหน้างงๆตอบ

แต่ทำไงได้ เค้าสั่งให้ไหว้ ก็ไหว้ไว้ก่อน ไหว้ผิดไหว้ถูกช่างมัน ดีกว่าโดนรายงานว่าเจอผู้มีอาวุโส(ในการทำงาน)แล้วเมิน ไม่ทำความเคารพ ระบบทหารชัดๆ สายการบินนี้ รอที่ล็อบบี้ครู่หนึ่ง ยุ้ยกับพี่หนิงลงลิฟท์มาพร้อมกัน ยุ้ยหน้าบาน แต่พี่หนิงทำหน้าเหนื่อยๆ ไม่ดูสดชื่นหวานแหววแบบคนจีบกันซักกะนิด

ไปทานข้าวเย็นกันสามคน พี่หนิงเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่ร้านอาหาร และฉันได้ชิมขากบเป็นครั้งแรก อืมมมม อร่อยมากๆ ไม่นึกว่าจะอร่อยขนาดนี้ เหมือนไก่ ทอดกรอบๆหอมๆ กรุบๆ ระหว่างทาน ฉันไม่ค่อยได้คุยอะไร ยุ้ยเป็นคนชวนพี่หนิงคุยมากกว่า ดูท่าทางที่ยุ้ยบอกว่า พี่หนิงจีบยุ้ยแล้วทำให้ฉันออกจะแปลกใจว่าตกลงยุ้ยจีบพี่หนิงหรือพี่ห นิงจีบยุ้ยกันแน่ พี่หนิงพูดน้อยมาก กิริยามารยาทเรียบร้อย เป็นสุภาพบุรุษ ไม่เหมือนพี่อินที่คุยเก่ง แซวคนนั้นคนนี้ได้เรื่อย พี่หนิงดูขรึมมาก อาจจะเป็นเพราะเค้าเป็นแค่ S.O (system operetor)หรือนักบินที่สามเท่านั้น

นักบินที่สามนี่คือนักบินที่เพิ่งเข้าใหม่ ต้องนั่งข้างหลังนักบินที่หนึ่งและสอง ทำหน้าที่ติดต่อหอบังคับการ และเช็คปุ่มต่างๆมากมายใน cockpit ยังไม่ได้ขับเครื่องบิน จนกว่าระยะหนึ่งผ่านไป (อย่างน้อยสองปี) ถึงจะได้เลื่อนขึ้นเป็น co-pilot


ฉันทานข้าวไปแบบใจคอไม่ค่อยอยู่กับตัวเท่าไหร่ นึกถึงแต่พี่อิน ข้อความในจดหมายวนเวียนซ้ำซากอยู่ในหัว พี่หนิงหันมาถามฉันว่า

"อร่อยมั้ยครับ ขากบร้านนี้อร่อยที่สุดในจาการ์ต้าเลยนะครั
"อร่อยค่ะ อร่อยมาก" ฉันคุยกับพี่หนิงแค่นั้นจริงๆ

จบมื้อเย็นด้วยการไปช้อปปิ้งที่ศูนย์การค้าแถวๆนั้น ฉันบอกยุ้ยว่า ขอแยกกันเดินละกัน มาเจอกันก่อนห้างปิด แล้วค่อยกลับด้วยกัน อยากเปิดโอกาสให้เพื่อน บวกกับเดินดูของคนเดียวสบายดี ไม่ต้องพะวงรอใคร อยากดูอะไรดูได้ตามใจ เดินในห้างไปมา ปะทะกับพี่หนิง เห็นเค้าอยู่คนดียว ถามได้ความว่ายุ้ยไปเข้าห้องน้ำ พี่หนิงบอกฉันว่า "พี่อินบอกพี่มาว่าให้เอาดอกไม้ให้คนที่เห็นแล้วคิดว่าใช่คนที่พี่อินปลื้ม พี่เห็นรินแล้วคิดว่า ใช่แน่นอน " พี่หนิงมองฉันแบบสบตาเปิดเผย ถ้ายุ้ยมาเห็นจะเป็นไงเนี่ย


ฉันขอตัวเดินไปทางอื่น เลิกนึกเรื่องพี่หนิง คิดถึงพี่อินแทน ถึงเวลากลับโรงแรม นั่งแท็กซี่กลับ แยกย้ายกันเข้าห้อง โดยที่ฉันไม่รู้สักนิดว่าคืนนั้น พี่หนิงกับยุ้ยนอนห้องเดียวกัน

ความสัมพันธ์ของพี่หนิงกับยุ้ยเป็นที่รู้กันทั่ว ขาเม้าท์ทำหน้าที่อย่างเมามัน ว่าพี่หนิงน่ะหล่อจัด เรียนเก่ง พ่อแม่ปลาบปลื้มลูกชายคนนี้มาก แต่..ทุก อย่างมีข้อแม้ ...พี่หนิงเป็นพ่อม่าย มีลูกติดด้วย...

เมียเก่าเป็นแอร์ที่ลาออกไปเพราะท้อง สมัยนั้นยังไม่มีการอนุญาตให้แอร์ท้องได้

กฎของบริษัทผิดหลักธรรมชาติมาก แต่งงานได้ แต่ท้องไม่ได้ ใครท้องต้องลาออกสถานเดียว

เม้าท์กันว่า เมียพี่หนิงเป็นรุ่นสุดท้ายที่ท้องแล้วต้องลาออก ต่อจากนั้นมีการเปลี่ยนกฎบริษัทใหม่ ให้แต่งงานได้หลังพ้นระยะทดลองงาน และท้องได้หลังจากทำงานเกินสามปี

มีสิทธิ์ท้องได้ไม่เกินสองครั้ง ยกเว้นกรณีแท้ง ท้องใหม่ได้ ยังไงก็เป็นกฎพิลึกๆในความรู้สึก
ฉันอยู่ดี พูดถึงกรณีให้ท้องได้ไม่ได้ ขอนอกเรื่องเล่าหน่อยว่า เวลาที่ท้อง ต้องรีบเอาใบรับรองแพทย์พร้อมด้วยทะเบียนสมรสไปแจ้งผู้บังคับบัญชา ประมาณว่า ..หนูท้องมีพ่อนะเจ้าคะ ถึงแม้จะเคยแจ้งบริษัทแล้วว่าแต่งงาน ยังต้องเอาทะเบียนสมรสไปโชว์อยู่ดี

มีแอร์บางคน ท้องกับสามีคนอื่น หรือท้องแบบผู้ชายไม่ตั้งใจให้ท้องแต่ผู้หญิงอยากท้อง หรือท้องแบบไม่ตั้งใจทั้งสองฝ่าย ฝ่ายชายไม่สามารถจด ทะเบียนสมรสด้วยได้

ฝ่ายแอร์หญิงสาวต้องขอให้เพื่อนสจ๊วตสาวที่มือไม้อ่อนช่วยเซ็นต์ทะเบียนสมรสให้ที แล้วค่อยหย่าทีหลัง เพื่อนสจ๊วตเอวอ่อน มืออ่อนหลายคนตกเป็นเครื่องมือรับใช้เพื่อนแอร์มาแล้ว

ผู้หญิงด้วยกัน ต้องเห็นใจกันจ้า ฉันทำงานต่อไป บินอีกหลายไฟลท์ รับฟังเรื่องราวชาวบ้าน โดยที่ตัวเองไม่ค่อยรู้จักใครนัก เพิ่งบินปีแรก ได้แต่ฟังรุ่นพี่ๆเค้าเม้าท์กัน บางเรื่องฟังแล้วมึน ว่า เออ แบบนี้มีด้วยเหรอ นานเลย กว่าฉันจะรู้ด้วยตัวเอง ว่าอะไรก็เกิดขึ้นใต้ ภายใต้ดวงอาทิตย์ดวงนี้

ฉันยังนึกถึงพี่อินอยู่ แต่เขาเงียบหายไปเลย การที่จะมีโอกาสบินเจอกันนั้นยากมาก ลูกเรือและนักบินเยอะ ต่างคนต่างบิน ไม่มีการร่วมงานกันเป็นกลุ่มใครอยากบินกับใครจริงๆต้องพยายามแลกตารางบินให้ตรงกัน

เป็นเรื่องวุ่นวายอยู่ตลอด เรื่องแลกไฟลท์ตามกัน หนุ่มสาวจีบกันยังเป็นเรื่องปกติ แต่บางคนที่มีแฟนแล้วหรือแต่งงานแล้ว แอบมาบินด้วยกัน บนเครื่องทำ เมินใส่กัน ลงเครื่องลับหลังคน ..


นอนห้องเดียวกัน หลบชาวบ้านอยู่กันสองคน คงไม่ต้องบรรยายว่าสองคนทำอะไรกัน...ท่านผู้อ่านนึกภาพออกใช่ป่าววว วันนั้นฉันนอนอยู่บ้าน คิดอะไรเพลินๆ โทรศัพท์ดัง... ฉันไม่รีบลุกไปรับหรอก เพราะรีบมาหลายครั้ง ผิดหวังทุกที

ดังอยู่นาน ฉันจึงยุรยาตรไปรับ "ฮัลโหลลลล "น้องริน นี่พี่อินนะครับ พี่กำลังจะไปบิน โทร.ที่แอร์พอร์ต คิดถึงน้องรินมากครับ" เสียงกระตุ้นหัวใจฉันดังมาตามสาย "น้องริน สบายดีมั้ยครับ คิดถึงพี่บ้างมั้ย อยากจะตอบว่า คิดถึงทุกลมหายใจก็พูดไม่ออก ได้แต่รับคำ "ค่ะ"น้องรินทำไมพูดได้แต่ค่ะ ค่ะ โกรธพี่เหรอครับ พี่ขอโทษที่โทร.มาช้า กว่าจะได้เบอร์น้องริน ..." เขาแก้ตัว

"พี่ต้องไปขึ้นเครื่องแล้วนะครับ ไปเดลี อยู่สี่วันแน่ะ อยากให้น้องรินไปด้วยจริงๆ " เขาพูดอยู่คนเดียว "เทคแคร์นะครับ i love you"

"ค่ะ nice flight นะคะพี่อิน" อยากพูดอีกมากมาย แต่ไม่กล้าพูด รู้ตัวว่าเราไม่ควรพูดมาก เขามีเจ้าของๆๆๆๆท่องไว้ๆๆๆ พี่อินวางสายไป ฉันร้องไห้ เจ็บหนึบๆที่หัวใจ โทรศัพท์ดังอีก

"ฮัลโหลลลลล" "หวัดดีครับ นี่พี่หนิงพูดนะครับ รินจำได้มั้ เฮ่อ ทำไมจะจำไม่ได้ ก็พี่เป็นหนุ่มสุดฮ็อตของบริษัท แอร์พูดถึงกันทุกไฟลท์ "จำได้ค่ะ มีธุระอะไรให้รินรับใช้เหรอคะ" ตอบไปอย่างเรียบร้อย "วันนี้รินว่างมั้ยครับ ไปทานข้าวเย็นกับพี่ได้มั้ยครับ พี่อยากปรึกษารินเรื่องยุ้ยหน่อ
คุยกันไปมา ฉันตกลงไปทานข้าวกับเขา นัดเจอกันที่เซ็นทรัลลาดพร้าว

ยุคนั้น ฉันยังสวยอยู่ ตรงสเป็คผู้ชายมากมาย แบบเดินไปไหนๆมีแต่คนมอง มาถึงตอนนี้ ส่องกระจกแล้วปลง สังขารไม่เที่ยงจริงๆ พี่หนิงดูยิ้มแย้มแจ่มใส เขาพาฉันไปทานข้าวที่ร้านเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ร้านอาหาร ฉันเจอพี่ตุ๊ก ดวงตา ตุงคะมณี รุ่นพี่ที่รร. พี่ตุ๊กเข้าวงการแล้ว ตัวจริงพี่ตุ๊กสวยมากกกกกกกกกกก พี่ตุ๊กว่า "ริน อยากเล่นหนังมั้ย ท่าทางรินเป็นนางเอกได้สบายเลย "
"ไม่หรอกค่ะพี่ตุ๊ก รินไม่ขึ้นกล้อง ถ่ายรูปไม่เคยสวย อยู่ที่การบินไทย เค้าเอาไปเทสต์หน้ากล้อง จะให้ถ่ายโฆษณาก็ไม่ผ่าน ได้แต่ถ่ายภาพนิ่งทีสองที ไม่เอาไหนเลยพี่ตุ๊ก"ฉันสาธยาย

"แล้วนั่นแฟนรินเหรอ หล่อชะมัด
"555 พี่ตุ๊กขา จะชวนเค้าไปเล่นหนังเหรอคะ เค้าเป็นนักบิน แฟนเพื่อนรินเอ
"แฟนเพื่อน แล้วไหงมากับรินสองคนล่ะ
"เค้ามีเรื่องเพื่อนรินจะคุยกับรินน่ะค่
"รินระวังเหอะ แผนเค้าจะจีบรินอ่ะดิ คนหล่อก็แบบนี้ เจ้าชู้ หว่านไปทั่ว

....พี่ตุ๊กพูดจริงเลยเชียว....


พี่หนิงเล่าให้ฉันฟังว่า ยุ้ยติดเขามาก แลกไฟลท์บินตามเค้าตลอด เค้ายังไม่แน่ใจเลยว่าชอบยุ้ยแค่ไหน (เห็นมั้ย ชอบแค่ไหนไม่รู้ แต่เอาไปแล้ เชอะๆๆๆ เค้าอยากเลิกกับยุ้ย ยุ้ย"ไม่ใช่" สำหรับเขาเลย

ในสายตาฉัน ยุ้ยไม่สวยมาก แต่น่ารัก ดูดี คุณแม่เธอมีเชื้อสายราชนิกูล เป็นหม่อมราชวงศ์ คุณพ่อเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยที่ฉันจบมา แต่ยุ้ยกลับจบ มหาวิทยาลัยเอกชนเพราะเอ็นท์ไม่ติด

น้าของยุ้ยท่านหนึ่ง เป็นหม่อมราชวงศ์ ทำงานเป็นสจ๊วต และเลื่อนขั้นเป็นเพอร์เซอร์แล้วในตอนนั้น เพอร์เซอร์ คือ หัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ก้าวมาจากเป็นสจ๊วตระยะหนึ่ง แล้วสอบเลื่อนขั้น ตอนฉันบินใหม่ๆ เพอร์เซอร์มีแต่ผู้ชาย

สิบกว่าปีให้หลัง ถึงเริ่มให้แอร์สอบเพอร์เซอร์ได้ คุยกันไป ทานข้าวไป ฉันรู้สึกเพลินดีเหมือนกัน ก็คนกำลังเจ็บปวด พอมีคนมาเอาใจ มาทำท่าดูแลเลยเริ่มสบายใจ

เข้าทางพี่หนิงเค้าแล้ว

ต่อจากตอนที่แล้ว

พี่หนิงกลับไปส่งฉันที่เซ้นทรัล เขาเดินมาส่งฉันที่รถ แล้วถามว่า "พี่โทร.หารินอีกได้มั้ยครับ "ได้สิคะ เป็นเพื่อนกัน ทำไมจะโทร.ไม่ได้ ฉันขับรถกลับบ้าน จัดกระเป๋าเตรียมบินตอนบ่ายวันรุ่งขึ้นพออยู่คนเดียว คิดถึงพี่อินอีกแล้ว เวรกรรมรัยนี่ ต้องมารักคนมีเจ้าของชอกช้ำนักหนา

ร้องไห้อีกแล้ว เอาน่า สู้ สู้ บอกตัวเองว่าอย่าทำอะไรให้พ่อแม่เสียใจนะ พ่อแม่เลี้ยงเรามาดีขนาดนี้เราต้องเป็นคนดีสิ วันรุ่งขึ้นไปบิน เวลาไปบินแต่ละไฟลท์ ต้องไปรายงานตัวสองชั่วโมงครึ่งก่อนเครื่องออก สมัยฉันบินใหม่ๆยังไม่มีศูนย์ลูกเรือใหญ่โตเหมือนปัจจุบันนี้ ต้องไปรายงานตัวที่สำนักงานใหญ่ ซึ่งจัดตึกเอาไว้ตึกหนึ่งสำหรับลูกเรือโดยเฉพาะ เราต้องไปเซ็นต์ชื่อที่ตรงโต๊ะ supervisor on duty พี่พวกนี้เป็นแอร์เก่า คอยดูแลเราหัวจรดหาง เอ๊ย ไม่ใช่ หัวจรดเท้า ดูว่าเราสวมเครื่องแบบเรียบร้อยมั้ย กระโปรงต้องอยู่พอดีเข่า ต้องสวมถุงน่องสีเข้ากับผิว รองเท้าคัทชูส้นสูงสีดำตามกฎบริษัท ต้องทำเล็บมาให้สวย ทาเล็บด้วยเฉดสีแดง ส้ม ชมพู เท่านั้น จะมาทาสีม่วง สีน้ำเงิน สีทอง ไม่ได้ สียอดนิยมของแอร์คือสีน้ำตาลอ่อนอมชมพูอมส้ม เพราะมันเลอะหรือลอกแล้วสังเกตไม่ค่อยเห็น บางคนลืมทาเล็บมา มาทาในรถ เดินกางมือมาราวแม่เสือ จะตะปบเหยื่อ

ทรงผม ถ้ายาวเลยไหล่ต้องรวบให้เรียบร้อย จะถักเปีย เกล้ามวย หรืออะไรก็ได้ที่เก็บผม ห้ามทำหางม้าไกวแกว่ง เดี๋ยวไปแกว่งโดนผู้โดยสารเข้าจะเดือดร้อน

แต่ฉันก็เห็นแอร์สายการบินอื่นเค้าไว้หางม้ากัน ไม่เห็นจะเป็นไร น่ารักดีออก ถ้าผมสั้น ต้องตัดทรงสุภาพ ห้ามซอยทรงพิสดาร ส่วนใหญ่แอร์ผมสั้นจะไว้บ๊อบกัน ไม่ก็ซอยสั้นๆถ้าหน้าให้และหัวทุย ห้ามทำสีผมเด็ดขาด

supervisor on duty หลายท่านจะเข้มวงดมาก ขนาดให้กางนิ้วดูเล็บเหมือนตอนอยู่ที่รร. ให้เปิดเสื้อดูว่าสวมสลิปหรือเปล่า เพราะชุดไทยที่สวมตอนทำงานบนเครื่อง ตัวเสื้อจะสั้นและพอดีตัว ถ้าเราช่วยผู้โดยสารเก็บของไว้ที่ที่เก็บของเหนือศีรษะ เสื้อจะเลิกขึ้นไปเห็นเนื้อ หาก ไม่สวมสลิป เป็นแอร์ รายละเอียดเยอะ กฎเกณฑ์มากมาย รายงานตัวตามเวลาแล้วเข้าห้องbrief ตามไฟลท์ที่เราจะไป เพอร์เซอร์จะเป็นผู้ทำหน้าที่สรุปให้พวกเราฟังและเม็มไว้ในหัวว่า... ไฟลท์นี้กัปตันชื่ออะไร ชั่วโมงบินประมาณกี่ชั่วโมง ผู้โดยสารแต่ละคลาสกี่คน อาหารมีอะไรบ้าง

เรื่องอาหารนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำการบ้านมา ต้องรู้ว่าสิ่งที่เราเสิร์ฟปรุงมาจากอะไรบ้าง ไวน์ที่เสิร์ฟผลิตปีไหน จากองุ่นแคว้นไหน ประเทศอะไร ซึ่งบริษัทจะสอนเราในตอนเทรนนิ่งก่อนขึ้นบิน ทุกคนต้องอัพเดทตัวเองเรื่อยๆ ถ้าตอบอะไรผู้โดยสารไม่ได้ในเรื่องที่ควรตอบได้ จะโดนมิใช่น้อย ฉันถูกวางตำแหน่งให้ยืนรับผู้โดยสารที่ประตูสอง


บทบาทคือไหว้ แล้วขอดูบอร์ดดิ้งพ้าส (บัตรผ่านขึ้นเครื่อง จะมีชื่อผู้โดยสาร และหมายเลขที่นั่ง แยกสีตามชั้นที่ผู้โดยสารจ่ายเงินซื้อตั๋วไวดูบอร์ดดิ้งพ้าส แล้วผายมือไปทางซ้าย ทางขวา แล้วแต่ที่นั่งผู้โดยสารจะไปทางไหน ซึ่งจะมีแอร์และสจ๊วตที่เหลือยืนรอรับอยู่ตามจุดต่างๆในเคบิน

ระหว่างที่ฉันกำลังยืนรอรับผู้โดยสาร ขบวนนักบินเดินขึ้นเครื่องมา นำหน้าด้วยกัปตัน ปิดท้ายด้วย.... พี่หนิง (โฮะ โฮะ มาได้งัยนี่ ตั้งใจป่า ฉันยกมือไหว้ทุกคน นักบินตะเบ๊ะตอบ (ใส่หมวกอยู่ พี่หนิงในเครื่องแบบหล่อจัดจริงๆน่ะแหละ ฉันเพิ่งมองเค้าชัดๆ เวลาสวมเครื่องแบบ เค้าดูเท่ห์กว่าพี่อินอีก กัปตันทักฉันว่า " ชุดไทยหนูสวยมาก เป็นชุดสีเหลืองมะนาว สไบสีทอง พี่หนิงมาบอกทีหลังว่าวันนั้นเค้านึกว่าฉันเป็นนางฟ้าตัวจริงมาเลย ปากหวาน เด็กสาวๆอย่างฉันก็ปลื้มไป ลืมคิดถึงพี่อินไปชั่วขณะ

ที่สิงคโปร์ พี่หนิงพาฉันกับเพื่อนอีกคนชื่อกิ๊บไปทานข้าวเย็น ฉันได้ทานบากูเต๋(กระดูกหมูต้มเครื่องยาจีน มีซีอิ๊วดำใส่พริกคล้ายพริกชี้ฟ้าเป็นน้ำจิ้ม ทานกับข้าวสวย อร่อยมากๆ) ทานไอ๊ซ์กะจัง (คล้ายน้ำแข็งใสบ้านเรา อร่อยมากอีกเลย จากนั้นย่อยอาหารด้วยการไปเดินช้อปปิ้งแถวถนนออร์ชาร์ด ถนนช้อปปิ้งที่ขึ้นชื่อของสิงคโปร์ เดินกันไปสามคน กิ๊บคุยกับพี่หนิงไปเรื่อยๆ กิ๊บเป็นคนสวย ขี้เล่น หูตาพราวแพรว คนรุมจีบ

ตรึม แต่เท่าที่รู้ตอนนั้นกิ๊บเพิ่งเลิกกับแฟนที่เป็นสจ๊วตมาหมาดๆ ดู กิ๊บดี๊ด๊ากับพี่หนิงน่าดู

เดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ ของแบรนด์เนมทั้งนั้นเลย แพงมากในความรู้สึกคนเพิ่งทำงานอย่างฉัน เข้าร้าน FENDI ฉันติดใจกระเป๋าสะพายใบเล็กๆ เป็นรูปสี่เหลี่ยมเกือบจตุรัส ตรงมุมมีโค้งๆเดินเส้นสวยด้วยหนังสีน้ำเงินเข้ม ตัวกระเป๋าเป็นผ้ายีนส์ลาย FENDI ฉันชื่นชมกระเป๋าใบนั้นอยู่นาน กิ๊บบอกว่า "น่ารักจัง รินเอาสิ "ไม่เอาหรอก ชอบมากเลยนะ แต่รินว่ามันแพงไป คิดเป็นเงินไทยตั้งเกือบห้าพันห้าพันสมัยนั้นหากเทียบสมัยนี้คงสักสามหมื่นมั้ง

"โห ริน เดี๋ยวเราก็หาตังได้อีก เป็นแอร์ต้องแต่งตัวดีๆ ดูพวกรุ่นพี่ๆดิ หลุยส์ กุ๊ชชี่ ดิออร์ กันทั้งนั้น" กิ๊บยุ สุดท้ายฉันก็ไม่ซื้อ แต่กิ๊บไปเข้าร้านกุ๊ชชี่แล้วซื้อกระเป๋าถือมาใบนึง สวยแต่ไม่ใช่แบบที่ฉันชอบ กิ๊บบอก "เนี่ย เจ็ดพันกว่า เมืองไทยก็คงซักหมื่นต้นๆ ได้ของถูกเห็นป่าเออ เพื่อนฉันคนนี้ซื้อของแพงได้ถูกกว่าที่เมืองไทยก็ดีใจแล้ว ช่างมองโลกในแง่ดี และช่างใช้เงินเก่งจริงๆ

ระหว่างนั้นกิ๊บคุยจ๋อยๆกับพี่หนิง ไม่ค่อยสนใจฉันหรอก แต่ฉันรู้ด้วยสัญชาตญาณผู้หญิงว่าพี่หนิงแอบมองฉันตลอด พากันนั่งแท็กซี่กลับโรงแรม แยกย้ายกันเข้าห้อง นัดกันว่าเช้าวันรุ่งขึ้นเราจะไปแหล่งช้อปของถูก คือ PEOPLE'S PARK นัดกันสิบโมงเช้า ช้อปได้ถึงบ่าย บินกลับกรุงเทพฯตอนค่ำ

ฉันมารู้หลังจากนั้นอีกนานว่า คืนนั้นพี่หนิงนอนห้องเดียวกับกิ๊บ ฉันมันโง่จริงๆ รู้อะไรๆทีหลังชาวบ้านเค้าหมด หลังจากไฟลท์สิงคโปร์นั้น ฉันมีวันหยุดสองวัน และ stand by 1 วัน รุ่งขึ้นจาก stand by มีไฟลท์บินไปโอซาก้า ซึ่งฉันชอบไปมาก ชอบทุกอย่างที่เป็นของญี่ปุ่น มันคิกขุน่ารัก ซื้อของแค่ไม่กี่เยน คนขายจะแพ็คให้อย่างสวยงามจนไม่อยากแกะ ยังไม่เคยเห็นแพ็คเกจจิ้งของที่ไหนเนี้ยบสวยเท่าญี่ปุ่นเลย

ผู้โดยสารญี่ปุ่นส่วนใหญ่มารยาทงาม แต่ติดบุหรี่มาก ทุกไฟลท์ที่ไปญี่ปุ่น ผู้โดยสารจะมีการแย่งนั่งที่ตรงโซน smoking ต่างจากเที่ยวบินอื่นที่ผู้โดยสารไม่ค่อยขอที่นั่งสูบบุหรี่ ทั้งที่ตัวสูบบุหรี่ คือนั่งบริเวณไม่สูบแล้วไปยืนสูบบุหรี่แถวๆโซนสูบบุหรี่ ถ้ามีที่นั่งว่างแถวนั้นท่านจะนั่งสูบสบายใจ แล้วกลับไปที่นั่งตนเองที่ตรงไม่สูบ จะได้หายใจสบายอก

แต่คนญี่ปุ่นเป็นชาติที่มีระเบียบวินัย สูบก็บอกว่าสูบ ไม่เอาเปรียบใคร สังเกตได้ว่าผู้โดยสารญี่ปุ่นสูบบุหรี่อยู่ยี่ห้อเดียว คือ MILD SEVEN ชาตินิยมเอาจริงเอาจัง ตอนนี้ห้ามสูบบุหรี่บนเครื่องบินหมดแล้ว น้องๆแอร์รุ่นใหม่ไม่ต้องดมควันบุหรี่แบบรุ่นฉันเมื่อก่อน สงสารคนญี่ปุ่น เวลาก่อนขึ้นเครื่องบินคงอัดบุหรี่ไว้ทั้งซอง


(เรื่องคนญี่ปุ่นมีอีกเยอะ ขอติดไว้เล่าทีหลังเมื่อฉันมี stand by วันก่อนหน้าบินไฟลท์โอซาก้า ฉันจึงกลัวมากว่าจะโดนเรียกไปบินที่อื่นแล้วอดไปโอซาก้า วางแผนไว้ว่า ในวัน stand by จะไม่รับโทรศัพท์ ปล่อยให้ดังไป แต่ไม่ยกหูออก

stand by คือการที่ลูกเรือคนนั้นๆต้องเตรียมพร้อมที่จะไปบินได้ทันทีที่ถูกเรียก ต้องอยู่บ้านทั้งวัน ห้ามออกไปไหน จัดกระเป๋าให้พร้อม ทาเล็บ ทำผมไว้ด้วย คือทำตัวเหมือนวันนั้นจะไปบิน แต่ไม่ออกไปถ้าไม่ถูกเรียก สมัยนั้น ทางแผนกจัดตารางบิน และดูแลรับโทรศัพท์ลากิจ ลาป่วย รับแลกตารางบิน ฯลฯอยู่ที่สำนักงานใหญ่ ชั้นล่างของตึกที่พวกเราไปรายงานตัวก่อนบิน

เรียกว่าแผนก OB ต่อมาเปลี่ยนเป็น OJ ปัจจุบันคือ OD เจ้าหน้าที่ใน OB เกือบทุกคนเคยเป็นแอร์ แต่มีปัญหาต่างๆนานา ในการไปบินไม่สะดวก อาทิ สุขภาพไม่ดี อยากทำงานภาคพื้นดิน มีภาระทางครอบครัวทำให้ไปค้างคืนที่ไหนไม่ได้ มีปัญหากับลูกเรือด้วยกันจนอยู่ไม่ไหว ฯลฯ ต่างลงมาอยู่ที่แผนกนี้ และกลายเป็นแผนกไม้เบื่อไม้เมากับลูกเรือ เพราะพวกเธอลืม กันไปหมดว่าอดีตเคยเป็นแอร์ และพวกแอร์สจ๊วตต่างก็แสบไม่น้อยในการหลบเลี่ยงหน้าที่ ผู้จัดการแผนกตอนนั้นคือ คุณ ยุรภรณ์ แม็คอินทอช

คุณแม่ของวิลลี่และแหม่ม ถึงวัน stand by ฉันจัดกระเป๋าไว้เรียบร้อย อยู่บ้านคนเดียว คุณพ่อคุณแม่ไปทำงาน น้องสาวน้องชายไปเรียน ฉันบอกสมาชิกในครอบครัวไว้เรียบร้อยว่าอย่าโทร.มาที่บ้าน ถ้าไม่มีเรื่องด่วนจริงๆ เพราะฉันจะไม่รับโทรศัพท์ กลัวได้ไปเมืองแขกแทนไปญี่ปุ่น

ช่วงเช้า โทรศัพท์ดังสองครั้ง ฉันไม่รับ ช่วงบ่ายดังอีกสามครั้ง ฉันไม่รับสายตามเคย

ตอนเย็น มีคนมากดกริ่งที่ประตูหน้าบ้าน ฉันใจหายวูบ ตกใจเพราะนึกว่า OB ส่งเมสเซ็นเจอร์มาตาม ในกรณีที่เราไม่รับโทรศัพท์ OB จะโทร.หา standby คนอื่นๆ แต่ถ้าใครๆไม่รับโทรศัพท์ล่ะ .. สิงห์มอไซค์จะถูกส่งมาจิกตัวเราถึงบ้าน แล้วจะหนีรอดมั้ยเนี่ยชั้น เด็กที่บ้านออกไปดูว่าใครมา มาหาใคร แล้วเข้ามารายงานฉันว่า "คุณรินขา มีผู้ชายมาหาคุณรินค่ะ หล่อมากกกกกค่ะ

"แล้วเค้าบอกน้อยป่าวว่ามีธุระอะไร
"ไม่ได้บอกค่ะ บอกแต่มาหาคุณริน
" เค้าชื่ออะไรล่ะ" ฉันถามน้อย

" โอย ตาย น้อยลืมค่ะ มัวมองความหล่อจนลืมไปหมดว่าจะพูดอะไร" ยัยน้อยนี่จะออกแนวโก๊ะๆหน่อย ทันใดนั้น พุทธิปัญญาพลันพรุ่งพรวดขึ้นมาในหัวฉัน ..พี่อินแหงๆ พี่อินมาหาฉัน อ้าว..เอ๊ะ.. แล้วเค้ารู้จักบ้านเราได้ไงเนี่ย คิดพร้อมกระโจนพรวดไปหน้าบ้าน เกือบสะดุดน้องหมาล้ม

โน่น..ยืนยิ้มหล่ออยู่หน้าบ้าน หัวใจหายวูบเลย ..ผิดหวังๆๆๆๆๆ พี่หนิงมา ไม่ใช่พี่อิน เอ..อาจเป็นได้ว่าพี่อินวานเขามา ยังแอบหวังอยู่ "สวัสดีค่ะพี่หนิง มาบ้านรินได้ไงคะนี "พี่มีเรดาร์พิเศษครับ ตามหาตัวรินได้ตลอดเวลา" พี่รินพูดยิ้มๆ ฉันทำไม่รู้ไม่ชี้ ถามต่อ

"พี่รินมีธุระอะไรกะรินเหรอคะ อย่าบอกนะว่า OB ใช้มาเรียกรินไปบิน
"นั่นสิครับ นึกแล้วว่ารินไม่อยากโดนเรียก พี่โทร.มาตั้งหลายที ไม่รับสายเลย
"แล้วตกลงพี่รินมาทำไมคะ จะมาคุยเรื่องยุ้ยเหรอคะ ท่าทางเรื่องด่วน
"เปล่าคร้าบ พี่แวะเอาของมาให้รินต่างหาก" พี่หนิงทำหน้ามีนัยยะบอกไม่ถูก

"พี่อินฝากมาเหรอคะ" ฉันโพล่งไปตามที่ใจคิด

"ไม่ใช่อีกและครับ พี่เอามาฝากน้องรินด้วยตัวพี่เอง คอยแป๊บนะครับ พี่ไปเอาที่รถก่อน

พี่หนิงเดินไปที่รถบีเอ็มซีรี่ส์ห้าสีดำ ติดฟิล์มมืดตึ๊ดตื๋อ จอดอยู่ใกล้ๆ หยิบถุงออกมา เดินกลับมาส่งถุงให้ฉัน โฮ้โฮ.... ถุงกระเป๋า FENDI ใบที่ฉันอยากได้ตอนไปสิงคโปร์นั่นไง คุณแม่ฉันเคยสอนบ่อยๆว่า อย่ารับของจากผู้ชายถ้าไม่คิดว่าจะสานต่อความสัมพันธ์กับเขา มันจะทำให้เราดูเป็นผู้หญิงโลภ แม้จะคบกันแล้ว ถ้ายังไม่แต่งงาน ไม่ควรรับของราคาแพงจากเขาเป็นอันขาด


"ไม่ควรให้ผู้ชายคิดว่าซื้อลูกได้ด้วยเงิน..." คำสอนของแม่น่ะจำได้ แต่กระเป๋าที่ล่อใจอยู่ข้างหน้า ทำให้ฉันอึกอัก พี่หนิงเห็นท่าฉันแบบนั้นเลยพูดว่า "เห็นรินอยากได้ พี่เลยแอบไปซื้อตอนก่อนเราบินกลับ เกือบกลับมาขึ้นรถไม่ทัน พี่หนิงหมายถึงขึ้นรถบัสรับพวกเราไปสนามบิน ซึ่งทุกคนต้องตรงเวลา

"รินชอบ แต่ไม่ยอมซื้อ พี่ชอบผู้หญิงมีความคิดแบบนี้ รินรับไปเถอะนะครับ อีกอย่าง รินเป็นเพื่อนยุ้ย เป็นที่ปรึกษาของพี่ เถอะนะครับ รับไปเป็นค่าปรึกษาไง พี่หนิงชักแม่น้ำห้าสิบสายมาพูด จนฉันใจอ่อนด้วยความอยากได้กระเป๋าบวกกับคารมพี่หนิงแบบที่ภาษิตว่า

"คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอ แต่กับพี่หนิง ขอตั้งใหม่ว่า

"คารมเป็นต่อ รูปหล่ออีกเป็นกอง แล้วหญิงจะต่อรองยังไงไห แฟนเพื่อนนะนั่น..

ลงท้ายด้วยการที่ฉันยอมไปทานข้าวเย็นสองต่อสองกับพี่หนิงที่ห้องอาหารในโรงแรมห้าดาว อาหารหรู มีชายหนุ่มสวมทักซิโด้เล่นเปียโน และสาวสวยในชุด ราตรีงดงามร้องเพลงเบาๆ เข้ากับเปียโน ฉันสบายใจมากในคืนนั้น พี่หนิงทำตัวน่ารัก สุภาพ แบบนี้เรียกว่าทำให้ฉันตายใจ สุดท้ายตายทั้งเป็นเพราะผู้ชายคนนี้ ฉันมันทั้งเห่ยทั้งโง่ที่คิดว่าพี่หนิงจริงใจ และเป็นสุภาพบุรุษ ซาตานมักจะมาในคราบนักบุญก่อน อันนี้จริงที่สุด พี่หนิงส่งฉันที่บ้าน พร้อมกับบอกว่าจะมารับพรุ่งนี้เช้า ไปส่งฉันไปบิน ฉันนอนหลับ ไม่ฝันถึงพี่อินอีกแล้ว


ตอนเช้า พี่หนิงมาตามนัด สวมเครื่องแบบมาด้วย เขาไปบินโอซาก้ากับฉัน แต่ไม่บอกตั้งแต่เมื่อวาน กะจะเซอร์ไพร้ซ์ฉัน เขาเข้ามาสวัสดีพ่อแม่ฉันด้วย

"คนนี้หล่อมากนะลูก แต่ดูให้ดีๆก่อน เราเห็นหล่อ ผู้หญิงอื่นก็เห็นหล่อ เดี๋ยวลูกจะเวียนหัวทีหลัง
"รินยังไม่อะไรหรอกค่ะแม่ ไปบินละค่ะ แล้วจะซื้อกากิมาฝากแม่ค่า" กากิ คือลูกพลับสด ที่ญี่ปุ่น ลูกพลับสดจะมีในหน้าหนาว หวาน หอม อร่อยมั่กๆ ช่วงกากิออก กระเป๋าทุกคนจะหนักเป็นพิเศษ

ซื้อกันเป็นลัง ขนาดใหญ่สุดเรียกว่า ขนาดสามแอล (3L) นานๆจะมีสี่แอลบ้าง ส่วนใหญ่ที่ขายจะมีตั้งแต่ หนึ่งแอลถึงสามแอล ฉันเองไม่ทราบเหมือนกันว่าที่เรียกแบบนี้ย่อมาจากอะไร

ถึงบริษัท พี่หนิงช่วยฉันยกระเป๋าลงจากรถ แล้วขับไปสนามบินเลย นักบินไม่ต้องไป brief ที่บริษัท พวกเขาจะ brief กันสามคน (คือนักบินที่หนึ่ง สอง สาม) ที่สนามบิน ในแผนกที่เรียกว่า dispatch ทางแผนกนั้นจะรายงานกัปตันว่า ในเที่ยวบินนั้นๆ มีผู้โดยสารกี่คน น้ำหนักกระเป๋าและสัมภาระกี่ตัน คาร์โก้ (สินค้า) กี่ตัน มีสิ่งมีชีวิตอื่นๆใต้ท้องเครื่องกี่ชีวิต

สิ่งมีชีวิตอื่นๆ คือสัตว์ต่างๆทั้งที่เป็นอาหารและเป็นสัตว์เลี้ยง สิ่งไม่มีชีวิตก็ขนส่งได้ (ศพไงกัปตันได้รับรายงานทั้งหมดแล้วจะคำนวณว่าควรจะสั่งน้ำมันกี่ร้อยตันถึงจะพาเครื่องไปยังจุดหมายได้ปลอดภัยที่สุด การคำนวณน้ำมันเป็นเรื่องสำคัญ หากเครื่องเกิดลงที่สนามบินนั้นๆไม่ได้ จะต้องไปลงสนามบินอื่นที่ใกล้ที่สุด หรือต้องบินวน รอคิวที่จะลง น้ำมันจะต้องพอ เพียงต่อเรื่องฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ที่ห้อง brief ฉันเจอกิ๊บอีกแล้ว กิ๊บรีบมาทักฉัน

"เราบินกะพี่หนิงอีกแล้ว มีคนเลี้ยงข้าวละ " กิ๊บพูดไปหัวเราะไป

"รินรู้ป่าวว่าพี่หนิงเค้าเลิกกะยุ้ยแล้วนะ เรากะจะเสียบต่อเลยดีมั้ย
"ฮื่อ..ตามใจดิ" ฉันไม่เล่าเรื่องพี่หนิงกับฉันให้กิ๊บฟัง และฉันเองยังไม่รู้เรื่อง(แอบๆนอนกัน) ของพี่หนิงกับกิ๊บด้วย ตามที่กิ๊บบอก เราไปทานอาหารเย็นกันสามคน เดินไปร้านข้างๆโรงแรม เย็นแล้ว อากาศหนาว อุณหภูมิที่กัปตันประกาศก่อนลงคือ แปดองศาเซลเชียส เราเลยเลือกทานร้านใกล้โรงแรม จะได้ไม่ต้องทนหนาวเดินไกล

วันนั้นมีปลาไข่ หรือที่พวกเราเรียกว่า " ชิชาโมะ" เป็นปลาตัวเรียวๆขนาดทานสองสามคำ ทอดจนเหลืองกรอบ วางมาบนกระหล่ำปลีสดหั่นฝอย (อาหารญี่ปุ่นแทบทุกจานจะมีกระหล่ำปลีแบบนี้มาด้ว อร่อยๆๆๆ จนลืมสงสารปลา และไข่มากมายในท้องที่เราทานไป

พี่หนิงกลับชอบปลาดิบ ปลาดิบที่ญี่ปุ่นสดและถูก ต่างจากบ้านเราที่ขายแพงมากๆ มีโอเด้งด้วย คล้ายๆพะโล้บ้านเรา เพียงแต่รสชาดแนวญี่ปุ่น โอเด้งนี่เขาจะทำขายให้ซดนำซุปร้อนๆเฉพาะในหน้าหนาวเท่านั้น ระหว่างทานอาหาร กิ๊บคุยแจ้วๆกับพี่หนิงที่ไม่เห็นค่อยพูดซักเท่าไหร่ (แต่แอบมองฉันอีกละ ทานเสร็จ แวะซื้อกากิกัน เดินกลับโรงแรม ต้องรีบพักผ่อนเนื่องจากในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นเราจะบินกลับกรุงเทพฯ

ฉันอาบน้ำเสร็จซักพัก โทรศัพท์ที่หัวเตียงดัง "ฮัลโหล" ใจฉันนึกว่าพี่หนิงชัวร์

ไม่ผิดคาดสักนิด " พี่ไปคุยด้วยแป๊บนึงได้มั้ยครับ ไม่รบกวนรินนานหรอ ในใจฉันต่อสู้กันอยู่สองสามวิ "ได้ค่ะ พี่หนิงมาที่ห้องฉันด้วยชุดเสื้อยืด กางเกงขาสั้น ในโรงแรมไม่หนาว มีเครื่องทำความร้อน (heater) พี่หนิงเข้ามาในห้องฉัน "หอมจังครับ รินใช้น้ำหอมอะไรนะครับ
"รินใช้ body spray ธรรมดาๆค่ะ" ฉันชักเขินๆ ไม่แน่ใจตัวเองว่าชอบพี่หนิงจริงๆหรือเปล่า

ความรู้สึกต่างจากที่ฉันรู้สึกกับพี่อิน พี่หนิงบอกฉันว่า เลิกกับยุ้ยแล้ว ยุ้ยยังไม่ยอม โวยวาย แต่พี่หนิงยืนยันขอเลิก ลงท้ายด้วยการขยับมากอดฉันเฉยเลย กอด แล้วจูบ จูบที่ทำเอาฉันแทบบ้า พี่หนิงจูบเก่ง และค่อยเป็นค่อยไป เร้าอารมณ์ดีชะมัด

แต่นั่นแหละ สุดท้ายฉันไม่ยอม แม้จะเคลิ้มไปกับบทรักของพี่หนิง กับคำรำพันว่า "พี่รักริน รักริน
เหลือเกิน พี่หนิงต้องกลับห้อง โดยไม่ได้มีเซ็กส์กับฉัน... ตอนหลังเขามาเล่าให้ฉันฟังว่าเขาอารมณ์ค้างมาก เลยไปหากิ๊บ

เลวซะ.... ความสัมพันธ์ของฉันและพี่หนิงก้าวหน้าไปเรื่อยๆเอื่อยๆพี่หนิงยังคงเอาใจฉันมากมาย จนวันหนึ่งยุ้ยโทร.มาหาฉัน "ริน ยุ้ยอยากถามรินว่ารินทำแบบนี้ไปได้ยังไง ยุ้ยเสียงแข็งมาเลย

" เอาเป็นว่า รินไม่ได้แย่งพี่หนิงนะยุ้ย เค้าเลิกกับยุ้ยก่อนนะ ถึงมาหาริน"โหย รินพูดเข้าข้างตัวเองดีจริงเล้ย ยุ้ยไม่อยากพูดมาก พี่หนิงน่ะ เค้ามีอะไรๆกับยุ้ย ไม่ใช่แฟนกันธรรมดา พี่หนิงเค้ารักยุ้ย ทำให้ได้ทุกอย่า "ทำให้ได้ทุกอย่าง.."ฉันทวนคำพูดยุ้ย

"ใช่สิ แบบทุกอย่างที่ทำให้ยุ้ยมีความสุขไง ทุกอย่าง ทุกเรื่อง.." ยุ้ยสะอื้นมาตามสาย
"ยุ้ย อย่าร้องไห้เลย รินเองก็ยังไม่มีอะไรกับพี่หนิงนะ ดูๆกันไปก่อน อีกอย่าง รินยังไม่แน่ใจความรู้สึกตัวเอง จริงๆนะยุ้ย"เฮ่อ..เบื่อพวกแก้ตัว แย่งแฟนเพื่อน สวยๆแบบเธอน่าจะหาไม่ยากนะ ..บลาๆๆๆๆ ฉันวางสายก่อนที่ยุ้ยจะขึ้นเสียงสูงจนคอแตก

ช่วงนั้น บริษัทเปิดเที่ยวบินใหม่ไปยังเกาะคาลิโดเนีย หรือที่เรียกกันว่า"นูเมีย เป็นหมู่เกาะเล็กที่สวยงามในมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ใครที่ได้บินไปแล้วจะกลับมาเม้าท์ว่านูเมียสวยมาก ผู้คนน่ารัก บ้านเมืองน่าเอ็นดู พวกเราต่างรอลุ้นตารางบินเดือนใหม่ว่าจะได้ไป นูเมียบ้างมั้ย สัปดาห์หนึ่งมีสองไฟลท์ อยู่ที่นั่นสี่วัน

กับห้าวัน

ฉันก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ยิ่งได้ฟังว่านูเมียน่าไปอย่างนั้นอย่างนี้ ยิ่งอยากไป ตารางบินจะออกล่วงหน้าหนึ่งเดือน โดยทาง OB จะเอาตารางบินของแต่ละคนไปใส่ไว้ในช่องใส่เอกสารส่วนตัวซึ่งมีลักษณะเป็นตู้ไม้ เจาะเป็นช่องๆ เรียงตามลำดับเลขประจำตัวพนักงาน ตั้งไว้ที่ห้องพักผ่อนก่อน brief ห้องนี้มีโซฟาเป็นชุดๆ ไว้ให้นั่งคุย นั่งพัก นั่งดื่มกาแฟ นั่งทาเล็บฯลฯ ก่อนบิน และเป็นที่ระบายความคับแค้นใจจากผู้โดยสาร เพื่อนร่วมงาน หลังกลับจากบิน สมัยก่อนนั้น เป็นช่องโล่งๆ สอดเอกสารขนาด A4 ได้อย่างสบาย ไม่มีช่องปิดล็อก ทำให้เกิดคดีเอกสารหายกันเป็นประจำ

ตารางบินใหม่ออกมา ฉันได้ไฟลท์ไปนูเมียห้าวัน ...ดีใจสุดๆ

เรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่ไฟลท์นูเมียนี่เอง ก่อนที่จะไปนูเมีย ฉันมีวันว่างเมื่อไหร่เป็นต้องออกไปซื้อเสื้อผ้า เพราะได้ข่าวมาว่าที่พักเราอยู่ริมชายทะเล ต้องแต่งตัวให้ลุคแบบซัมเม่อร์ สีแจ๋นๆ ประเภทแขนกุด ขาสั้น (สมัยนั้นยังไม่นิยมสายเดี่ยวฉันก็เหมือนผู้หญิงเกือบทั้งโลกที่ชอบความสวยงาม ไปตั้งห้าวัน รวมวันบินไป-กลับเป็นหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ

ฉันช้อปเสื้อผ้าซะเยอะแยะ ที่สยามนั่นแหละค่ะ แหล่งช้อปตลอดกาล ตอนนั้นยังไม่มีสยามดิสคัฟเวอรี่ มีแต่สยามสแควร์ กับสยามเซ็นเตอร์ ฉันเป็นขาประจำร้าน JASPAL มาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงวันนี้ แม้จะมีเสื้อผ้าแบรนด์ใหม่อีกมากมาย ฉันยังคงแวะเวียนไปที่ JASPAL อยู่เสมอ

เชื่อไหมว่าโต๊ะไม้ตัวใหญ่ในร้านที่สยามเซ็นเตอร์อยู่มาตั้งแต่ตอนที่ฉันเริ่มเป็นลูกค้าร้านนี้ ทุกครั้งที่ฉันผ่านไป ฉันรู้สึกเหมือนเจอเพื่อนเก่าทุกที เอ..หรือว่าจะเป็นโต๊ะตัวใหม่ที่ทำให้เหมือนตัวเก่า จะถามโต๊ะ คนคงว่าบ้าเนอะ ได้เสื้อผ้าสะใจแล้ว ระหว่างนั้นฉันยังคงไปไหนมาไหนกับพี่หนิง ข่าวฉันคบกับพี่หนิงเริ่มแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เป็นหัวข้อการสนทนาที่มันส์สุดๆของลูกเรือ

แอร์หลายคนถึงกับมาดักดูหน้าฉัน รวมกับเรื่องราวจากปากของยุ้ย ทำให้ฉันดูเป็นคน"แย่งได้แม้แต่แฟนเพื่อเวลาไปบิน มีแต่คนมาถามฉันว่าเรื่องจริงมันเป็นไง เฮ้ออออ...น่าเบื่อจริงๆ พี่อินหายเงียบไปจากชีวิตฉัน ทั้งที่ฉันคิดถึงเขาบ่อยๆ น้อยใจเล็กๆว่าทำไมเขาไม่ส่งข่าวมาบ้าง โทร.มาหาสักนิดก็ยังดี พี่หนิงบอกฉันว่าพี่อินเจ้าชู้จะตาย ตอนพี่อินฝากดอกไม้ไปให้ฉัน พี่หนิงไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่พี่อินอาวุโสกว่า พี่หนิงเลยต้องทำ

ฉันเออออไปกับพี่หนิง ไม่บอกหรอกว่า ฉันแอบคิดถึงพี่อิน เวลาสามสี่วันที่ตะวันออกกลางฝังใจฉัน เรื่องราวต่างๆที่เราคุยกันมันแจ่มชัดในความทรงจำ ฉัน จำได้แม้แต่เสื้อผ้าที่พี่อินสวมทุกวัน จำรองเท้าเขาได้ จำแว่นกันแดดอันสวยของเขาได้... ตอนนั้นฉันไม่รู้ซึ้งว่าฉันน่ะ "รัก" พี่อิน ไม่ใช่พี่หนิง พี่หนิงเคยเป็นทหารอากาศ มีนิสัยหลายอย่างแบบทหาร หากช่วงที่คบกันเขายังไม่แสดงออกมา ฉันแค่รู้สึกลึกๆว่า ฉันกับพี่หนิงคุยกันไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ ไม่เหมือนอยู่กับพี่อิน เราต่างสนใจในเรื่องเดียวๆกัน คุยกันถูกคอ และ...ถูกใจ

แต่พี่อินมีเจ้าของ พี่หนิงเลยเข้ามาแทนที่แบบเบลอๆ ฉันปลื้มที่เค้าเอาใจ เค้าหล่อ เค้าเป็นที่หมายปองของสาวๆมากมาย ไปไหนกับเค้ามีแต่คนมอง ฉันน่าจะเฉลียวใจ และออกจากชีวิตพี่หนิงเสียตอนนั้น จะได้ไม่มีแผลเป็นให้เจ็บใจมาจนวันนี้ ก่อนไปนูเมียหนึ่งวัน พี่หนิงมารับฉันไปนอกบ้านอย่างเคย

เขาดูซีเรียสเชียว "รินครับ รินไม่ไปนูเมียได้มั้ยครับ ตั้งหลายวัน พี่คิดถึง ลา sick แล้วไปเที่ยวต่างจังหวัดกับพี่ดีกว่า รินอยากไปไหนพี่จะพาไป"

"โอ๊ยยย พี่หนิง รินอยากไปนี่คะ ไม่กี่วันหรอก เสียดายที่เค้าเอา DC-8 ไป ไม่ใช่แอร์บัส ไม่งั้นพี่หนิงก็แลกไปบินกับรินได ฉันพูดไปแล้วพลันนึกขึ้นได้ว่า เฮ่ย พี่อินเค้าบิน DC-8 นี่นา ยังไม่ทันนึกอะไรต่อ พี่หนิงรีบบอกว่า

"โอ๊ยยย พี่หนิง รินอยากไปนี่คะ ไม่กี่วันหรอก เสียดายที่เค้าเอา DC-8 ไป ไม่ใช่แอร์บัส ไม่งั้นพี่หนิงก็แลกไปบินกับรินได ฉันพูดไปแล้วพลันนึกขึ้นได้ว่า เฮ่ย พี่อินเค้าบิน DC-8 นี่นา ยังไม่ทันนึกอะไรต่อ พี่หนิงรีบบอกว่า

"นั่นแหละ ที่พี่ไม่อยากให้รินไป พี่อินเค้าบินไฟลท์นี้ด้วยนะครับฉันไม่รู้หรอกว่าตัวเองทำหน้ามีพิรุธออกไปหรือเปล่า ปากตอบไปตามที่ควรตอบประสาแฟนที่ดีว่า

"พี่หนิงไม่ต้องห่วงรินเล้ย รินเอาตัวรอดหรอกค่ะ กับพี่หนิงยังรอดอยู่เลย..." ฉันพูดยิ้มๆทั้งที่ใจเต้นตึกตัก ตึกตัก ..ดีใจจะได้เจอพี่อิน นี่ฉันกำลังจะได้เจอพี่อิน จะได้อยู่กันตั้งหลายวัน ฉันคงได้คุยกับเค้าหลายๆเรื่องที่ยังค้างคาใจ ฉันคิดเพลิน ปากก็ตอบโต้กับพี่หนิงไปเรื่อยๆ พี่หนิงเอาแต่บ่นไม่อยากให้ฉันไป ฉันบอกเขาว่าไม่ใช่จะได้ไฟลท์นี้ง่ายๆ ถ้าฉันไม่ไป กว่าจะได้ใหม่คงอีกนาน พูดๆกันอยู่ดีๆ พี่อินเลี้ยวรถเข้าม่านรูดเฉยเลย

ความรู้สึกตอนนั้นของฉัน ไม่ได้คิดว่าพี่หนิงดูถูกหรืออะไร คิดแต่ว่าเค้ารักฉัน และคงอยากมีอะไรๆกับฉันก่อนที่ฉันจะไปบินกับพี่อินตามที่เค้าโน้มน้าวฉันด้วยคำ พูดหวานๆของเค้า ฉันเลวมั้ย ใจแตกเพราะพี่หนิงพาอารมณ์ฉันให้กระเจิดกระเจิง กู่ไม่กลับ

ฉันยอมเข้าไปในนั้นกับพี่หนิง และตกเป็นของพี่หนิงในวันนั้น พี่หนิงเก่งเรื่องบนเตียงมาก จริงอย่างที่ยุ้ยเคยบอกว่าพี่หนิงทำได้ทุกอย่าง ฉันไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อน ฉันทำตามที่พี่หนิงสอน เขารู้จักจังหวะอ่อนหวานที่จะพาฉันไปถึงความรู้สึกเยี่ยมยอดนั้นเป็นอย่างดี ฉันอยู่ในโรงแรมม่านรูดกับพี่หนิงจนค่ำ พี่หนิงทำให้ฉันรู้จักความหมายของเซ็กส์ที่ฉันไม่เคยคาดมาก่อนว่ามันจะดื่มด่ำได้ขนาดนั้น ตอนนั้นฉันยังแยกไม่ออกว่าฉันรักพี่หนิงเพราะเค้าเติมเต็มรสชาดของชีวิตให้ฉันจนล้น ไม่ใช่รักที่ตัวเขา แต่รักเพราะติดใจบทบาทของเค้า

พี่หนิงพาฉันไปส่งบ้าน พร้อมกับนัดมารับฉันไปบินในวันรุ่งขึ้น ฉันจัดกระเป๋า นึกถึงว่าพรุ่งนี้เจอพี่อิน ฉันจะทำไงดี ฉันกลายเป็นอีกคนหนึ่งแล้ว ไม่ใช่สาวน้อยใสๆที่พี่อินเจอครั้งแรก

ฉันมีตำหนิเสียแล้ว พี่หนิงมารับฉันตอนเช้า ทำท่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเต็มที่ เขาให้ฉันสัญญาว่าจะพูดคุยกับพี่อินเท่าที่จำเป็นแค่นั้น ฉันสัญญาไปอย่างดี กำชับว่าไม่ต้องห่วง ฉันไม่สนใจพี่อินหรอก (โกหกฉันคาดว่าฉันคงเจอพี่อินบนเครื่องเลย แต่คนที่ฉันเจอก่อนพี่อินนี่สิที่ทำให้ฉันรู้สึกแย่จนกลายเป็นฮึด

คนนั้นคือเมียพี่อิน ที่อยู่ๆโผล่มาจากตรงไหนไม่รู้ มาประชิดตัวฉันตอนที่ฉันกำลังจะขึ้นรถลูกเรือไปสนามบิน ฉันจำหน้าดุๆนั้นได้ มองใกล้ๆ เธอเป็นคนสวยทีเดียว สูง อวบนิดหน่อย ผิวคล้ำเนียน ถ้าไม่ทำหน้าเค็มๆดุๆ แบบนั้นคงสวยขึ้นจม "จำใส่หัวไว้นะ ว่าอย่ายุ่งกับพี่อิน" เธอพูดกับฉัน ซึ่งยังคงบอกไม่ถูกว่าจะรู้สึกไงดี "ถ้าชั้นรู้ว่าเธอยุ่งกะเค้า เธอชะตาขาดแน่".. ยัยบ้า กลัวจะตายละ ประสาท หึงสามีขนาดนี้เลยเหรอ มิน่า พี่อินถึงเก็บกด ต้องหาที่พึ่งเป็นแอร์สวยๆ ให้ขัดหูขัดตาขัดใจคุณภรรยาซะงั้น

ฉันแค่นึก ไม่ได้พูดอะไรกับเธอคนนั้นสักคำ ขึ้นรถลูกเรือไปนั่งสงบสติอารมณ์ ดีนะ ไม่มีใครได้ยินที่เธอพูด ไม่มีใครสนใจว่าเธอมาคุยอะไรกับฉัน ถ้ามีใครสักคนได้ยิน คงยิ่งสนุกปากขาเม้าท์เค้าหล่ะ เมียพี่อินร้ายน่าดู คอยดูฉันสิ จะแกล้งซะเลย บนเครื่อง ฉันได้หน้าที่ยืนรับผู้โดยสารตามเคย

ขบวนนักบินมาแล้ว ฉันไหว้ทุกคน พี่อินตะเบ๊ะตอบ ยักคิ้วทำหน้าทะเล้นใส่ฉัน ฮึ!!! นี่คงยังไม่รู้ว่าฉันเพิ่งเจอเมียเขามาสกัดดาวรุ่ง ชั่วโมงบินยาวเก้าชั่วโมงกว่า พี่อินออกมาขอกาแฟที่ฉันเหมือนย้อนอดีตครั้งแรกที่เราพบกัน

"รินทำไมไม่ตอบจดหมายพี่เลย" พี่อินต่อว่า "รินไม่เห็นได้จดหมายพี่อินเลย พี่อินส่งผิดคนมั้งคะ "พี่ส่งจริงๆ พี่เขียนจดหมายใส่ BOX รินทุกครั้งที่พี่ไป HEAD OFFICE เลยนะครับ ฉันมารู้ทีหลัง(ตามเคย) ว่าพี่หนิงเก็บจดหมายพี่รินไปหมด และเอามากระทบกระแทกแดกดันฉันในภายหลัง "พี่คิดถึงรินมากเลย เป็นห่วงรินด้วยนะ หนิงเค้าไม่ใช่อย่างที่รินคิด "ยังไงเหรอคะพี่อิน "หนิงเจ้าชู้มากนะริน พี่สนิทกับเมียเก่าเค้า หนิงร้ายมากต่างคนต่างว่าอีกฝ่ายเจ้าชู้ พี่หนิงไม่เคยพูดถึงภรรยาเก่า ฉันเองก็ไม่เคยถาม ต่อไปคงต้องถามซะแล้ว "อร เมียเก่าหนิงเค้าห่วงรินนะ "

"ไม่เป็นไรค่ะพี่อิน รินยังไม่มีอะไร แค่ดูๆอยู่"ให้มันจริงนะครับริน" แล้วพี่อินก็เดินกลับ cockpit และไม่ออกมาอีกเลย


นูเมียเป็นเมืองที่สวยสมคำร่ำลือ สองข้างถนนทุกสายเต็มไปด้วยต้นไม้ที่มีดอก ทั้งที่ฉันรู้จักและไม่รู้จัก ที่เห็นมากที่สุดคือดอกชบาสีสดหลากหลายสี ดอกโตๆ บานเต็มต้น ตามบ้านทุกหลัง (ขอย้ำว่าทุกหลังที่ได้เห็นจริงๆ) เต็มไปด้วยต้นไม้ และดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้ บานแฉ่งไปหมดทั้งเกาะ ผู้คนที่นั่น ส่วนมากเป็นคนผิวดำที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดภาษาฝรั่งเศสที่ฉันพูดได้เสียด้วย

นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ฉันได้ไปนูเมีย ด้วยหลังจากนั้นไม่นาน บริษัทตัดสินใจเลิกบิน เพราะผู้โดยสารน้อย บินไปก็ขาดทุน ..เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ฉันได้ทำความเข้าใจกับพี่อินในเรื่องของเราเช่นกัน... โรงแรมที่นูเมียน่ารักมาก เล็กๆดูอบอุ่นน่าพักมากกว่าโรงแรมใหญ่โตหรูหราส่วนใหญ่ที่เราพักตามประเทศอื่นๆ

ตามปกติ ทางโรงแรมจะจัดให้ลูกเรือพักชั้นเดียวกันหมด แต่ที่นูเมีย ห้องพักไม่พอกับจำนวนพวกเรา จึงต้องแยกกันอยู่สองชั้นติดกัน ฉันอยู่คนละชั้นกับพี่อิน แต่เราถามเบอร์ห้องกันไว้แล้ว ก่อนแยกย้ายเข้าห้อง เข้าห้อง ยังไม่ทันหายใจ พี่อินโทร.มา

"ริน น้องริน พี่ขออนุญาตไปหาที่ห้องนะ รับรองไม่มีอะไรเกินเลยครับโผม
"พี่อินไม่เหนื่อยเหรอคะ รินว่า อาบน้ำนอนก่อนดีกว่าเนอะ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้นี่คะ อยู่อีกตัหลายวัน "ไม่ได้ค้าบ ไม่ได้จริงๆ พี่ต้องคุยวันนี้ โอ๊ยยย อกจะแตกอยู่แล้ว มีเรื่องอยากพูดเยอะเลย รินเชื่อใจได้ พี่ไม่ทำรัยรินหรอกน่า พี่ไม่ยุ่ง กะแฟนคนอื่นแล้วเค้าก็ต่อว่า

"แม้จะเป็นแฟนของคนที่พี่ไม่ชอบเอาซะเล ฉันบอกพี่อินไปว่าขออาบน้ำก่อนดีกว่า อีกสักครึ่งชั่วโมงค่อยมาคุยกัน แล้วพี่อินก็มา อาบน้ำมาแล้วเช่นกัน พี่อินสวมเสิ้อยืดโปโลสีส้มจัด กับยีนส์สีแดง พี่อินสูง ขายาว สวมยีนส์แล้วดูวัยรุ่นเชียว ส่วนฉัน เสื้อยืดลายทางหลากสีกับกางเกงสามส่วนสีเบจ

"พี่อินดื่มอะไรมั้ยคะ รินมีโค้กกับน้ำส้มม "พี่อยากดื่มกาแฟมากกว่า รินมีกาต้มน้ำร้อนมั้ยล่ะครับ "

"มีค่ะ กาแฟก็มี เดี๋ยวรินทำให้กาต้มน้ำร้อนเล็กๆเป็นอุปกรณ์ยังชีพของลูกเรือส่วนใหญ่ บางคนอาหารในประเทศที่ไปไม่ถูกปาก แค่มีกาน้ำร้อนกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็อยู่รอดแล้ว จนพวกเราชอบแซวกันว่า อย่างพวกเราตายแล้วไม่เน่าหรอก สารกันบูดในตัวเยอะ ฉันเดินไปเดินมาในห้อง ชงกาแฟให้พี่อิน พร้อมขนมที่ฉันตุนไปด้วย "พี่อินลองทานพายไก่นี่สิคะ ซื้อแถวบ้านรินเอง อร่อย พี่อินดื่มกาแฟ ทานพายไก่กับฉัน ความรู้สึกดีๆหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจฉันอีกแล้ว ฉันนึกอยู่ว่าจะบอกพี่อินดีมั้ยเรื่องภรรยาเขามาด่าฉัน แต่จะบอกไปแล้วได้อะไร สู้ทำไม่รู้ไม่ชี้ดีกว่า เอาไงดี สับสนจิต จนพี่อินเอ่ยขึ้นว่า

"รินคิดอะไรอยู่ครับ คิดถึงคนนั้นเหรอ.."

"เปล่าค่ะ รินคิดเรื่องอื่น"เรื่องรัย เล่าให้พี่ฟังมั่งสิจ๊ะ

"ไม่มีรัยหรอกค่ะ เรื่องจุกจิกของผู้หญิงไม่น่าฟังหรอก ผู้ชายไม่ชอบหรอกค่ะ" ฉันตัดสินใจยังไม่เล่าเรื่องยัยหน้าดุคนนั้น ไม่อยากเครียด
"งั้นพี่ถามรินหน่อยว่า รินน่ะ ชอบหนิงมันจริงๆหรือเปล่า หรือรินทำประชดพี พี่รินเนี่ย พูดเข้าข้างตัวเองจัง แต่มันก็จริง(มั้ย "รินบอกพี่อินตามตรงเลยนะคะว่า รินคิดถึงพี่มากเลย แต่มันเป็นไปไม่ได้ซักอย่าง แล้วพี่อินจะให้รินร้องไห้ไปจนตายเหรอคะ พี่หนิงเค้าดี กับริน ดีมาก พ่อแม่รินชอบเค้า รินก็ชอบเค้า แต่คนละอย่างกับที่ชอบพี พูดไปพูดมา ฉันร้องไห้ ร้องไม่หยุดเลย

"โอ๋ๆๆๆเด็กน้อยที่แสนจะสับสน พี่ไม่น่าวุ่นวายกับชีวิตรินเลย แต่พี่เจอรินปุ๊บ พี่ชอบปั๊บ แล้วพี่ลืมคิดไปว่า คนที่บ้านเค้าจะคิดยังไง พี่มันเหมือนผู้ชายทั่วไป ได้คืบจะเอาศอก รินอยากน่ารักทำไม ที่จริงมันเป็น ความผิดของรินน้าที่เกิดมาให้พี่รักนะเนี่ย" พี่รินกอดฉัน ปลอบฉัน และเราต่างหลับไปบนเตียงในห้องฉัน

ไม่มีบทบาทรักอะไรที่เกินเลยตามที่พี่อินบอกไว้จริงๆ ฉันตื่นขึ้นเพราะเสียงโทรศัพท์ดัง

"รินครับ เป็นไงมั่ง " เสียงพี่หนิงมาตามสาย พอดีกับที่พี่อินถามฉันว่า

"ใครโทร.มาครับริน"

พี่หนิงได้ยินเสียงพี่อินเต็มหูแน่ ก็ตัวพี่อินนอนอยู่ติดกับฉัน พี่หนิงโวยลั่นมาเลย "รินทำอะไรลงไป รินบ้าเปล่า รินไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น กลับมาแหลกแน่" พี่หนิงกระแทกหูไปดังโครม ฉันหันไปมองพี่อินที่ยิ้มกว้างอยู่ข้างๆแล้วบอกพี่อินว่า "พี่หนิงเค้าโทร.มาค่ะ..."

ฉันยังพูดไม่ทันจบ พี่อินพูดขึ้นมาว่า "พี่ได้ยินแล้ว เสียงหนิงมันโกรธน่าดู 555 สมน้ำหน้า"

อ้าว พี่อิน พี่ไม่คิดเลยหรือว่ารินรู้สึกยังไง รินจะตายแล้ว ความรู้สึกของนางวันทองหรือนางกากีเป็นแบบนี้หรือเปล่าน้องยังไม่ทันพูดอะไรกับพี่อิน เสียงโทรศัพท์ดังอีก พี่หนิงโทร.มาแน่เลย

"รับเถอะริน คุยกะเค้าดีๆ ให้เค้าคุยกับพี่ก็ได้" พี่อินบอกจะคุยกับพี่หนิงว่าไม่ได้มีอะไรกับฉันอย่างที่พี่หนิงคิด ฉันรับโทรศัพท์ ไม่ใช่พี่อิน แต่เป็นหนุ่ย สจ๊วตสาว เพื่อนรุ่นเดียวกับฉัน

"ฮาโล๋ๆๆๆ ยัยริน เกิดเรื่องใหญ่แร้ววว" หนุ่ยทำเสียงเล็กเสียงน้อยแบบตื่นเต้นมากกว่าตกใจกับ"เรื่องใหญ่"ที่หล่อนบอก้าน ฉันยกนิ้วชี้ปิดที่ปาก เพื่อให้พี่อินเงียบๆ่ย

"เรื่องรัยของแก แกอ่ะ ขรี้ไม่ออกก็ว่าเรื่องใหญ่" ฉันว่าไปี "เออ แหม แกนี่ ตาคมแล้วยังปากคมอีก ..นี่ๆๆๆๆ พี่สุทธ์ปล้ำยายแอน ยายแอนมันโวยซะ แกนอนกินบ้านกินเมืองเหรอ ไม่รู้อะไรเลย หรือใครนอนทับแกอยู่ฮะ ถึงหูตึงซะ"

พี่สุทธ์คือพี่เพอเซอร์ที่น่ารักคนหนึ่ง ดูเค้าไม่เห็นเจ้าชู้ตรงไหน รู้ๆกันว่าเค้าตามจีบแอน แอร์หน้าตาน่าเอ็นดู ปากนิดจมูกหน่อยเหมือนตุ๊กตา ท่าทางแอนดูมีใจกับพี่สุทธ์อยู่เหมือนกันนี่นา ไหงกลายเป็นคดีปล้ำกันไปได้่

หยุ่ยต่อมาอีกว่า้ำ "ยัยริน ลงมาที่ล้อบบี้เร้ว กัปตันเรียกเจอทุกคน เออ แต่co-pilot หาย แอบอยู่ห้องแกป่าวว้า ชั้นเห็นน้า เค้าแอบเหล่แกตลอดเลยในรถ crew อีนี่ เสน่ห์แรงนัก แบ่งมาให้เพื่อนมั่งสิยะ หลายวันมานี่ยังไม่มี ปู้จายตกถึงท้องเล้ย ว่าจะไปเดินหาเหน็บเอวกลับมาวักสองสามคน ดั๊นนน มามีเรื่องอีก อะไรกันนักหนาเนี่ย เสียงานชั้นหมด"



หนุ่ยพูดไปเรื่อยๆ เพื่อนสาวประเภทนี้มักจะพูดได้หลายเรื่องในคราวเดียวกัน โดยไม่ติดขัด และไม่รอรับ ฟังคำตอบจากคนที่เธอพูดด้วยอีกต่างหาก

ฉันลงไปที่ล้อบบี้พร้อมพี่อิน ไม่เห็นมีใครเลย นอกจากหนุ่ยกับแอน

"แล้วเค้าไปไหนกันหมดล่ะหนุ่ย ไหนว่ากัปตันเรียกทั้งไฟลท์ไง" ฉันถามหนุ่ย

"555 555"เป็นเสียงหัวเราะประสานเสียงของหนุ่ยกับแอน ฉันโดนสองคนนั่นอำเอาซะแล้ว พี่อินหัวเราะขำใหญ่ แล้วเราทั้งหมดชวนกันไปทานอาหารเช้าที่โรงแรมจัดให้ ตามเคย เจอลูกเรือทั้งไฟลท์นั่งตามโต๊ะต่างๆ พี่สุทธ์รีบลุกมาเลื่อนเก้าอี้ให้แอนที่ยิ้มหวานรับ กัปตันถามพี่อินว่า "อินไปไหนมาแต่เช้า ผมโทร.ไปที่ห้อง ไม่มีคนรับสายเลย
"อ๋อ..ครับ พอดีผมตื่นเร็ว เลยออกไปวิ่งที่ชายหาดมา อากาศดีครับกัปตั พี่อินพูดไม่จริงแบบหน้าตายมาก หลังอาหารเช้า ตกลงเช่ารถมินิบัส พร้อมคนขับไปเที่ยวรอบเกาะแบบ sightseeing กัน แวะตามที่ต่างๆ พี่อินทำไม่รู้อะไร ประกบฉันจนหนุ่ยมากระซิบว่า

"นี่ เค้าจีบหล่อนเหรอยะ ชั้นว่าตานี่เอาจริงแฮะ แล้วเค้าไม่รู้เหรอว่าเธอมีแฟนเป็นอีตาพี่หนิง แต่ชั้นว่าพี่อินเค้าหล่อไม่เลวน้า ไม่เก๊กด้วยแหละ พี่หนิง ของแกนะ เก้กโคด "

สรรพนามที่หนุ่ยเรียกฉันเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามใจคนพูด "เอ๊า แม่คนสวย ว่าไงล่ะยะ เอาใครแน่ คิดจะรวบหมดหล่ะซี้ ต๊ายยย ชั้นไม่รู้มาก่อนเลยอ่ะว่า ท่าทางคุณหนูหญิงๆ อย่างคุณรินจะเจ้าชู้ อิจฉา เกิดชาติ หน้าขอสวยหยั่งแกมั่งดี๊ ชั้นจะกินผู้ชายวันละโหลมื้อ เออ แล้วมันจะจุกมั้ย
"โฮ้ยย หนุ่ย ไปกันใหญ่ ไม่มีรั้ยยย พี่เค้าเหมือนพี่ชาย เค้าแต่งงานแล้ว" ฉันรีบแก้ตัวกับหนุ่ย

"เช้อ..แต่งงานแล้ว แล้วไง เราไม่ได้ไปเอาเมียเค้านี่หว่า เราเอาผัวเค้า ฮิฮิ แล้วดูยัยแอนดิ หน้าบานแข่ง:-)กชบานูเมีย พี่สุทธ์เอาใจชิ้พพ อุ๊ย แกดู เด็กฝรั่งคนนั้นสิ น่าร้ากกก หนุ่ยชี้ให้ดูเด็กชายวัยรุ่นผมทอง ที่เดินสวนทางไป

"หนุ่ยเอ๊ยยย พรากผู้เยาว์นะแกร๊ ท่าทางอายุยังไม่ถึงสิบสามเลยมั้งนั่น "น่านแร้ะ กะลังน่ากิ๊น
พี่อินเดินเข้ามาฉันพร้อมแก้วน้ำมะพร้าว หนุ่ยล้อพี่อินว่า

"แก้วเดียวเหรอฮะพี่ ของหนุ่ยไม่มีเหรอ"หนุ่ยจะทานเหรอครับ พี่ได้ยินแต่ว่าอยากทานผู้ชาย พอดีผู้ชายไม่มีขาย พี่เลยไม่ซื้อมาฝาก" พี่อินแซวหนุ่ย  หนุ่ยเดินไปหาพี่ปิ๋ม แอร์อีกคนโดยยังไม่ทันฟังพี่อินพูดจนจบด้วยซ้ำ เราเที่ยวกันอย่างสนุกสนาน ทานข้าวเย็นร้านริมทะเล อาหารรสจัด แบบพื้นเมืองบ้าง แบบฝรั่งเศสบ้าง ฉันทานได้เยอะมาก

แปลกที่ฉันไม่กังวลถึงพี่หนิง ไม่ได้คิดจะโทร.ไปปรับความเข้าใจกับเค้าด้วยซ้ำ แบบนี้เค้าเรียกว่า ไม้เลื้อยเนอะ อยู่ใกล้อะไรก็พันๆๆๆ เข้าไป กลับถึงโรงแรมค่ำมาก แยกย้ายกัน พี่อินมาหาฉันที่ห้องอีก อีกคืนหนึ่งผ่านไป โดยที่เราคุยกันสารพัดเรื่อง ดูทีวีกันและต่างคนต่างหลับ บนเตียงเดียวกัน พี่อินบอกว่าขออยู่กับฉันแบบนั้นก็มีความสุขแล้ว เค้าบอกว่าทุกครั้งที่เค้าคิดถึงฉัน เค้าไม่เคยคิดเรื่องบนเตียงเลย ฉันเชื่อเขานะ

รุ่งขึ้นเราไปเที่ยวกันทั้งไฟลท์อีก คราวนี้นั่งเรือไปอีกเกาะหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าหาดทรายสวยมาก ฉันขออภัยจริงๆที่จำชื่อเกาะนั้นไม่ได้เสียแล้ว

เราไปเล่นน้ำทะเลกันที่นั่น ฉันสนุกมาก พี่อินคอยดูแลฉันตลอด ท่ามกลางความงงของลูกเรือคนอื่นๆ ที่คงคิดว่าฉันมันก็ผู้หญิงแร่ดๆอีกคน มีแฟนแล้วยังไม่หยุดอะไรแบบนั้น

ฉันโดนนินทากระจาย ตอนนั้นฉันยังไม่ค่อยเข้าใจสังคมในหมู่ลูกเรือนัก ต่อมาจึงได้ทราบว่า มันเหมือนการเมืองเลย คือ "ไม่มีมิตรแท้ และไม่มีศัตรูถาวคนที่คุยกับเราต่อหน้าอย่างดี หลอกล่อให้เราเล่าเรื่องของเรา ทำเป็นอบอุ่นเข้าอกเข้าใจ เป็นคนเดียวกับที่เอาเรื่องของเราไปแต่งเติมเพิ่มสีสัน เล่าต่อๆกัน จนฉันยังงงว่านี่มันเรื่องของฉันหรือนี่

คนประเภทนี้มีทุกสังคม ไม่เฉพาะในสายการบินที่ฉันทำงานเท่านั้น คืนที่สามที่นูเมีย ฉันอยู่กับพี่อินเหมือนเคย กลางดึกคืนนั้น เสียงเคาะประตูห้องฉันดังมากจนฉันและพี่อินตกใจตื่น

เปิดประตูห้องไปโดยลืมดูตาแมว เพราะนึกว่าใครมีเรื่องด่วน พี่อินหลบไปอยู่ที่ห้องน้ำ มีคนยืนตะหง่าน หน้าหงิก อยู่หน้าห้องฉัน ไม่ใช่คนเดียว แต่ป็นสองคน

พี่หนิงกับ....ภรรยาพี่อิน!!! ฉันยืนตัวตรง พยายามนับลมหายใจและควบคุมจิตที่มันตื่นตระหนกให้นิ่ง ตามที่เคยเรียนมากับอาจารย์ สดใส พันธุมโกมล ในคลาสวิชาศิลปการแสดงพื้นฐานที่ฉันเรียนตอนอยู่ปี 1 และได้นำมาใช้ในชีวิตจริงตลอด มาไม่นานมานี้ เห็นการจัดงานวันเกิดครบเจ็ดรอบของท่าน ที่เราเรียกกันว่า "ครูใหญ่" ในข่าวทีวี ยังปลื้มใจว่าฉันเองเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของท่านเช่นกัน ครูใหญ่ยังสวยสดใสแข็งแรงสมชื่อเลย และครูใหญ่ท่านนี้แหละที่เป็นสาวไทยท่านแรกที่เข้าประกวดนางงามจักรวาล " ริน ทำยืนไม่รู้ไม่ชี้ เปิดประตูกว้างๆหน่อย ฉันจะเข้าไปดูซิว่าเธอกับไอ้อินมีความสุขกันแค่ไหนพี่หนิงตะโกน สรรพนามที่เรียกฉันเปลี่ยนไป กลายเป็น "ฉัน" และ "เธอพี่หนิงตะโกนต่อ(ตรงนี้ต้องเซ็นซ่อร์).....

ฉันเพิ่งได้ประจักษ์ความโมโหร้ายของพี่หนิงเป็นครั้งแรกนับแต่เป็นแฟนกันมา หากตอนนั้นฉันมิได้เฉลียวใจว่านิสัยแท้จริงพี่หนิงเป็นคนพาล และโมโหร้าย คิดแค่ว่าพี่หนิงหึงจนลมออกหู เป็นผู้ชายคนไหนๆ เจอแฟนทำอย่างนี้คงมีปฏิกิริยาแบบพี่หนิงทั้งนั้น

ฉันโง่ครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย ภรรยาพี่อิน(เธอชื่อคุณ จิ๋ม)ไม่ทันพูดอะไรแต่.. สายตาเธอที่มองฉันมันช่างเหยียดหยามและดูแคลนสิ้นดี พี่หนิงผลักฉันจนเซ ก้าวเข้าห้อง ตามติดด้วยคุณจิ๋ม

"ไหนวะ ไอ้คนทุเรศ ไอ้แมวขโมย ไอ้.......(เซ็นเซ่อร์อีก)" พี่หนิงเดินไปที่ห้องน้ำเป็นเวลาเดียวกับที่เสียงเคาะประตูห้องฉันดังอีกครั้ง พร้อมเสียงหนุ่ยดังเข้ามา

"แม่คุณเอ๊ยยย ไฟไหม้ หรือฟ้าผ่ายะ ใครมาแสดงอำนาจบารมีแถวนี้ ขอนังหนุ่ยดูหน้าหน่อยซี้ ริน ริน เปิดๆๆประตูด่วน ไม่งั้นหนุ่ยจะเรียก รปภ.มาเปิด ริน รี๊นนนน
หนุ่ยยังพูดไม่จบขณะที่ฉันเปิดประตูให้หนุ่ยเข้ามา เป็นเวลาเดียวกับที่พี่หนิงก้าวเข้าไปในห้องน้ำ

หนุ่ยแทรกตัวเข้ามา จับมือฉันแน่น มองหน้าคุณจิ๋มที่ยังคงทำสายตาเผาผลาญฉันอยู่ แปลกที่เธอไม่เข้ามาตบฉันให้คว่ำไปแบบในละคร เธอนิ่งได้อย่างน่านับถือมาก

หนุ่ยบีบมือฉัน พร้อมกับตามพี่หนิงไปที่ห้องน้ำ "ใจเย้นนน ใจเย็นสิฮะพี่หนิง รินเค้าป่าวทำอะไรอย่างที่พี่หนิงคิดเล้ยย เค้าอยู่กับหนุ่ยกะแอนทู้กวัน วันก่อนที่พี่หนิงโทร.มา พวกเราก็อยู่ ห้องนี้กัน พอดีพี่อินเค้ามาขอยืมกาต้มน้ำ แล้วเสียงมันลอดโทรศัพท์ไป เนี่ย รินเค้ากลุ้มใจจะตายไปนะฮ้า ร้องไห้ซบอกหนุ่ยทั้งวี่ทั้งวัน ไม่เป็นอันทำไรเลย ไม่ได้กินไม่ได้นอน ดูดิฮะ ผอมซีดเป็นไก่ต้มแบบยังไม่ทันราดซ้อสเบอร์กันด พี่หนิงโผล่ออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้ายิ่งกว่าทศกัณฐ์สิบหน้ารวมกัน

ฉันตกใจจนเอ๋อ พยายามควบคุมสติเต็มที่ เวรกรรมแท้ๆเลยเรา พี่หนิงทำอะไรพี่อินทำไมห้องน้ำเงียบจัง...หนุ่ยพูดต่อ

"เห็นมั้ยฮะพี่หนิง ไม่มีอะไรในห้องรินซักหน่อย อย่าว่าแต่พี่อินตัวโตๆเล้ยย มดซักตัวยังไม่มี หนุ่ยดูแลรินเค้าดีฮ่ะ มดไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอมหนุ่ยหันมายักคิ้วให้ฉัน ทำนอง..เห็นฝีมือชั้นยัง

" คุณหนิง ไม่เจออินเหรอคะ ลองดูหลังม่านสิคะ

พี่อินเดินไปตบๆที่ม่านตามที่คุณจิ๋มแนะนำ หนุ่ยชิงพูดขึ้นมาอีก

"วู้ยยย พี่หนิง ทำไรอย่างกะในหนัง ไม่ต้องหาหรอกฮะ พี่อินเค้าคงหลับฟี้อยู่ที่ห้องเค้าแหละฮ่า เนี่ย พี่หนิงใจเย็นๆให้มากหน่อยน้า ป่านนี้คนตื่นกันหมดทั้งโรงแรมแล้ว เดี๋ยว CNN มันเอาไปออกข่าวน้าว่า นักบินไทยหึงแฟน ควบคุมสติไม่อยู่ ..แบบนั้นสยองมั่กๆนะฮ้า ถ้าบริษัทรู้เรื่อง พี่หนิงแหละจะโดนสอบสวน จะเป็นกัปตันได้ไงฮ้า ถ้าสงบจิตไม่อยู่...เฮ้อ.."

"พอได้แล้วหนุ่ย ไม่เจอไม่ได้แปลว่าไม่ได้เคยอยู่ ริน มาไปกับพี่กับคุณจิ๋ม ไปดูที่ห้องสามีคุณจิ๋มกัน" พี่หนิงทำหน้าผิดคาดที่ไม่เจอพี่อินในห้องฉัน ฉันสิยิ่งประหลาดใจ งงไปหมด

พี่อินหายตัวไปได้ยังไง พี่อินพักอยู่คนละชั้นกับฉัน พอไปถึงหน้าห้องพี่อิน พี่หนิงเคาะประตูดังแบบไม่เกรงใจใครตามเคย พี่อินเปิดประตู สวมชุดนอน หน้าตาแบบคนเพิ่งตื่นนอน

"อ้าว..จิ๋ม มาได้ไง" พี่อินทักภรรยา "หนิง ตามมาดูเพราะแค่ได้ยินเสียงเราในโทรศัพท์เหรอ ใจคอไม่หนักแน่นเอาเลย แล้วจิ๋มพากันมากับหนิงได้ พี่อินหันไปถามคุณจิ๋ม เธอตอบสะบัดๆว่า

"มาได้แล้วกัน อย่ามานึกว่าจิ๋มไม่รู้นะว่าอินขอไฟลท์ตามแฟนคนอื่นเค้ามา น่าเกลียด จิ๋มจะไปฟ้องคุณพ่อ คอยดูนะ อินต้องโดนลงโทษให้เข็ดเสียที จิ๋มเบื่อ..เบื๊ออ เบื่อ.."

ฉันรู้ทีหลังว่าพี่อินเกรงใจคุณพ่อคุณจิ๋มมาก เพราะท่านเป็นเพื่อนสนิทของคุณพ่อพี่อิน หนุ่ยหัวเราะคิกคัก "ว้ายย แหม คุณพี่ขา พี่อินเค้ายังไม่ทันทำอะไรซักนิด ใคร้ ใครมันบอกคุณพี่ว่าพี่อินขอไฟลท์ตามริน พวกบ่างที่มันอิจฉารินอ่ะดิฮ้า คุณพี่น่าจะหนักแน่นกว่านี้นะฮะ เอ แต่ก็อย่างว่านะฮ้า มีผัวหล่อ ต้องคอยทำตัวเป็นโกลด์มือกาวยิ่งกว่าสราวุธซะอีก ข้าศึกคอยจ้องจะทำประตูกัน
สราวุธ ที่หนุ่ยพูดถึง คือ สราวุธ ปทีปกรณ์ชัย อดีตผู้รักษาประตูคนเก่งของทีมฟุตบอลชาติไทยสมัยนั้น

คืนนั้น หนุ่ยเป็นฮีโร่ของฉัน หนุ่ยเล่าว่า พี่อินปีนจากหน้าต่างห้องน้ำในห้องฉัน เป็นหน้าต่างบานยาวแบบฝรั่งเศส มาลงที่ระเบียงห้องหนุ่ยที่อยู่ติดกับห้องฉัน และหนุ่ยรู้เรื่องของฉันกับพี่อินตั้งแต่กลางวัน ฉันเล่าให้หนุ่ยฟังว่าพี่หนิงโทร.มาคืนก่อน ได้ยินเสียงพี่อินแล้วโมโหมาก แต่ฉันแปลงเรื่องเป็นว่า พี่อินมายืมกา ต้มน้ำที่ห้องฉัน

หนุ่ยบอกว่า พี่อินมาเคาะที่หน้าต่างห้องหนุ่ยพร้อมกับเล่าอย่างรวบรัดเรื่องพี่หนิงและคุณจิ๋มมา หนุ่ยจึงบอกให้พี่อินรอในห้องหนุ่ย พอหนุ่ยเข้าไปในห้องฉันได้ แล้ว ให้พี่อินกลับห้อง และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่อินทำตามแผนของหนุ่ยอย่างได้ผล ขอบคุณฟ้าดินเหลือเกินที่ช่วยให้ฉันไม่ดูเลวร้ายไปกว่าที่ควร

หนุ่ยหัวไว อันที่จริงหนุ่ยเป็นคนเรียนเก่งมาก จบรํฐศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง หนุ่ยมาเป็นสจ๊วตรุ่นเดียวกับฉัน พร้อมกับเรียนปริญญา โทไปด้วยทุนของมหาวิทยาลัย จบโทแล้ว หนุ่ยลาออกไปทำปริญญาเอกที่อเมริกาด้วยทุนมหาวิทยาลัยเหมือนเดิม

เดี๋ยวนี้หนุ่ยมีตำแหน่งใหญ่มาก เห็นหนุ่ยออกทีวีทีไร ฉันต้องอมยิ้มทุกที ไม่เจอกันนานแล้ว หนุ่ยยังจำรินและเรื่องรักของรินที่นูเมียได้มั้ยน้องคืนนั้น หลังจากการไกล่เกลี่ยของหนุ่ย บวกกับความเพลียของทุกคนในเหตุการณ์ จึงต่างแยกย้ายกันไปนอน แน่นอนว่าพี่หนิงต้องมาอยู่ห้องเดียวกับฉัน คุณจิ๋มอยู่กับพี่อิน ทันทีที่อยู่กันสองคน พี่หนิงแสดงอาการโมโหจัดขึ้นมาอีก

"เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆหรอกนะเธอ ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเธอโกหกฉันหรือเปล่าพี่หนิงเริ่มใช้สรรพนาม "ฉัน กับ "เธอ" อีกแล้ว

เรื่องพี่หนิงว่าฉันโกหกเขานี่เป็นเรื่องที่เขาพูดบ่อยมาก ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นในภายหลัง เขาจะต้องหาว่าฉันน่ะ "โกหก" เสียทุกที ทั้งที่เขานั่นเองเป็นคนที่ "โกหก" ฉันตลอดมา

เรื่องพี่หนิงกับคุณจิ๋มมาถึงนูเมียได้อย่างไร เป็นเรื่องที่เดาได้ง่าย ทันทีที่พี่หนิงรู้ว่าพี่อินอยู่ในห้องฉัน พี่หนิงโทร.ไปบ้านพี่อิน และคุยกับ คุณจิ๋ม ทั้งสองคนตกลงว่าตอนเช้าต้องรีบไปจัดการเรื่องการเดินทางไปนูเมีย พี่หนิงเป็นนักบิน ไม่ยากที่จะหาข้อมูลสายการบินต่างๆจากแผนก operation ส่วนคุณจิ๋มมีเพื่อนสนิททำงานสถานทูตฝรั่งเศส ช่วยเร่งให้วีซ่าของทั้งสองคนเสร็จภายในวันเดียวเพื่อจะออกเดินทางมานูเมียโดยสายการบินอื่น

ระหว่างที่พี่หนิงและคุณจิ๋มเดินทางมา ต่างคนต่างหาข้อมูลอีกฝ่าย พี่หนิงบอกฉันว่า คุณจิ๋มสังเกตว่าพี่อินเปลี่ยนไปมากหลังจากที่สารภาพกับเธอว่าชอบฉันและคุณจิ๋มซึ่งป็นแอร์เก่ามีเพื่อนทำงานใน OB (แผนกจัดตารางบิน) ทำหน้าที่เป็นสายลับคอยแจ้งว่าพี่อินไปบินกับแอร์คนไหนบ้าง

เรื่องพี่อินไปนูเมียกับฉัน คุณจิ๋มรู้ช้าไป สายลับของเธอลาพักร้อนไปหลายวัน กว่าจะมารู้ว่าฉันบินกับพี่อินเลยสายไป บังคับให้พี่อินเปลี่ยนตา รางบินไม่ทัน รวมทั้งพี่อินบอกเธอว่า ฉันเป็นแฟนพี่หนิงไปแล้ว พี่อินไม่เกี่ยว

แต่คุณจิ๋มอดไม่ได้ที่จะมาปรามฉันไว้ก่อนในวันเดินทาง คุณจิ๋มคงลืมไปว่าคนเรานั้นถ้ายังไม่มีวุฒิภาวะพอ การมาดักด่าว่าฉันนั้นมันเปรียบเสมือน "ยิ่งว่าก็ยิ่งยุ ตอนนั้นฉันเป็นแค่เด็กสาวเพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัย จะให้คิดอะไรออกมากมายเหมือนตอนนี้เล่า สองวันต่อมาที่นูเมียทำให้ฉันรู้ซึ้งถึงที่เค้าพูดกันว่า นับวินาทีรอ ฉันรอนาทีที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯอย่างใจจดใจจ่อ พี่หนิงอารมณ์กลับไปกลับมา แต่ฉันไม่เฉลียวใจว่านั่นคือตัวตนแท้จริงของเค้า กลับคิดไปว่าพี่หนิงโมโหหึง ฉันมาสรุปรวมอุปนิสัยทั้งหมดของพี่หนิงได้ทั้งหมด หลังจากวันนั้นอีกหลายปี ซึ่งทุกอย่างมันสายไปหมดแล้ว

ความรู้สึกของฉันตอนนั้นคือ ฉันเป็นของพี่หนิง ฉันต้องแต่งงานกับพี่หนิง อารมณ์บรรเจิดที่พี่หนิงสร้างให้เกิดกับตัวฉันยามอยู่บนเตียงด้วยกัน ทำให้ฉันติดพี่หนิง พอหายโกรธก็ดีกัน จบลงบนเตียง

ฉันลืมวิจารณญาณในการเลือกคู่ไปสนิท วันเดินทางกลับ พี่หนิงกับคุณจิ๋มเปลี่ยนมานั่งเครื่องเดียวกับที่พี่อินและฉันทำงาน ด้วยหน้าที่ ฉันต้องบริการคุณจิ๋ม ซึ่งนั่งเป็นผู้โดยสาร คุณจิ๋ม
ยังคงทำหน้าเครียด เค็ม แบบเดิม เมื่อฉันเอาอะไรไปเสิร์ฟ เธอเพียงแต่ปรายตามอง

ฉันหมั่นไส้คุณจิ๋มมาก นานต่อมาฉันจึงเข้าใจความรู้สึกคุณจิ๋มในวันนั้น หากฉันได้มีโอกาสพบเธออีก ฉันจะเข้าไปกราบขอโทษเธอที่ฉันทำให้เธอรู้สึกแย่ปานนั้น พี่หนิงนั่งเป็นผู้โดยสารเช่นเดียวกัน แต่คนละที่นั่งกับคุณจิ๋ม ผู้โดยสารไม่มากนัก รักสามเส้าสี่เส้าของพวกเราสี่คน โดนเม้าท์ลับหลังตามเคย "ยัยริน ชั้นมีข่าวจะมาบอก" หนุ่ยบอกฉันระหว่างที่เราทำงานเสร็จแล้ว กำลังทานอาหารกัน ฉันยังไม่ทันพูดต่อ หนุ่ยแทรกขึ้นมาอีก "อู๊ยยย พี่ปิ๋มให้อาหารกัปตันมา ชั้นอุบอิ๊บอั๊บกินละนะ สเต๊กๆๆๆ เนื้อหนุ่มฝรั่งเศสป่าวหว่า วุ้ยๆ เพิ่มพลังๆนังหนุ่มอาหารสำหรับลูกเรือบนเครื่องจะถูกจัดมาต่างหาก ไม่ปะปนกับผู้โดยสาร และต่างจากอาหารผู้โดยสารอย่างสิ้นเชิง และบุคคลพิเศษที่ต้อง ทานอาหารไม่เหมือนใครเลยบนเครื่องคือนักบินที่หนึ่ง หรือกัปตัน นั่นเอง

อาหารของกัปตันทุกอย่าง จะมีฉลากกำกับมาว่า "CAPT" นั่นคืออาหารเฉพาะที่กัปตันต้องทาน ทำไมหรือจึงต้องทานอาหารแตกต่างจากคนอื่นๆ นั่นคือหากเกิดกรณีที่กัปตันทานอาหารเข้าไปแล้วอาหารเป็นพิษ ท้องเดิน หรืออะไรก็ตามอันเป็นผลมาจากอาหาร นักบินคนอื่นๆ จะไม่เป็นไปด้วย เพราะทานอาหารต่างกัน จะทำหน้าที่แทนกัปตันได้พอสมควร

ในทางกลับกัน หากนักบินคนอื่นได้รับผลกระทบจากอาหารที่ทาน ก็ยังมีกัปตันดูแลเครื่องได้ เป็นนโยบายเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมดนั่นเอง แต่นั่นแหละ กฎย่อมมีข้อยกเว้น แอร์ที่เสิร์ฟอาหารให้นักบินจึงมักถูกถามบ่อยๆจากกัปตันทั้งหลายว่า

"อาหารคนอื่นมีอะไรมั่ง ผมเอียนสเต๊กจะแย่แล้ว กินมาตั้งแต่ฟันดีๆจนจะใส่ฟันปลอมอยู่แล้ว..."

แอร์ที่ชำนาญงานและมีประสบการณ์มานาน (โดยมากคือแอร์ชั้นหนึ่ง หรือแอร์ชั้นนักธุรกิจ) จะบรรยายเมนูอื่นๆให้นักบินฟังจนเกิดอาการอยากทานอาหารไปตามๆกัน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่หิว

"ที่เฟิร์สคลาสมีคาร์เวียร์ แซลมอน เบาๆดี กัปตันรับมั้ยคะ เดี๋ยวหนูเอามาให้ หรือว่าพ้อร์กช้อปดีคะ มีซ้อสสองอย่าง......ฯลฯ " แล้วนักบินทั้งหมดก็อิ่มท้อง อิ่มใจกันไป

หนุ่ยพูดต่อ "QUICHE นี่ก้อหร่อยนะ ฮ้อม หอมเนยฝรั่งเศส เออ ริน กินๆเข้าไป ไม่ต้องกลัวหรอก เรื่องของเธอน่ะ ขึ้นหน้าหนึ่งวันเดียว
เดี๋ยวก็มีข่าวพี่ปิ๋มกลบ ฮ่าๆๆหนุ่ยหันไปแซวพี่ปิ๋ม แอร์เฟิร์สคลาสที่หนุ่ยสนิทด้วย ว่าไปแล้ว ไม่เห็นหนุ่ยจะไม่สนิทกับใคร หนุ่ยเป็นคนที่มีน้ำใจดีอย่างที่ฉันเคยบอก ใครๆ
จึงไม่รังเกียจที่จะคบหนุ่ย แต่หนุ่ยมักจะบอกทุกคนว่า อย่าบอกความลับกับหนุ่ย เพราะหนุ่ยเป็นพวกฆ้องปากแตก มีเพื่อนสนิทเยอะนับร้อย และเพื่อนสนิททั้งหลายของหนุ่ยต่างมีเพื่อนสนิทอีกนับเป็นร้อยๆเช่นกัน

"ช่ายมะ พี่ปิ๋ม เรื่องพี่ปิ๋มมันช่างแสบสันต์หรรษาขาเม้าท์กว่าเรื่องรินอีก ใจเย็นๆเหอะโย หนุ่ยคะยั้นคะยอให้ฉันทานอาหารชนิดนั้นชนิดนี้ ซึ่งไม่ไช่อาหารลูกเรือสักอย่าง

ทานกันไปโดยได้รู้เรื่องพี่ปิ๋มเป็นกับแกล้ม ว่าพี่ปิ๋มโดนเพื่อนสนิทที่เป็นแอร์ด้วยกันสอยเอาสามีไปแล้ว หลังจากแต่งงานได้ไม่กี่ปี สามีพี่ปิ๋ม เป็นนายตำรวจหน้าตาดีมีอนาคต แถมมาด้วยอุปนิสัยพิเศษของผู้ชายหน้าตาดีมีอนาคตส่วนใหญ่ คือ "ความเจ้าชู้"

พี่ปิ๋มบอกฉันว่าเพิ่งจับได้สดๆร้อนๆก่อนเธอมาบินไฟลท์นี้ และเธอตัดสินใจว่า ยอมร้องไห้ตอนนั้น ดีกว่ายื้อเขาเอาไว้ และเจ็บเป็นพักๆไปเรื่อยตลอดชีวิต

ฟังเรื่องพี่ปิ๋มแล้วนึกถึงยุ้ย นี่ฉันแย่งพี่หนิงมาจากยุ้ยจริงๆหรือเปล่า เปล่าน่า เค้ายังไม่ได้แต่งงานนี่นา คนเราหนอ(นึกได้ทีหลังตามเคยว่า ฉันนี่) คิดเข้าข้างตัวเองไปได้เรื่อยๆ
"หนุ่ย ไอ้ที่บอกว่ามีรัยจะมาบอกรินน่ะ บอกมาซะทีสิ มัววกไปเรื่องคนนู้นคนนี้ ลืมเหรอที่ว่าจะบอกอะไรรินว่า หนุ่ยบอกว่ามีอะไรจะมาบอกแต่ยังไม่ทันบอก เพราะเฉไฉไปเรื่องพี่ปิ๋มเสียก่อน

"น่านดิ ชั้นก็เป็นแบบนี้แหละริน คิดรัยได้ก็พูด สมองมันแล่นเร็ว "

"จ้า รินรู้ว่าหนุ่ยน่ะพหูสูต เอ้า บอกมาเรื่องรักหนุ่ยลดเสียงลง

"พี่อินฝาก จอ มอ รอ ให้รินน่ะดี
"อารัยนะหนุ่ย จอ มอ รอ" ฉันงงกับอักษรย่อของหนุ่ย นึกว่าหนุ่ยมาอำอีกแล้ว

"โฮ้ยยย คุณนู๋ริ้น ...ช่างอินโนเซ้นส์ซะ..จอ มอ รอ ก้อ love letter งัยยะ ฮี่ๆๆๆ ขออ่านด้วยคนนะ "ไหนล่ะจดหมาย ฝากมากะใคร อย่าบอกพี่หนิงนะ" ฉันรับจดหมายที่หนุ่ยหยิบออกจากกระเป๋ากางเกงมาส่งให้

เป็นเวลาเดียวกับที่พี่หนิงโผล่หน้าเข้ามาใน galley (แกลลี่ คือชื่อเรียกบริเวณที่เป็นส่วนทำงานของลูกเรือ จะกั้นม่านไว้หากไม่ใช่เวลาให้บริการผู้โดยสารทั้งเครื่อ หนุ่ยตาไว รีบเอาจดหมายใส่กลับคืนไว้ในกระเป๋ากางเกง โดยที่พี่อินยังไม่ทันเห็น ไม่งั้นฉันคงโดนหนักอีก..เฮ้อ

ฉันได้อ่านจดหมายพี่อินก่อนเครื่องลง โดยเอาไปอ่านในห้องน้ำ ขณะที่เปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดไทยเป็นยูนิฟอร์มของบริษัท นี่คือข้อความในจดหมายพี่อิน รินจ๋า..

สองวันหลังที่นูเมีย พี่ว่านูเมียมันขาดเสน่ห์ไปพะเรอ พี่คิดถึงริน แต่ต้องทำเป็นไม่สนใจ พี่สงสารจิ๋ม พี่นี่เลวมากๆ พี่ยังรักจิ๋มอยู่ เขาเป็นแม่ของลูก แต่พี่ก็รักรินด้วย พี่เข้าใจอารมณ์ผู้ชายที่มี เมียน้อยเอาตอนนี้เอง

พี่เลวมากเลยใช่ไหมครับริน พี่ขอโทษ ถ้าทำอะไรให้รินไม่สบายใจ พี่อยากเห็นรินสดใสร่าเริง ยิ้มหวาน หน้าบานเหมือนดอกชบานูเมีย เราคงไม่มีโอกาสได้คุยกันอีกซักเท่าไหร่ 'cause we're meant to be apart

พี่ขอให้รินรู้ไว้ว่า พี่จริงใจ แต่ไม่อาจทำอะไรให้รินได้ พี่ผิด พี่ไม่ดี รู้ไหมว่า เมื่อวานนี้ พี่ออกไปเดินคนเดียวเกือบทั่วเกาะ เห็นอะไร ในใจมันร่ำร้อง...ริน ริน ริน

เดินจนเหนื่อย กลับมาหลับเป็นตาย ตื่นมาบินนี่แหละครับ พี่พูดมากไปแล้วใช่ไหม แต่มันอยากพูดนี่ครับ .....พี่รักรินมากเสมอนะครับ...

จาก.... พี่อิน (เขียนใน cockpit เที่ยวบิน.....NOUMEA-BANGKOK)


โอย อ่านแล้วจะร้องไห้ แต่ร้องไม่ได้ รีบนึกว่าจะเก็บจดหมายพี่อินไว่ที่ไหนดีที่พี่หนิงจะไม่เห็น ฉันรู้ว่าพอลงจากเครื่องได้ พีหนิงต้องค้น ของฉันกระจุยแน่ เพื่อหาหลักฐานที่จะเอามาปรักปรำฉันอีก รู้ละ ฝากไว้ที่หนุ่ยดีกว่า แล้วค่อยนัดไปเอาวันหลัง

ฉันเลยไปฝากจดหมายไว้กับหนุ่ย นัดว่าค่อยเจอกันวันหลังที่เราว่างตรงกัน และพี่หนิงไปบิน

กลับถึงกรุงเทพฯ จริงดังที่หนุ่ยพูดไว้ เรื่องของฉันดังไม่เท่าเรื่องพี่ปิ๋ม ชีวิตฉันดำเนินต่อไปโดยไม่ได้ข่าวพี่อิน ฉันนึกถึงเขาบ่อยๆ แต่ความปรารถนาทางกายกับพี่หนิงก็รุนแรงเพิ่มขึ้นตามลำดับ จนวันหนึ่งที่ฉันรู้ว่าตัวเองท้อง

ฉันบอกพี่หนิง พี่หนิงโกรธว่าท้องได้ยังไง ป้องกันอย่างดีแล้ว แถมยังโทษอีกว่า ฉันไปมีอะไรกับใครอีกหรือเปล่า เขาว่าฉันน่ะเชื่อไม่ค่อยได้

โถ... พี่หนิง กิตติศัพท์ความโมโหหึงของพี่หนิงระบือไปทั่วขนาดนี้ ใครเค้าจะมายุ่งกับริน แล้วฉันก็แต่งงานกับพี่หนิงหลังจากมีเรื่องวุ่นวายนานาประการจากครอบครัวของเราทั้งคู่

ในงานแต่งงานของฉันนั่นเองที่ลูกสาวพี่หนิงมาก่อเรื่องให้ฉันหน้าแตก ฉันเคยเจอเด็กคนนี้มาบ้างก่อนที่จะแต่งงานกับพี่หนิง พี่หนิงจะไปรับเธอมาจากภรรยาเก่าของพี่หนิง ที่พี่หนิงชอบบอกฉันลับหลังว่า "พี่ไม่ได้รักอรเลย พ่อแม่รู้จักกัน ให้แต่งก็แต่ง อยู่กันไม่ได้ก็เลิกฉันเชื่อพี่หนิงตามเคย

ลูกสาวพี่หนิงชื่อน้องหนอน เป็นเด็กหน้าตาไม่น่ารักเลย ไม่เหมือนพี่หนิงซักนิด ฉันไม่เคยเห็นพี่อร ภรรยาเก่าพี่หนิง แต่เคยได้ยินมาว่าเธอสวยนะ อ้าว แล้วทำไมลูกออกมาหน้าตาแปลกๆ สงสัยเอาส่วนไม่ดีของพ่อแม่มามั้ง

เด็กคนนี้เป็นคนหนึ่งที่ต้องเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรของฉันมาแต่ชาติปางก่อนแน่ๆ เวลาพี่หนิงพาเธอไปไหนกับฉัน ฉันจะตามใจน้องหนอนมาก อยากได้อะไรได้หมด เพราะฉันอยากเอาใจพี่หนิง และสงสารน้องหนอนด้วย รวมกับเห็นว่าพี่หนิงดูรักน้องหนอนไม่น้อยเลย

ตอนนั้นน้องหนอนอายุยังไม่ถึงสามขวบ แต่ฉลาด ช่างพูด จนฉันให้อภัยความล้นๆ เอาแต่ใจของเจ้าหล่อนไป คิดว่าเด็กมีปัญหาเป็นแบบนั้นเอง ฉันต้องเอาใจเธอมากๆ เธอจะได้รักฉัน

หารู้ไม่ว่าฉันไม่เคยได้ "ใจ"น้องหนอนเลยเรื่องหน้าแตกที่น้องหนอนก่อขึ้นในวันแต่งงานของฉันคือ ในขณะที่พี่หนิงกับฉันเดินถ่ายรูปกับแขกตามโต๊ะ น้องหนอนมองตาม และอยู่ๆ เธอก็ลุกขึ้นปีนไปยืนบนโต๊ะ พร้อมกับทำท่าเหมือนร่ายรำและร้องเพลงเหมือนตะโกนว่า

"พ่อหนิงของหนอน เจอผู้หญิงสะตอ เบอรี่คนใหม่ จะเอามาเป็นแม่หนอน ..."

ทุกสายตาหันไปตามเสียงน้องหนอน น้องสาวฉันพุ่งไปจับน้องหนอนลงจากโต๊ะ อุ้มไปนอกห้องจัดเลี้ยง น้องสาวฉันบอกกับฉันในตอนหลังว่าจากการสอบสวนของคุณแม่และน้องสาวฉัน น้องหนอนให้ปากคำว่า คนที่สอนให้เธอร้องเพลงนั้น และยุให้ขึ้นไปยืนบนโต๊ะ คือ พี่หนิม น้องสาวพี่หนิง เป็นแอร์รุ่นพี่ฉันประมาณสองปี และเธอไม่ชอบหน้าฉันเลย ฉันทำให้ครอบครัวเป็นห่วงตั้งแต่นั้นมา

เนื่องจากฉันรีบแต่งงาน เรือนหอยังไม่มี พี่หนิงจึงบอกให้ไปอยู่กับเขาที่บ้านของเขาก่อน แล้วค่อยหาบ้านอยู่กันทีหลังแต่งงานได้ไม่กี่วันฉันไปลาพัก เอาทะเบียนสมรสไปยืนยันว่าท้อง

ใครๆเม้าท์ว่าฉันท้องก่อนแต่ง แต่แล้วก็เงียบๆไป เพราะฉันไช่คนแรกและคนสุดท้ายที่ท้องก่อนแต่ง ช่วงที่ลาท้อง ทางบริษัทจะมีทางเลือกให้เราสองอย่าง คือ ทำงานภาคพื้นดิน รับเงินเดือนครึ่งเดียวหรือ ลาพักไปเลยโดยไม่รับเงินเดือน เรียกว่า leave without pay

ฉันเลือกอย่างหลัง เลือกผิดตามเคย

ฉันอยู่ร่วมบ้านกับครอบครัวพี่หนิงได้ไม่กี่วันเท่านั้น สามารถแยกแยะได้ว่า บ้านพี่หนิงนั้น ผู้หญิงทุกคน (นอกจากฉัน) เป็นใหญ่ คุณแม่พี่หนิงมีลักษณะธรรมดา แต่งตัวง่ายๆ แต่การพูดจา รวมทั้งการกระทำของคุณแม่ไม่เคยธรรมดา พี่สาวพี่หนิงเป็นแอร์เฟิร์สคลาส เธอสวยและนิสัยดีมากในสังคม แต่อยู่ที่บ้าน เธอเป็นอีกคนหนึ่งที่แตกต่างจากที่ทุกคนรับรู้ เธอชื่อ พี่หน่อย เธอแต่งงานแล้วกับนักการธนาคารจากครอบครัวร่ำรวย ชื่อพี่ มณฑล

พี่หน่อยปลูกบ้านอยู่ในบริเวณอันกว้างขวางของบ้านคุณพ่อคุณแม่เธอ น้องสาวพี่หนิง ตัวร้ายในชีวิตฉันอีกคนหนึ่งคือพี่หนิมคนที่เสี้ยมสอนน้องหนอนให้แอนตี้ฉัน แต่งงานแล้วเช่นกันกับนักธุรกิจลูกครึ่งจีน รวยมากเหมือนกัน

ฉันมารู้ทีหลัง(อีกละ)ว่า ครอบครัวนี้เค้าหายใจเป็นเงินในเมื่อฉันท้อง และไม่ต้องไปทำงาน ฉันจึงนอนตื่นสาย เมื่อลงมาข้างล่าง คุณแม่พี่หนิงจะพูดลอยๆว่า "ที่บ้านรินนี่ท่าจะตื่นสายกันหมดใช่มั้ย กินอาหารเช้ากันกี่โมงน่ะ แต่ทีลูกสาวตัวเองตื่นสายกลับไม่ว่าอะไร

"หน่อยท่าจะบินมาเหนื่อย ยังไม่ตื่นเลย แย้ม ไปทำกับข้าวไป๊ เดี๋ยวคุณหน่อยตื่นเดินมาบ้านนี้จะไม่มีอะไรกินกับฉัน คุณแม่ไม่สนใจว่าจะมีอะไรหรือไม่มีอะไรกินผิดกับเวลาพี่หนิงอยู่ ที่คุณแม่มักจะมาเคาะห้อง โผล่หน้ามายิ้มแย้มแจ่มใส เช่น

"หนิงกับรินเอาต้มเลือดหมูหน้าปากซอยมั้ย แม่จะให้แย้มไปซื้อ..." ฉันเป็นคนหัวอ่อน ไม่ค่อยมีปากมีเสียง และรู้ตัวว่าครอบครัวพี่หนิงไม่ค่อยอยากต้อนรับคนท้องก่อนแต่งเท่าไหร่นัก

ดีนะที่ครอบครัวฉันพอมีฐานะอยู่บ้าง คุณพ่อฉันมีชื่อเสียงมากในวงการวิทยาศาสตร์ ไม่อย่างนั้นฉันอาจจะไม่ได้แต่งงานกับพี่หนิง

บางวันพี่หนิงไปบิน ฉันตัดรำคาญโดยไปค้างที่บ้านคุณพ่อคุณแม่จนกว่าพี่หนิงจะกลับวันหนึ่ง ฉันกลับจากบ้านคุณพ่อคุณแม่ แล้วเลยแวะรอพี่หนิงที่สนามบิน โดยพี่หนิงไม่รู้ล่วงหน้าว่าฉันจะมารับ

ฉันมองที่จอทีวี วงจรปิด ที่ติดไว้บอกเวลาเครื่องลง เครื่องพี่หนิงลงก่อนเวลาเล็กน้อย วันนั้นพี่หนิงกลับมาจากสิงคโปร์ เป็นไฟลท์ที่นอนค้างหนึ่งคืน มีเวลาไปทานอาหารค่ำ ช้อปปิ้ง และอยู่ต่ออีกวันหนึ่งเต็มๆ เหมือนที่ฉันเคยไปกับพี่หนิงและกิ๊บสมัยพี่หนิงจีบฉันใหม่ๆ

ผู้โดยสารเริ่มทยอยออกมา สักพักฉันเห็นกัปตันเดินมากับS.O น่าจะเป็นกัปตันไฟลท์พี่หนิงนะ ฉันจำได้ว่ากัปตันท่านนี้อยู่ fleet เดียวกับพี่หนิง

แต่ไม่มีพี่หนิง ตอนนั้นพี่หนิงเป็น CO-PILOT แล้วฉันนึกไปว่า สงสัยพี่หนิงคงแวะโทรศัพท์หาฉันละมั้ง เลยรอต่อไป ไม่คิดอะไรมาก โดยทั่วไป เวลาผู้โดยสารออกจากเครื่องหมดแล้ว นักบินจะออกจากเครื่องตามไปเลย แต่ลูกเรือยังต้องอยู่เก็บสัมภาระต่างๆก่อน เช่น เดินเก็บนิตยสารที่ผู้โดยสารอ่านทิ้งไว้ตามที่นั่ง เก็บเมนูอาหาร ผ้าห่ม ฯลฯ ไปรวบรวมไว้ในถุงผ้าขนาดใหญ่แยกสีตามของที่จะต้องเก็บ พวกเราเรียกว่า pouch ที่ปากถุงจะมีรูกลมๆให้ใช้ห่วงเหล็กร้อย และใส่กุญแจไว้ด้วย นอกจากนี้ยังต้องล็อกตู้ต่างๆที่สำคัญ โดยใช้กุญแจเหมือนๆกันหมด และลูกเรือทุกคนจะได้รับแจกกุญแจสำหรับไขตู้และ pouchเหล่านี้

การเก็บงานหลังจากผู้โดยสารลงจากเครื่องจะกินเวลาเกินสิบนาที บางคนที่ช่างเอาเปรียบอาจจะไม่สนใจเก็บงาน เก็บแต่ข้าวของตัวเอง ลากกระเป๋าลงจากเครื่องไปก่อนเพื่อนร่วมงานก็มี แต่มีน้อยมาก

ส่วนใหญ่จะช่วยกันจนเสร็จแล้วลงจากเครื่องพร้อมๆกัน ฉันรอพี่หนิงจนเห็นลูกเรือเดินออกมา โน่น พี่หนิงอยู่รั้งท้าย กำลังคุยตาหวานกับแอร์หน้าหมวยคนนึง

ฉันระแวงขึ้นมาเดี๋ยวนั้น สัญชาตญาณบอกว่า พี่หนิงกำลังจะทำอะไรไม่ดีแน่เชียว พี่หนิงกับแอร์คนนั้นถ้อยทีถ้อยคุยกันจนไม่ทันสังเกตเห็นฉันที่ยืนอยู่ ก่อนที่จะเดินมาถึงตัวฉัน มีเสียงทักขึ้นมา

"อ้าวววว ริน ริ้น ริน มารับพี่หนิงเหรอเพื่อนกิ๊บนั่นเอง เธอเดินนำหน้าพี่หนิงกับแอร์คนนั้นมาพร้อมกับหนุ่ย ทั้งคู่ชะลอฝีเท้าลงราวกับนัดกัน เพื่อให้พี่หนิงกับสาวแอร์ที่เดินตามมาทันได้ยิน เสียงกิ๊บ ฉันยังไม่ทันตอบอะไรกิ๊บ หนุ่ยหันขวับไปด้านหลังและบอกแอร์สาวสวยที่เดินมาคู่กับพี่หนิงหน้าตาเฉยว่า

"นี่ๆๆ หนูลูกไก่ขา นี่ไงค้า พะ-ริ-ยา พี่หนิง เห็นมะ พี่บอกแล้วว่าพี่หนิงมีเมียสวย เชื่อยังค้า น้องลูกไก่พี่หนิงกับลูกไก่ทำหน้าแปลกๆที่ตอนนั้นฉันผู้แสนโง่ยังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร

ลูกไก่มองฉันเฉยๆ ไม่ยกมือไหว้ พี่หนิงหันไปบอกลูกไก่ว่า "ไปก่อนนะครับ แล้วเจอกัน
ลูกไก่ยิ้มหวานให้พี่หนิงแล้วรับคำ "ค่ะ

มองฉันอีกหนึ่งแว้บแล้วเดินต่อไปทางที่รถลูกเรือจอดอยู่ ฉันหน้าหงิกแล้วตอนนั้น พี่หนิงยิ้มแบบไม่มีอะไรในกอไผ่ ทำหน้าซื่อถามฉัน

"รินมารอรับพี่เหรอ เมื่อยมั้ย แล้วเอาไงดี พี่ต้องไปแวะคอร์ทเทนนิส เอาของไปให้เพื่อนที่นั่น แล้วถ้าไปกับริน พี่ต้องจอดรถไว้ที่นี่ รินกลับบ้านไปก่อนดีมั้ย พี่กลัวรินเหนื่อยแย่ เดี๋ยวเจอกันที่บ้านละกันพี่หนิงพูดแบบไม่ติดขัด ไม่มีพิรุธ ฉันเลยรับคำพี่หนิง ขับรถกลับบ้าน แวะซื้อของกินที่พี่หนิงชอบก่อนเข้าบ้าน รวมทั้งซื้อไปฝากคุณพ่อคุณแม่พี่หนิงด้วย

รออยู่สักพัก พี่หนิงโทร.มาบอกว่า "รินทานข้าวไปก่อนนะ เพื่อนพี่ชวนคุยอีกแป๊บ อย่ารอพี่เลย เดี๋ยวตัวเล็กในท้องหิวแย่มารู้ทีหลังจากหนุ่ยและกิ๊บว่า พี่หนิงขับรถตามลูกไก่ไปที่บริษัท รับลูกไก่ไปด้วยกัน คงโทร.หาฉันจากบริษัทนั่นเอง

นั่นเป็นอีกหนึ่งคดีที่พี่หนิงก่อ แต่ฉันทราบทีหลังคนอื่นตลอด เพราะฉันมันหัวอ่อน เชื่อคนง่าย ไม่รู้เท่าทันผู้ชายแบบพี่หนิง คนที่โกหกเก่งอย่างเหลือเชื่อ ตีหน้าไร้พิรุธได้แนบเนียนราวนักแสดงอาชีพนี่ถ้าพี่หนิงไปเป็นดารา คงเป็นพระเอกที่แสนดังด้วยการตีบทแตกกระจุย บวกความหล่อแถมหุ่นดี รางวัลทองๆต่างน่าจะได้มาไม่ยาก

พอพี่หนิงบอกไม่กลับ ฉันชักเริ่มระแวงเล็กๆ เหมือนกัน เลยพยายามคลายเครียดด้วยการเปิดแผ่นเลเซอร์ดิสก์ดู สมัยนั้นยังไม่มีวีซีดี ดีวีดี มีแต่วีดีโอเทป ส่วนเลเซอร์ดิสก์ยังเป็นของใหม่มาก แต่พี่หนิงบ้าเครื่องเสียง เลยหอบหิ้วมาจากสิงคโปร์ พร้อมซื้อแผ่นหนังต่างๆมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น เพราะที่เมืองไทยแพงมาก แผ่นเลเซอร์ดิสก์มีขนาดใหญ่เท่าแผ่นเสียง แต่มีทั้งภาพและเสียง หนังที่เปิดดูทุกเรื่องจะชัดมาก ฉันว่าชัดกว่าดีวีดีสมัยนี้อีก หรือฉันอุปาทานไปเองก็ไม่ทราบ

ฉันมีหนังเรื่องโปรดอยู่หลายเรื่อง แต่ที่ฉันดูแล้วประทับใจสุดๆมีสองเรื่อง คือ THE WIZARD OF OZ และ THE SOUND OF MUSIC

เป็นหนังเพลงสมัยคุณแม่ยังสาว ตั้งแต่ฉันยังไม่เกิด ฉันชอบนางเอกทั้งสองเรื่องมาก ทั้งคู่สวย และมีเสียงที่ไพเราะสุดยอด รวมไปถึงเพลงที่เธอทั้งสองร้อง และเพลงประกอบอื่นๆในสองเรื่องนี้ ฉันว่ามันกินขาดหนังใหม่ๆมากมาย บ่อยครั้งที่ฉันท้อแท้ ฉันจะฮัมเพลง OVER THE RAINBOW ที่จูดี้ การ์แลนด์ ร้องในเรื่อง THE WIZARD OF OZ

ให้กำลังใจฉันได้จนถึงทุกวันนี้ น่ารันทดใจที่คนร้องเธอไม่ใช้เพลงนี้ปลอบประโลมชีวิต เธอจึงเสียชีวิตแบบน่าเสียดายในเวลาอันสั้น ส่วนเพลงของจูลี่ แอนดรูว์ ในเรื่อง THE SOUND OF MUSIC ชวนให้ฉันฉงนสนเท่ห์ใจเหลือเกินว่าทำไมหนอฉันจึงรักดนตรีมากมาย ทั้งที่เล่นดนตรีไม่เป็น ร้องเพลงไม่เอาไหน ฉันเคยได้ยินใครสักคน (จำไม่ได้จริงๆ) บอกไว้ว่า

"ดนตรีเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดที่มนุษย์สร้างสรรขึ้นมา" และดนตรีเป็นสิ่งเดียวที่ฉันและพี่หนิงคุยกันได้
นอกนั้นไม่เคยมีอะไรตรงกันสักอย่าง ..เฮ้อ.. ฉันนอนดูหนังจนเผลอหลับไป พี่หนิงกลับมาเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่พอฉันตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นเขา ทราบว่าเขากลับมาเพราะกระเป๋าที่เอาไปบินวางอยู่ในห้อง ฉันลงบันไดไปข้างล่าง พี่หนิงนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พอเห็นฉัน พี่หนิงพูดเบาลง ฉันจับความไม่ได้มาก พี่หนิงวางหู หันมาหาฉัน

"รินตื่นแล้ว ทานข้าวยัง "

"พี่หนิงกลับช้าจัง รินรอซะหลับ "

"ทีหลังรินไม่ต้องรอหรอกน้า ยังไงๆ พี่ก็กลับมาอยู่ดี"

จริงของเขา ยังไงเขาก็กลับมา กลับมาหลังจากไปอิ่มเอมกับสาวๆคนอื่นๆมาน่ะสิ เรื่องลูกไก่ผ่านไป พี่หนิงไม่พูดถึงเธอเลย ฉันถามถึง เขาบอกเพิ่งคุยกันตอนเครื่องลงเอง พี่หนิงอ้างว่าเขาแวะซื้อของที่ร้านค้าปลอดภาษีเลยทำให้ออกมาช้า เจอกลุ่มลูกเรือเข้าพอดี อืมมม ช่างพอดี พอเหมาะไปเสียทุกอย่าง พี่หนิงเป็นเลิศในการแต่งเรื่องเกลี้ยกล่อมให้ฉันเชื่อเขาจนได้ ในตอนหลัง เมื่อฉันนึกทบทวนไปถึงพฤติกรรมต่างๆของพี่หนิง ฉันได้แต่ปวดร้าว เจ็บลึกลงไปในหัวใจ ทำไมหนอ ฉันจึงไม่รู้เท่าทันพี่หนิงเลย ไม่ได้แกล้งโง่ แต่โง่เง่าเสียจริง

หลายวันต่อมา พี่หนิงไปบินตามตารางของตนเองบ้าง ไม่ตามบ้าง อ้างว่าเพื่อนขอแลก ฉันไม่ได้สงสัยอะไร จึงไม่ได้ติดตามเสาะหาข้อเท็จจริงว่าพี่หนิงแลกไฟลท์เพราะอะไรกันแน่ ที่แท้พี่หนิงบินตามลูกไก่ และลูกไก่บินตามพี่หนิง ฉันทราบเรื่องพี่หนิงกับลูกไก่หลังจากคลอดลูก และกลับไปบิน ฉันได้ลูกสาว หน้าตาน่ารักมาก ฉันซึ้งกับลูกเหลือเกิน ตอนที่ท้อง รู้สึกอยากเห็นหน้าลูก อยากรู้ว่าลูกจะหน้าตาเป็นยังไง เหมือนใคร แต่ความรัก ความผูกพันมากมายเกิดขึ้นหลังจากได้เห็นหน้าลูก ได้กอดลูก หอมลูก ให้นมลูก ปากน้อยๆที่ดูดนมแม่นั้นช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก

คนที่มีโอกาสได้เป็นแม่ส่วนใหญ่ในโลกนี้คงรู้สึกเช่นเดียวกับฉัน ในขณะเดียวกัน ฉันนึกรักคุณแม่ตนเองขึ้นมาอีกมากมาย เนื่องจากได้สัมผัสความรักแสนวิเศษเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นเมื่อฉันเป็นแม่คน

ฉันตั้งชื่อลูกสาวฉันว่า "รุ้ง" ด้วยในวันที่ฉันคลอดเธอ ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นสายรุ้งพาดไปกับขอบฟ้า เจ็ดสีชัดกระจ่างราวกับภาพวาด รวมกับความรักเพลง OVER THE RAINBOW ฉันจึงไม่ลังเลเลยว่าลูกฉันน่าจะชื่อนี้ เมื่อรุ้งอายุสี่เดือน ฉันเตรียมตัวกลับไปบิน ทั้งที่อยากอยู่กับลูกเหลือเกิน พี่หนิงบอกให้ฉันลาออกจากงานเพื่อดูแลลูกเอง แต่ฉันอยากกลับไปทำงาน ฉันรักงานแอร์ ฉันไม่อยากเลิกทำงานนี่นา พี่หนิงอยากให้ฉันลาออก เพื่อที่เขาจะได้มีอิสระเต็มที่ในเรื่องผู้หญิงต่างหาก นี่คือจุดอ่อนของพี่หนิง เขารักตัวเองมากเกินกว่าจะให้ความรักกับคนอื่น

แม้คนเหล่านั้นจะเป็นลูกเมียของเขาเอง ก่อนจะกลับไปบิน ฉันต้องลดน้ำหนักให้รูปร่างดี สวมชุดไทยชุดเดิมได้ เนื่องจากต้องมีการไปให้หัวหน้าแอร์ "ดูตัว" ก่อนกลับไปทำงาน หมายถึงการไปพบหัวหน้า ให้เธอดูรูปร่างหน้าตา ลองสวมชุดไทยให้ดูว่าผอมดีแล้วหรือยัง บางคนยังผอมไม่ถึงขนาดที่จะสวมชุดไทยของตัวเองได้ เลยยืมของเพื่อนที่ตัวใหญ่กว่ามาสวมก็มี หากหัวหน้าดูแล้วยังไม่ผ่าน ต้องกลับไปลดน้ำหนักต่อ แล้วกลับไปให้ดูใหม่ แอร์ที่เพิ่งคลอดลูกจะถูกเรียกว่า "แอร์แม่ลูกอ่อนบรรดาแอร์แม่ลูกอ่อนจะชอบจับกลุ่มคุยกันเรื่องลูก พกอัลบั้มลูกเป็นเล่มๆ แลกเปลี่ยนความรู้กันเรื่องลูก จนทำให้แอร์ที่ยังไม่มีลูกต้องออกจา กวงสนทนาด้วยความเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง

เมื่อกลับไปบิน เรื่องของพี่หนิงเริ่มลอยมาเข้าหูจากผู้ปรารถนาดีแต่หวังร้าย หรือหวังดีแต่ใจร้าย หรือทั้งหวังดีทั้งเอาใจช่วย มีทุกรุปแบบ เหมือนสังคมธรรมดาทั่วไป ฉันเริ่มระแวง เริ่มหึง เริ่มสืบค้นหาความจริง

ความจริงที่ทราบทีหลังชาวบ้านทั้งบริษัท ความจริงที่ทำให้ฉันทะเลาะรุนแรงกับพี่หนิง หนุ่ยเล่าว่า พี่หนิงกับลูกไก่ปิ๊งกันตั้งแต่ไฟลท์ที่ฉันไปรับพี่หนิงนั่นเอง หนุ่ยเห็นฉันกำลังท้อง ไม่ต้องการให้ฉันเสียสุขภาพจิต เลยเลือกไม่บอก กิ๊บเล่าเหมือนกันกับหนุ่ย แต่ข้ามช้อตเรื่องที่เธอเคยมีอะไรๆกับพี่หนิงไปราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้น รวมกับฉันไม่เคยทราบ (เรื่องกิ๊บกับพี่หนิง ฉันทราบจากปากพี่หนิงเองในตอนหลังก่อนที่ฉันจะทะเลาะกับพี่หนิง ฉันถามเขาดีๆว่ามีอะไรให้บอกกัน ฉันรับได้ แต่อย่าโกหก พี่หนิงบอกฉันว่า ลูกไก่เป็นแค่สาวรักสนุก เคยประกวดนางงามได้ตำแหน่ง และไปบินด้วยกันครั้งแรก เธอเองเป็นฝ่ายชวนพี่หนิงเข้าห้อง

พี่หนิงตอกย้ำอีกว่า "รินไม่เห็นต้องคิดมาก พี่เป็นผู้ชาย ไม่เสียหายอะไร พี่ไม่ทิ้งรินกับลูกอยู่แล้ว รินอยู่เฉยๆ แล้วดีเอง เชื่อพี่เถอะเฮอะๆๆ เชื่อพี่เถอะ ... แถมพี่หนิงยังต่ออีกว่า

"รินจำที่เราไปโอซาก้ากันได้มั้ย วันนั้นพี่ออกจากห้องรินไปก็ไปหากิ๊บเลย มันทนไม่ไหว
"เอาเล่นไปงั้นแหละ รินอย่าคิดมาก ..." วันนั้นพี่หนิงบรรยายหมดว่าเคยมีอะไรกับแอร์คนไหนบ้าง โอยยยยยยยยยยย เครียดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

หลายคนที่พี่หนิงเอ่ยมาเป็นคนที่ฉันรู้จัก บางคนสนิทสนมกันดี ขอร้องโอยยยยย อีกทีนึง ...โอยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ตกลงฉันกลายเป็นของตายไปแล้วหรือนี่ ฉันโมโหมากกับความจริงที่ออกมาจากปากพี่หนิง ฉันขึ้นเสียงดังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน "พี่หนิงทำงี้ได้ไง พี่หนิงเห็นรินเป็นตัวอะไร พี่หนิงไม่รักริน.." ฉันร้องไห้ โวยวาย อย่างที่นึกย้อนไปแล้วสมเพชตนเองยิ่งนัก

สุดท้ายลงเอยบนเตียง พี่หนิงหลั่งความรักความใคร่จนฉันต้องพ่ายแพ้ต่อกิเลสตัณหาของตนเองจนได้ นี่คือความสัมพันธ์ซับซ้อนของคนที่เป็นสามีภรรยากัน เมื่อเรื่องเพศอันเป็นปัจจัยหนึ่งในชีวิตคู่เข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อนั้นการตัดสินใจอะไรมัน จึงเกี่ยวพันโยงใยกันไปเสียหมด

การที่ใครๆรู้เรื่องฉันแล้วบอกฉันว่า เลิกเลย รินยังสาว ยังสวย หาใหม่ได้ไม่ยาก เรื่องอะไรยอมพี่หนิง..... พูดง่าย ทำยาก ใครไม่เจอด้วยตนเอง ย่อมไม่ประจักษ์แจ้งแก่ใจ พี่หนิงสรุปกับฉันอย่างหัวเราะๆว่า ถ้าฉันไม่พอใจ พี่หนิงจะเลิกกับลูกไก่ แต่จริงๆแล้วพี่หนิงไม่ได้เลิกกับลูกไก่เพื่อเอาใจฉันเลย พี่หนิงกำลังคั่วเด็กใหม่

........นางมารร้ายที่สุดในชีวิตฉัน........ ระหว่างนั้น ฉันเริ่มบินไกลขึ้น มีไฟลท์ยาวบ่อยมาก ได้เลื่อนขั้นไปทำงานชั้นหนึ่งหรือ FIRST CLASS เมื่อเริ่มทำงาน แอร์ทุกคนต้องทำงานในชั้นประหยัด หรือ ECONOMY CLASS บางสายการบินเรียกว่า ชั้นนักท่องเที่ยวอย่างไรก็ดี คือส่วนที่ราคาตั๋วถูกที่สุดในเครื่อง

ต่อจากนั้น เป็นชั้นนักธุรกิจ หรือ BUSINESS CLASS ซึ่งตั่วแพงขึ้น ที่นั่งกว้างขึ้น อาหารมีให้เลือกมากขึ้น ทุกอย่างเป็นขั้นกว่า แต่ขั้นที่แพงสุด คือ FIRST CLASS ชั้นหนึ่ง เมื่อเลื่อนจากแอร์ชั้นประหยัดไปเป็นแอร์ชั้นธุรกิจ เราต้องไปอบรมการบริการเพิ่มเติม และเมื่อเลื่อนไป FIRST CLASS ก็เช่นเดียวกัน ต้องอบรมเพิ่มอีก การทำงานต้องเนี้ยบเรียบร้อย มีคนสำคัญ วีไอพี ใช้บริการกันมาก การเลื่อนขั้นไม่ได้เป็นไปตามรุ่น แต่เป็นไปตามผลงานและความงาม

จึงมีกรณีพิพาทบ่อยๆ เรื่องรุ่นน้องข้ามหน้าข้ามตา ได้ทำ FIRST CLASS เร็วกว่าแอร์รุ่นพี่ที่บินมานาน แต่บังเอิญไม่ค่อยสวย เพราะรุ่นน้องสวยกว่า สาวกว่า ผู้โดยสารให้อภัยเวลาทำอะไรผิดๆ เพราะความสดใสมีชัยไปกว่าครึ่ง แปลกที่ว่าในโลกนี้มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชายหลายเท่า แต่ผู้โดยสารกลับเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง สายการบินแถบเอเชียจึงมักเอาแอร์เป็นจุดขาย

แต่สายการบินในยุโรป อเมริกา แอร์เป็นจุดบอด ล้วนแต่ป้าๆทั้งนั้น ฉันเคยไปนั่งเครื่องโดยสารภายในสหรัฐอมริกา เกิดอยากดื่มน้ำขึ้นมาช่วงที่ไม่มีการออกมาบริการอาหาร ฉันจึงเดินไป
ขอในแกลลี่ แอร์คุณป้าเธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู แล้วบอกประมาณว่า "นี่เธอ ยังไม่ถึงเวลาเสิร์ฟนะยะ" แต่ก็เอาน้ำให้ฉันแบบหน้าบูดๆ โห ป้าขา มานั่งสายการบินเมืองไทยสิค้า เสิร์ฟได้ตลอดเวลา กดเรียกปุ๊บมาปั๊บ ไวปานวอก ไม่ต้องมีการันตีภายในสามสิบนาที แต่มา ภายในสามสิบวินาทีต่างหาก เมื่อเป็นแม่แล้ว การไปบินไม่ค่อยสนุกเหมือนเคย ฉันคิดถึงแต่ลูก เฝ้าโทรศัพท์กลับมาถามพี่เลี้ยงลูกว่า น้องเป็นยังไง ฉันจ้างพี่เลี้ยงมาจากศูนย์บริการจัดหาคนเลี้ยงเด็กซึ่งใครๆมักจะเตือนว่าต้องดูให้ดีๆ ไม่พอใจรีบเปลี่ยนคนใหม่ได้ แต่ฉันโชคดี ได้คนดีมาเลี้ยงลูก

เธอชื่อ นิ่มนวล และนิ่มนวลสมชื่อ มีอะไรไม่บอก อดทน เก็บเงียบทุกอย่าง ทั้งที่เธอโดนคุณแม่พี่หนิงคุกคามอย่างหนัก

แอร์กี  ตอนเจ็บซ้ำ ตอน2

นิ่มนวลเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่ฉันจ้างมาจากศูนย์ส่งพี่เลี้ยงเด็กที่มีชื่อเสียงแห่งหึ่ง เธอเป็นคนจังหวัดขอนแก่น เข้ามาเรียน ปวช. ในกรุงเทพ
ฉันเรียกเธอสั้นๆว่านวล นวลกับฉันถูกชะตากันทันที่ที่ได้เห็นหน้ากัน

นวลเล่าว่า เธอเรียนหนังสือจนจบม.สามที่ขอนแก่น และเข้ามาเรียนปวช.ในกรุงเทพ จบแล้วยังหางานทำไม่ได้ เลยลองสมัครอบรมพี่
เลี้ยงเด็กดู นวลเคยเลี้ยงเด็กมาแค่คนเดียว เลี้ยงอยู่ไม่ถึงปี พ่อแม่ก็พาลูกไปอยู๋ต่างประเทศ นวลจึงมาเลี้ยงน้องรุ้งเป็นคนที่สอง

ตามสัญญาว่าจ้าง นวลจะเลี้ยงเด็กอย่างเดียว ไม่ต้องทำงานอย่างอื่น มีวันหยุดสัปดาห์ละหนึ่งวัน หากไม่ได้หยุด ค่าล่วงเวลาคือวันละสาม
ร้อยบาท


แต่การณ์กลับกลายป็นว่า นวลโดนคุณแม่พี่หนิงใช้ทำงานอื่น และอ้างว่าดูน้องรุ้งให้เอง นวลก้มหน้าทำตามที่ได้รับคำสั่งโดยฉันไม่เคยรู้เรื่อง
เพราะต่อหน้าฉัน คุณแม่พี่หนิงไม่ใช้อะไรนวลเลย

ขอเล่าเรื่องคุณพ่อคุณแม่พี่หนิงสักหน่อย

คุณแม่พี่หนิงเป็นสาวสวยในจังหวัดที่คุณพ่อพี่หนิงซึ่งเป็นนายทหารอากาศไปประจำกองบินที่นั่น เรื่องรักของคุณพ่อคุณแม่พี่หนิงคงเหมือนนิยายเ
รื่องเก่าทั้งหลายที่เกิดขึ้นซ้ำซาก

สาวสวยประจำจังหวัดพบรักกับนายทหารหนุ่ม ทั้งคู่อยู่ด้วยกันจนมีลูกสามคน คือพี่หน่อย พี่หนิง พี่หนิม

เมื่อย้ายกลับมากรุงเทพ คุณแม่ซึ่งเคยค้าขายอยู่กับครอบครัวตัวเองมาก่อนก็หาช่องทางทำมาหากินเสริม เพราะเงินเดือนทหารของคุณพ่อ
ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย คุณแม่จึงทำกับข้าวขายอยู่หน้าบ้านพักในกองทัพอากาศ เก็บหอมรอมริบ ส่งลูกชายและลูกสาวไปเรียนในโรงเรียน
เอกชนชั้นดีมากในกรุงเทพ

ต่อมาคุณแม่เริ่มเป็นนายหน้าค้าที่ดิน และจัดสรรที่ขายเอง จนร่ำรวยเป็นปึกแผ่น ฉันเคยเห็นในเซฟของคุณแม่มีโฉนดที่ดินอัดแน่น ทั้งที่ดิน
ของเธอเอง ที่ดินที่มีคนเอามาจำนองรวมทั้งที่ดินที่หลุดจำนอง

อีกเซฟหนึ่ง มีทองอัดแน่น ทั้งทองแท่ง และทองรูปพรรณ น่าปล้นยิ่งนัก

ฉันไม่เคยได้แม้ทองสักสลึงจากเธอ

เพราะ คุณแม่พี่หนิงเป็นประเภทยิ่งรวยยิ่งเหนียว เรื่องจะมีน้ำใจกับคนอื่นนอกจากลูกๆตนเองนั้น ยากส์ส์ส์ส์มั่กๆ เอาเป็นว่าตั้งแต่เป็นแม่
ผัวลูกสะใภ้กันมา คุณแม่ไม่เคยให้อะไรฉันเลย แม้แต่จะซื้อขนมมาฝากหลานยังไม่เคย

ถ้าเล่าต่ออีก นี่เรียกว่า แฉ หรือเปล่าน้อ

ตัดสินใจว่าจะเล่าเลยเล่าต่อเลยตามเลย

เรื่องแรกที่ฉันเสียความรู้สึกกับคุณแม่พี่หนิงนอกจากเรื่องชอบกระทบกระเทียบอย่างที่ฉันเคยเล่าแล้ว คือเรื่อง แหวนแต่งงานของฉัน

ตอนแต่งงาน คุณพ่อคุณแม่ฉันไม่ได้เรียกร้องอะไร ทางบ้านพี่หนิงรับจัดงาน โดยท้ายสุดคนจ่ายคือคุณแม่ฉัน เพราะคุณแม่หนิงเฝ้าแต่บ่นว่าแพ
งเกิน จนคุณแม่ฉันต้องควักกระเป๋าจ่ายเพื่อลูก คือตัวฉันเอง ฉันนี่มันเป็นลูกที่ทำความผิดหวังให้คุณพ่อคุณแม่มาก แต่ท่านทั้งสองให้อภัยและ
ไม่เคยซ้ำเติมฉันเลย แม้ในเวลาต่อมาฉันต้องเจ็บปวดเจียนตาย ท่านทั้งสองเท่านั้นที่เฝ้าดูแลปลอบโยน

ไม่มีรักใดใหญ่ยิ่งเท่าความรักของพ่อแม่----------->จริงๆนะ เชื่อฉันเถอะ

คุณแม่พี่หนิงบอกพี่หนิงว่าไม่ต้องไปซื้อแหวนให้ฉัน เพราะของคุณแม่มีเยอะ จะเลือกมาให้ฉันเอง ทำให้ฉันดีใจมากเมื่อได้แหวนเพชรเม็ดเดี่
ยวประมาณสองกะรัตกว่า น้ำงามใสแจ๋วมาสวมใส่ในวันแต่งงาน ใครเห็นใครชมว่าแหวนสวยมากๆ

เมื่อฉันเข้าไปอยู่ในบ้านพี่หนิงได้ไม่ถึงเดือน คุณแม่พี่หนิงถามหาแหวนวงนั้นกับฉัน เธอบอกฉันว่าให้เอาแหวนมาคืนเธอเพราะเธอแค่ "ให้
ยืม" ไม่ใช่ "ให้เล
ฉันเลยต้องคืนแหวนให้คุณแม่พี่หนิงไป และคุณแม่สำทับไว้ว่า "อย่าบอกหนิงน
เรื่องที่สองที่ฉันโกรธมากคือ วันหนึ่งฉันกลับมาจากบินตอนบ่ายๆ เหนื่อยและร้อนมาก ช่วงนั้นเป็นเดือนเมษายน กลับถึงบ้าน ฉันรีบขึ้นข้าง
บนไปดูน้องรุ้งในห้องนอน

น้องรุ้งนอนรวมกับฉันในห้องนั่นเอง ไม่ได้มีห้องต่างหากทั้งที่บ้านพี่หนิงมีห้องว่างอยู่ที่เคยเป็นห้องพี่สาวน้องสาวเขา แต่คุณแม่ไม่ยอมให้
หลานอยู่ อ้างว่าเจ้าของห้องไม่อนุญาต

นวลต้องนอนข้างล่าง ปูเสื่อนอน ฉันซื้อที่นอนพับได้ให้นวล และให้ขึ้นมานอนบนห้องฉันเวลาที่ฉันและพี่หนิงไม่อยู่ ถ้าฉันอยู่โดยไม่มีพี่หนิง ฉัน
มักจะให้นวลขึ้นมานอนในห้องฉัน แต่ถ้าพี่หนิงอยู่โดยไม่มีฉัน พี่หนิงจะเข้าไปนอนในห้องน้องสาวหรือพี่สาวเขา โดยให้นวลดูแลน้องรุ้ง พี่
หนิงไม่เคยช่วยเลี้ยงลูกเลย

บ่ายวันนั้น ฉันจำได้ติดตามาจนวันนี้ ฉันเปิดประตูเข้าไป เห็นนวลนั่งอยู่ข้างเตียง กำลังเอาพัดแบบสานพัดกระพือลมให้น้องรุ้ง น้องรุ้งหลับ
อยู่บนที่นอน เหงื่ออกเต็มทั้งตัวและหัว

"นวล ทำไมไม่เปิดแอร์ล่ะ แอร์เสียเหรอ" ฉันถามนวล

"เปล่าค่ะ คุณย่าไม่ให้เปิด บอกให้เปิดพัดลมเอา พอดีพัดลมมันเสีย นวลเอาไปซ่อมไว้ค่
ฉันโหโหขึ้นมาทันที คนเป็นแม่นี่แปลก ใครทำตัวเรานี่ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ทำลูกเรานี่ไม่ได้เลยเชียว

"ประหยัดไฟบ้าอะไรกัน ชั้นให้เงินเค้าตั้งเดือนละห้าพัน ยังมางกอีก "

ห้าพันบาท สมัยนั้นคงประมาณสองสามหมื่นบาทสมัยนี้

จากการบอกเล่าของนวลที่ฉันค่อยๆเค้นออกมาจึงได้ความว่า นวลต้องช่วยแย้มซึ่งเคยทำงานบ้านคนเดียวทำงานบ้านด้วย

และโดนคุณแม่ใช้สาระพัด

เวลาที่คุณแม่ใช้นวล คุณแม่จะดูแลน้องรุ้งเอง แต่เป็นการ"ดู" เฉยๆ จริงๆ คือถ้าลูกฉันร้องก็เรียกนวล ถ้าเปียกก็เรียกนวล นวลต้องวิ่ง
ไปมาทำทั้งดูน้องและงานบ้าน

"ตายหละ นวลไม่บอกพี่เลยนะ เอาเถอะๆ พี่จะไปพูดกับคุณแม่ให้รู้เรื่องว่าควรทำกับนวลแบบไห
ด้วยความโกรธ ฉันวิ่งลงบันไดไปอย่างเร็ว เลยพลัดตกบันไดเพราะกระโปรงเครื่องแบบที่สวมนั้นแคบมาก เมื่อฉันก้าวพรวดลง ฉันเลย
เสียหลัก กลิ้งลงไปถึงชานพักบันได

เจ็บน่าดูเลย ที่ร้ายกว่านั้น คือฉันแท้งลูกโดยยังไม่รู้ตัวว่าท้องในวันนั้นเอง

คุณพ่อพี่หนิงเป็นคนพาฉันไปโรงพยาบาล ฉันเลือดออกมาก หมอบอกว่าฉันเสียเด็กในท้อง อายุราวหกสัปดาห์ไป

ฉันได้รับการขูดมดลูก นอนโรงพยาบาลหนึ่งวัน
พี่หนิงกลับจากบินมาดูอาการฉันในวันรุ่งขึ้น รวมทั้งรับฉันกลับบ้าน

คืนนั้นฉันบอกพี่หนิงเรื่องแหวน เรื่องคุณแม่เขาไม่ยอมเปิดแอร์ให้หลาน เรื่องนวล เรื่องฉันโดนกระทบกระเทียบเปรียบเปรยต่างๆ

"แล้วพี่หนิงรู้มั้ยคะว่ารินใส่ซองให้คุณแม่เดือนละห้าพันทุกเดือน ตั้งแต่เข้ามาอยู่ พี่หนิงไปถามคุณแม่สิว่าจะเอาเท่าไหร่ ถึงจะเปิดแอร์ให้
น้องรุ้งได้น่
ยิ่งพูด เสียงฉันยิ่งดัง

"รินอดทนมานานแล้วนะ ทำกันแบบนี้รินกลับไปอยู่บ้านตัวเองดีกว่า แม่รินก็อยากเลี้ยงหลาน ไม่ต้องมาห่วงกลัวลูกนอนร้อนตับแตกอยู่บ้านนี้น่

ฉันเริ่มร้องไห้ มันโมโห น้อยใจ อัดอั้น

"คุณพ่อพี่หนิงน่ะดีกับรินนะ แต่ทำไมต้องเงียบตลอด กลัวคุณแม่มากเลยหรือไง "
ฉันพูดตามที่ตัวเองสังเกตว่าคุณพ่อพี่หนิงซึ่งเกษียณอายุราชการแล้วอยู่บ้านเฉยๆนอนอ่านหนังสือพิมพ์ ดูทีวี วันๆไม่พูดจากับใครเลย แรกๆฉัน
กลัวคุณพ่อพี่หนิงมาก แต่ตอนหลังเริ่มสังเกตและเข้าใจว่าคุณพ่อเงียบเพราะไม่มีพาวเวอร์ในบ้าน คุณแม่หาเงินเก่งกว่า กำอำนาจไว้ รวม
ทั้งให้ท้ายลูกที่ล้วนแต่เอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่กันทั้งนั้น

นั่นคงป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่พี่หนิงไม่อยากเป็นผู้ชายแหยๆกลัวเมียอย่างคุณพ่อของเขา กลับบ้าอำนาจ ข่มเมียมากขึ้นๆในเวลาต่อมา

ขณะที่ฉันพูดไป ร้องไห้ไป แต่ไม่ยอมหยุดพูด เสียงแช้ดๆแปร๊ดๆของฉันคงดังมากจนคุณแม่พี่หนิงเปิดประตูเข้ามา

"มีอะไรกันน่ะ รุ้งเป็นอะไร แล้วเก้าอี้นั่นมันมาอยู่ห้องนี้ได้ยังไง ใครเอามา ชั้นก็หาอยู่ว่าเก้าอี้หายไปไหนตัวนึ
เธอชี้ไปที่เก้าอ้ไม้กลมๆไม่มีพนัก ราคาไม่กี่บาท ที่มีอยู่หลายตัวทั่วบ้าน และพี่หนิงเอามาไว้นั่งในห้องนอนของเราสองคนตัวหนึ่ง

"หนิงเอามาเองแหละครับแม่ ไม่มีอะไรแม่ รินเค้าเหนื่อยน่
"เหนื่อย หรือกำลังฟ้องอะไรหนิงล่ะ"

ฉันหันหลังให้คุณแม่พี่หนิง นับหนึ่งถึงสิบถึงร้อยถึงพัน พอเธออกจากห้องไปพร้อมกับทิ้งท้ายว่า

"ใครฟ้องอะไร หนิงฟังหูไว้หูละกั
"ครับ แม่" พี่หนิงรับคำ

ฉันเงียบ ลมออกหู กดโทรศัพท์ไปที่บ้าน คุณแม่มารับสาย ฉันบอกคุณแม่ว่า

"แม่ขา รินทนไม่ไหวแล้ว รินอยู่นี่ไม่ได้ รินจะกลับไปอยู่บ้าน ฮือๆๆๆๆๆ
"ใจเย็นๆลูก มีเรื่องอะไรเล่าให้แม่ฟังก่อน อย่าเพิ่งวู่วา
"แม่อย่าเพิ่งให้รินเล่าเลย รินขอเก็บของก่อน เดี๋ยวถึงบ้านแม่แล้วรินเล่านะคะ"

"เอาหลานมาด้วยนะลู
"ค่ะ แม่ เดี๋ยวคุยกั
ฉันบอกนวลให้เก็บของ พี่หนิงที่ยืนบื้ออยู่นานพูดขึ้นมาว่า

"รินไปอยู่บ้านรินซักพักก็ดีนะ ใจเย็นแล้วค่อยกลับม
ที่แท้พี่หนิงแอบดีใจที่ฉันจะกลับไปอยู่บ้านตัวเอง เพราะเขาจะได้ไปหาคู่ขาคนใหม่ที่กำลังหลงหัวปักหัวปำ

เธอคนนั้นเป็นแอร์ ชื่อ เชอร์รี่


จาก : ADMIN - 26/10/2006 20:05

ข้อความ : ฉันกับนวลช่วยกันเก็บของใช้เท่าที่จำเป็นไปก่อน เสร็จแล้วฉันอุ้มน้องรุ้งลงไปข้างล่าง พี่หนิงกำลังนั่งดูทีวีกับคุณแม่เขา ฉันเข้าไปนั่งคุกเข่า
บอกคุณแม่เขาว่า

"รินจะไปอยู่บ้านแม่ซักพักนะคะ ไปละค่
ฉันยกมือไหว้ลาเธอ เธอรับไหว้แล้วเมิน ทำเป็นสนใจทีวี ส่วนคุณพ่อเข้านอนไปแล้ว

พี่หนิงรับน้องรินไปอุ้ม หอมแก้มลูก ทำหน้าซื่อ(ตามเค
"ไปอยู่กับคุณยายดีๆนะลูก แม่เค้างอน แล้วพ่อจะไปหาน
น้องรุ้งเพิ่งสิบเดือน หน้าตาแป๋วๆของลูกทำให้ฉันมาคิดทีหลัง(อีกนานจากนั้น)ว่า ลูกออกจะน่ารักขนาดนี้ ทำไมพี่หนิงจึงเห็นแก่กิเลสตัณหาม
ากกว่าครอบครัวตัวเองไปได้นะ

ทำไม ทำไม ทำไม มีอีกหลายทำไมที่ฉันพยายามหาเหตุผล หาคำตอบว่าทำไมพี่หนิงจึงซ่อนความเป็นตัวตนของเขาได้แนบเนียนขนาดนั้น

ฉันน้อยใจพี่หนิงมากที่ไม่ยื้อให้ฉันอยู่ที่บ้านเขาต่อ ปล่อยให้ฉันไปกับน้องรุ้งและนวล ฉันขับรถไปสะอื้นไป ถึงบ้านคุณแม่ ประตูเปิดรออยู่แล้ว
ฉันอุ้มลูกลงจากรถ นวลเก็บข้าวของ คุณแม่ คุณพ่อออกมายืนหน้าบ้านทั้งคู่ทันทีที่ฉันขับรถเข้าไปจอด ราวกับท่านคอยอยู่นานแล้ว

ด้วยความที่ฉันเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่จึงรักมาก แต่ฉันทำให้ท่านเสียใจหลายครั้ง ท่านอาจจะโกรธ โมโหในตอนแรก แต่สุดท้ายท่านมีแต่คำ
ว่าให้อภัย

ใครเป็นพ่อแม่คน คงทราบความรู้สึกนี้ดี แต่ถ้ายังไม่ได้เป็น อาจจะทราบ แต่ไม่ซึ้ง

ฉันเข้าบ้าน เรื่องต่างๆพรั่งพรูออกมาจากปาก

"แล้วหนิงเค้าไม่ว่าเหรอที่ลูกมาอยู่บ้านเรา" คุณแม่ถาม

"ไม่เห็นว่าอะไรนี่คะ เค้าเกรงใจแม่เค้า เค้าบอกให้รินอยู่ให้สบายใจก่อนค่อยกลับไ
"ผัวเมีย ห่างกันมาก แยกกันอยู่ไม่ดีนะลูก"คุณแม่ฉันสอน

"แม่ว่ารินชวนหนิงมาอยู่บ้านเราดีกว่า แม่จะได้เลี้ยงหลานให้เพลิ
แม่ฉันเคยเป็นนางพยาบาล เลี้ยงเด็กเก่ง ทำอาหารเสริมให้หลานทานจนน้องรุ้งอ้วนขึ้นกว่าเดิมมาก น้องรุ้งเป็นแก้วตาดวงใจของคุณตาคุ
ณยายเลยเชียว ส่วนนวล คุณแม่จัดห้องแอร์อย่างดีให้นวลอยู่ และเอาน้องรุ้งไปนอนด้วยเสียเอง

คุณแม่ชอบล้อฉันว่า

"แม่ว่าแม่รักรินมากแล้วน้า แต่แม่รักหนูรุ้งมากกว่าอีก นี่แหละโบราณเค้าว่า... แขนงแรงกว่าหน่
ฉันอยู่บ้านตัวเองอย่างมีความสุข พี่หนิงโทร.มาหาบ้าง ฉันชวนเขามาอยู่ด้วยกัน เขากลับบอกว่า

"พักนี้แม่ไม่ค่อยสบาย พี่ว่าพี่ยังไม่น่าไปนะ เอาไว้พี่จะไปหาละกัน แต่อยู่เลยคงไม่ได
พี่หนิงแวะมาค้างกับฉันและลูกบ้าง แต่ไม่ใช่ทุกวันที่เขาและฉันว่างตรงกัน ฉันมัวชื่นชมลูกเพลิน ไปบินที่ไหนก็ซื้อแต่ของให้ลูก บ้าเห่อลูกตัว
เองจนลืมระวังสามีไปสนิท

วันหนึ่งพี่หนิงมาค้าง และคุยให้ฉันฟังว่า

"วันนี้เจอแฟนรินด้วย รินรู้มั้ยเค้าไม่ผ่าน evaluate สมน้ำหน้
ฉันทำหน้าเฉยทั้งที่รู้ว่าพี่หนิงหมายถึงพี่อิน ตั้งแต่แต่งงาน จนคลอดลูกและกลับไปบินมาสี่เดือนกว่าแล้วฉันยังไม่ได้ข่าวหรือพบเจอพี่อินเลย

"พี่หนิงพูดถึงใครล่ะคะ แฟนรินเยอะจาตาย" ฉันทำเป็นตลก

"หือ รินอย่ามาเฉไฉหน่อยเลย ก็ไอ้อินไง เนี่ย รินต้องเคยมีอะไรกับมันแหงๆ โอ๊ย เขียนจดหมายพร่ำพรรณนาถึงรินเยอะแยะ" พี่หนิง
เริ่มบทประชด

"อ๋อ พี่หนิงเองล่ะซี้ เก็บจดหมายรินไปหมด "

"รินเพิ่งรู้เหรอ นึกว่ารู้นานแล้
พี่หนิงทำประชดประชันไปงั้น ให้ฉันตายใจว่าเขารักเขาหวง

พี่หนิงเล่าว่าถึงคิวพี่อินเข้า evaluate เป็นกัปตัน (นักบินที่หนึ่ง) แต่พี่อินไม่ผ่านในขณะที่ co-pilot คนอื่นๆ ที่evaluate พร้อมพี่อิน
ผ่านกันหมด เพื่อเริ่มการเทรนเป็นกัปตันต่อไป

EVALUATE คือการที่นักบินแต่ละคนจะได้รับการทดสอบและดูแลฝีมือการบินจากครูฝึก ครูฝึกส่วนใหญ่เป็นกัปตันที่ได้รับการยอมรับในฝีมือ ได้
รับการเลือกมาทำหน้าที่ครูสอนนักบินด้วย ทำหน้าที่บินดูแลลูกศิษย์ไปด้วย เรียกว่า SV.PILOT (SV ย่อมาจาก supervisor)

SV.PILOT จะมีหัวหน้าหกท่าน ทั้งหกท่านนี้จะทำหน้าที่พิจารณาดูว่านักบินคนใดมีชั่วโมงบินและมีฝีมือพอที่จะเลื่อนขั้น จากนักบินที่สามเป็นนัก
บินที่สอง และนักบินที่หนึ่ง ตามลำดับ

เมื่อเลือกนักบินที่สมควรจะเลื่อนขั้นได้แล้ว จะมาถึงขั้นตอนประเมินผลว่านักบินคนนั้นๆสมควรได้รับการเลื่อนขั้นหรือไม่ เรียกว่า การ
EVALUATE

SV.PILOT จะบินตามดูนักบินคนนั้นๆอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วประกาศออกมาว่าใครผ่าน ใครไม่ผ่าน ด้วยการลงมติกัน ทั้งหกท่านต้องเห็น
พ้องต้องกันว่าให้ผ่าน หากมีเพียงเสียงเดียวค้านขึ้นมา คือการไม่ปล่อยผ่าน

หากผ่าน จะได้เข้าไปรับการเทรนนิ่ง หรือการฝึกต่อไป

ขั้นตอนนี้จะควบคุมโดยหัวหน้านักบินทั้งหก บินสอนด้วย ประเมินผลด้วย

หากเทรนนิ่งไม่ผ่าน จะไม่ได้รับการเลื่อนขั้นน

แต่ละขั้นตอนกินเวลานานหลายเดือน โดยเฉพาะการเทรนกัปตันจะเป็นช่วงระยะเวลาที่นักบินทุกคนเครีย
ดมาก ต้องอ่านหนังสือ ต้องทำการบ้านก่อนบินให้ดี เพราะหากเทรนผ่าน ได้เป็นกัปตัน หมายถึงได้รับ
การยอมรับในฝีมือว่าสามารถคุมเครื่องได้เป็นเลิศ เมื่อมีปัญหาจะต้องตัดสินใจได้เฉียบพลันคนเดียวทุกสถ
านะการณ์

กัปตันทั้งหลายจึงมักจะเชื่อมั่นในตัวเองและบางคน(ขอย้ำว่าบางคนเท่านั้น)บ้าอำนาจ เพราะการได้เป็น
นักบินที่หนึ่งหรือเป็นกัปตันจะได้ทั้งเงินเพิ่มขึ้นอีกมาก ได้ค่าตำแหน่งสูง ได้ค่าชั่วโมงบินมากกว่าลูกเรือคน
อื่นๆ ได้ทั้งสวัสดิการเหนือพนักงานทั่วไป

เรียกว่าได้เทียบเท่าระดับผู้บริหารของบริษัท นักบินทั้งหลายจึงต้องมีความตั้งใจจริง ขยันไปบิน ขยันอ่าน
ตำรา รวมทั้งวางตัวดีต่อหน้าผู้ใหญ่ด้วย

พี่หนิงจึงเรียบร้อย สุภาพเยือกเย็น ดูเป็นผู้ชายอบอุ่นน่ารัก

นั่นคือบุคลิกที่พี่หนิงผู้ชาญฉลาดสร้างไว้ตบตาผู้ใหญ่ เมื่อถึงเวลาพี่หนิงได้เป็นกัปตัน พี่หนิงจึงป็นกัปตันคน
หนึ่งที่ลูกเรือไม่ชอบหน้า ซึ่งจะเล่าในภายหลังด้

วันนันพี่หนิงกระทบกระเทียบเรื่องพี่อินมากมาย บอกว่าพี่อินปากไม่ดี ชอบเถียง SV. ฉันเข้าใจว่าน่าจะ
เพราะพี่อินเป็นนักเรียนนอก เรียนหนังสือที่อเมริกาตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ พี่อินจึงมีความเชื่อมั่นในตัวเอง
สูง ที่พี่อินเข้ามาเป็นนักบินได้เพราะพี่อินเก่งมาก หากพออยู่ไปอยู่มา นักบินส่วนใหญ่ที่เป็นทหาร(เช่นพี่
หนิง)จะไม่ชอบนิสัยตรงไปตรงมาของพี่อิน พี่อินจึงไม่ผ่านการ EVALUTE ต้องรอครั้งใหม่ต่อไป ไม่ทราบ
ว่านานอีกเท่าใดที่จะได้รับการพิจารณาใหม่

พี่หนิงทิ้งท้ายบทสนทนาในวันนั้นไว้ว่า

"คอยดูสิ พี่จะเป็นกัปตันก่อนมัน รินคิดไม่ผิดหรอกที่แต่งงานกับพี่ อีกหน่อยก็นั่งเฟิร์สคลาสเป็นคุณนาย ชี้นิ้ว
ใช้เพื่อนแอร์"

วันที่ฉัน "ได้นั่งเครื่องบินเป็นคุณนาย"อย่างที่พี่หนิงบอกมาถึงจริง พร้อมกับความขมขื่นใหญ่หลวงของฉัน

เมื่อมีน้องรุ้งเป็นแก้วตาดวงใจ ประกอบกับพี่หนิงทำตัวดีแสนดี ทำให้ฉันเลิกระแวงพี่หนิง เมื่อน้องรุ้งโต
ขึ้นเรื่อยๆฉันเริ่มเก็บเงินได้มากขึ้น ฉันจึงคิดอยากมีบ้านของตัวเอง

"พี่หนิง รินอยากมีบ้าน รินว่าเราอยู่แบบนี้มันยังไงไม่รู้ ต่างคนต่างบิน ต่างคนต่างอยู่ ลูกโตขึ้นทุกวัน ริน
อยากให้ลูกเห็นพ่อแม่อยู่บ้านเดียวกันเสียที นะคะพี่หนิง"

พี่หนิงโดนฉันตื๊อเรื่องบ้านบ่อยเข้า เขาเลยมาบอกฉันว่าคุณแม่เขาให้ปลูกบ้านในบริเวณบ้านเขาเอง แล้ว
คุณแม่จะจัดการแบ่งที่ให้ทีหลัง ให้เราปลูกบ้านไปก่อนเลย

ฉันดีใจมากที่จะมีบ้านของตัวเอง ลืมนึกไปเลยว่าตามกฎหมายแล้ว บ้านปลูกอยู่บนที่ดินของใครย่อมเป็นขอ
งเจ้าของที่ดิน

เรื่องบ้านนี่ฉันโง่อีกแล้วว

พี่หนิงให้เพื่อนเขาที่เป็นสถาปนิกออกแบบบ้านโดยไม่ถามความต้องการของฉันสักเท่าไหร่ ถามเหมือนกัน
แต่สุดท้าย การตัดสินใจเป็นของเขา บางทีฉันโมโหเหมือนกัน ฉันอยากได้อย่าง ออกมาอีกอย่าง

เงินค่าปลูกบ้าน พี่หนิงจะไปกู้สหกรณ์ออมทรัพย์ของบริษัทแต่คุณแม่พี่หนิงบอกให้พี่หนิงมายืมจากคุณแม่ฉัน
เธออ้างว่าระยะนั้นเธอไม่มีเงินสดพอให้เราปลูกบ้าน พ่อแม่ฉันที่แสนจะรักลูกจึงให้ยืมเงินปลูกบ้านที่ค่าก่อ
สร้างบานปลายมาก พี่หนิงเพิ่มตรงนั้น เติมตรงนี้จนสถาปนิกที่ออกแบบบ้านบอกฉันว่าอย่าบอกใครว่าเขาเ
ป็นคนออกแบบ เนื่องจากพี่หนิงกับผู้รับเหมาก่อสร้างเปลี่ยนแบบของเขาเสียเกือบหมด

มาถึงการตกแต่งภายใน ฉันอยากได้แบบโมเดิร์น แต่ต้องปล่อยตามใจพี่หนิงอีก พี่หนิงอยากได้แบบอะไร
ไม่ทราบ ฉันเรียกไม่ถูก โดยพี่หน่อย พี่สาวของพี่หนิงแนะนำคนทำมาให้ เป็นช่างไม้ประเภท BUILT IN
ที่บิ๊ว บิ๊ว บิ๊ว ทั้งบ้านเต็มไปด้วยไม้ ซึ่งพี่หนิงปลื้มมาก บอกใครๆว่าเป็นไม้สักเชียวนะนั่น ฉันไม่ชอบ
หลายๆอย่างในบ้าน แต่ด้วยความที่รักพี่หนิง ไม่อยากมีเรื่อง จึงปล่อยไป ไม่บ่นไม่ว่าอะไร ยังไงฉันก็มี
บ้านแล้ว

เงินไม่พอ ยืมคุณพ่อคุณแม่ฉันตามเคย ท่านทั้งสองไม่ได้ร่ำรวยมากมาย หากรักลูก รักหลาน ยอมให้ยืม
เงินถึงห้าล้านบาท เป็นเงินเก็บเกือบทั้งหมดที่ท่านมี

คุณแม่ฉันเป็นลูกสาวนักประพันธ์ชื่อดังมากในยุคที่ฉันเป็นเด็ก ฉันจำคุณตาได้ไม่มากนัก เนื่องจากท่านเสีย
ชีวิตไปตอนที่ฉันยังเด็กมาก ส่วนคุณยายยิ่งแล้วใหญ่ ฉันเคยเห็นแต่รูป เพราะท่านเสียชีวิตตั้งแต่คุณแม่ฉันอ
ายุเพียงเก้าขวบ

คุณตาทิ้งมรดกไว้ให้คุณแม่กับคุณลุงฉันคือลิขสิทธิ์บทประพันธ์ของท่านที่แม้แต่ปัจจุบันยังมีการตีพิมพ์อยู่บ้าง
หากไม่เป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่เท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม บทประพันธ์ของคุณตาฉันได้รับการยกย่องให้เป็น
หนึ่งในหนังสือร้อยเรื่องที่คนไทยควรอ่าน

ปัจจุบัน คุณแม่ฉันเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพียงผู้เดียวเพราะคุณลุง พี่ชายคุณแม่เสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคเดียวกั
บคุณตา คือโรคเบาหวาน

คุณแม่จึงพอมีเงินให้ฉันและพี่หนิงยืม ต่อมาภายหลัง เมื่อฉันทะเลาะกับพี่หนิงและทวงเงินแทนคุณแม่ พี่หนิง
จะบอกว่าา

"ไม่รู้ทั้งนั้น ให้มาเอง ช่วยไม่ได้" พาลมั้ยล่ะง

.............แค้นชะมัดเลย...........

เราย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่ตอนที่น้องรุ้งอายุสองขวบ ฉันเพลิดเพลินกับการซื้อของจากต่างประเทศมาแต่ง
บ้าน พี่หนิงมาบอกข่าวดีเรื่องได้รับการEVALUATE เป็นกัปตัน

ช่วงนั้นฉันได้เจอพี่อร ภรรยาเก่าพี่หนิงที่มาหาฉันถึงบ้าน เธอเป็นคนน่ารักทีเดียว เธอถามฉันว่าอยู่กับพี่
หนิงเป็นอย่างไร ฉันบอกเธอว่าโดยรวมจัดว่าดี สุดท้ายพี่อรออกปากฝากน้องหนอนไว้กับฉันชั่วคราว
เนื่องจากเธอจะแต่งงานใหม่กับพ่อม่ายชาวสวิส เธอบอกฉันว่าจะย้ายไปอยู่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์กับสา
มีใหม่ และจะมารับน้องหนอนไปอยู่ด้วยเมื่อจัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางแล้ว

ฉันบอกพี่อรว่าไม่ต้องห่วง ฉันจะดูแลน้องหนอนให้อย่างดี
พี่อรขอบอกขอบใจ แต่ไม่วายมองฉันอย่างสำรวจด้วยสายตาแปลกๆที่ฉันมาเข้าใจความหมายในตอนหลังอี
กตามเคย

เอกลักษณ์ของฉันคือ เก่งแต่ตำราเรียน โง่เรื่องชีวิต รู้อะไรทีหลังคนอื่น แม้แต่เรื่องของพี่หนิง สามีฉัน
เอง

ตอนนั้น้องหนอนอายุหกขวบ กำลังจะต้องเข้าเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่งซึ่งต้องย้ายโรงเรียนเพราะโรงเรียน
ที่น้องหนอนเรียนอยู่ตอนนั้นเป็นแค่โรงเรียนอนุบาลใกล้บ้าน ไม่มีชั้นประถม้อง

ฉันพาน้องหนอนไปเข้าโรงเรียนหญิงล้วนที่ฉันเคยเรียน น้องหนอนได้เข้าเรียนโดยไม่ต้องสอบ เพราะ
เด็กอื่นสอบกันไปหมดแล้ว แต่ด้วยความกรุณาของอาจารย์ใหญ่ที่เคยสอนฉันมาและเมตตาฉันเป็นพิเศษ
น้องหนอนจึงได้ไปเรียนในโรงเรียนเดิมที่ฉันเคยเรียน

วันไหนว่าง ฉันจะไปรับไปส่งน้องหนอนที่โรงเรียน พาน้องรุ้งไปด้วย ฉันดูแลน้องหนอนอย่างดี โดยพี่อร
ไม่ติดต่อมาพักใหญ่ หลายเดือนมากรุณา

เมื่อเธอติดต่อมาภายหลัง เธอขอคุยโทรศัพท์กับน้องหนอน แต่เธอไม่เคยมารับน้องหนอนไปอยู่ด้วยเลย

พี่หนิงผ่านการ evaluate และเข้าเทรนกัปตันด้วยการลุ้นของฉันและครอบครัวเขา

วันหนึ่งฉันไปบินฮ่องกง แบบที่เรียกว่า quickturn คือไปถึงฮ่องกง พอผู้โดยสารลงจะมีพนักงานขึ้นมาท
ำความสะอาด เปลี่ยน อาหารและเครื่องใช้ในการบริการ เรียกรวมๆว่าเปลี่ยน catering

ลูกเรือเตรียมงานรับผู้โดยสารใหม่โดยไม่มีการลงจากเครื่อง บินกลับกรุงเทพเลยร

ไฟลท์นั้นเองที่ฉันเจอลูกไก่ และได้รู้เรื่องของพี่หนิงกับเชอร์รี่

ลูกไก่ทำหน้าตาเฉยมาเล่าให้ฉันฟังว่าพี่หนิงกับเชอร์รี่มีอะไรๆกันมานานแล้ว

"ใครๆเค้ารู้กันทั้งนั้น พี่รินยังไม่รู้ เป็นไปได้ไง" ลูกไก่ทำเสียงสูงแบบประหลาดใจสุดๆ

"พี่รินดีเกิน พี่หนิงได้ใจแย่ พี่รินต้องร้ายมั่ง ถ้าเป็นลูกไก่นะ ยัยรี่นั่นไม่ได้ผุดได้เกิดชัวร์"

ลูกไก่บ่นปนเล่าให้ฉันฟังว่าพี่หนิงกับเชอร์รี่บินด้วยกันบ่อย มาก (คงเหมือนกับที่ครั้งหนึ่ง พี่หนิงกับเธอตาม
กันไปตามกันมาจนเลิกรากันไป)

"พี่รินมัวไปบินยุโรปนานๆ มัวเลี้ยงลูก ระวังนะคะ พี่หนิงเค้าไม่ธรรมดา ลูกไก่โชคดีมั่กๆที่มีแฟนใหม่ซะไ
ด้ ค่อยโล่งอกหน่อย ไม่งั้นพี่หนิงตื๊ออยู่นั่นแหละ"

ดูเธอพูดเข้า ไม่สนใจเลยว่าฉันผู้เป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหมายของพี่หนิงจะคิดอย่างไร

ฉันกลับจากไฟลท์นั้นด้วยความรุ่มร้อนใจ พี่หนิงนะพี่หนิง เสียแรงที่รินทั้งรักทั้งไว้ใจ แต่แล้วก็ปลอบตัวเอง
ว่าพี่หนิงคงสนุกไปตามประสาผู้ชาย

หารู้ตัวไม่ว่ากำลังเผชิญศึกใหญ่ ใหญ่หลวงเหลือเกิน่

ศึกที่ฉันยอมแพ้อย่างบอบช้ำที่สุดในชีวิต
ชีวิตรันทด...เรื่องจริงผ่านคอมพ์...ตอนที่เจ็ด
ระหว่างทางกลับบ้าน ใจฉันวูบแล้ววูบอีก หายแล้วหายอีก เกิดอาการเจ็บร้าวที่หัวใจเหมือนครั้งที่รู้เรื่อง
ลูกไก่ ครั้งนั้นฉันยังไม่มีลูกที่ต้องห่วงใย มาคราวนี้ ฉันน้ำตาตกใน ลูกรุ้งกำลังน่ารักเหลือหลาย ทำไมพี่
หนิงทำเราสองคนได้ลง

สมองสั่งงานให้เข้มแข็ง แต่หัวใจซึ่งเป็นกล้ามเนื้ออย่างเดียวที่สมองสั่งงานไม่ได้บอกให้ฉันเจ็บ เจ็บหยั่ง
รากลึก และยิ่งลึกลงไปอีกเมื่อได้คุยกับพี่หนิง

คราวนี้พี่หนิงไม่ยอมรับ แต่กลับบอกว่า

"รินเอาอะไรมาพูด ลูกไก่มันแค้นที่พี่ไม่เอามันจริง มันเลยแต่งเรื่องมาเป่าหูริน อย่าไปเต้นตามมันสิ"

"แล้วพี่หนิงเจอเชอร์รี่บ่อยอย่างที่เค้าบอกหรือเปล่าล่ะ"

พี่หนิงทำท่าโมโหขึ้นมา

"รินอย่ามาซักไซร้ พี่บอกว่าไม่มีอะไรก็เชื่อกันมั่งสิ นี่พี่กำลังเทรนกัปตันแล้วนะ รินน่าจะให้กำลังใจผัว
ไม่ใช่มาต้อนไปต้อนมาให้จน พี่ไปอ่านตำราดีกว่า เดี๋ยวโดนด่าอีก คราวที่แล้วกัปตันศักดิ์ศรีด่าใน
cockpit เลยว่า โธ่เอ๊ย อ้ายหนิง กรูนึกว่าเมิงจะเจ๋ง ที่แท้ก็ห่วย shipหาย..แบบนี้รินเข้าใจมั้ยว่าพี่
กำลังกดดัน พี่ไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นหรอก นอกจากเรื่องเทรนกัปตันเนี่ย..."

พี่หนิงทำเป็นดุ แสร้งโมโห เพื่อให้ฉันเงียบ

ฉันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งที่พี่หนิงพูด พยายามหันเหความสนใจจากเรื่องยัยเชอร์รี่ที่ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าตา
เข้าไปอาบน้ำ พอออกมาจากห้องน้ำ พี่หนิงหายไปแล้ว๋ยว

"หมี คุณหนิงไปไหน บอกไว้หรือเปล่า"

ฉันถามเด็กทำงานบ้านที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับน้อย แม่บ้านของคุณแม่ฉันองยัยเช

"ไม่ได้บอกค่ะ"

"งั้นหมีเดินไปดูที่บ้านคุณแม่หน่อยนะ ถามคุณหนิงทีว่ากลางวันจะทานอะไร"

แม้จะยังไม่หายข้องใจ ฉันยังห่วงใยพี่หนิงเสมอ ใกล้เที่ยงแล้วด้วย พี่หนิงคงเดินไปบ้านคุณแม่เขาละมัง
คงโมโห เดี๋ยวกลับมาเองแหละา

ฉันเข้าข้างตัวเองแบบนั้น หมีกลับมาบอกว่าพี่หนิงไม่ได้ไปที่บ้านคุณแม่ ฉันฉุกใจคิดว่าระยะหลังๆนี้พี่หนิงแท
บไม่อยู่บ้านเลย ขนาดวันหยุดตรงกัน เขายังมีเรื่องออกจากบ้านตลอด ไปติวกับเพื่อนที่เทรนบ้าง ไปตี
เทนนิสบ้าง ไปกินข้าวกับเพื่อนคนนั้นคนนี้ โดยไม่เคยชวนฉันไปด้วย ฉันเองติดลูก ปล่อยให้พี่หนิงไปตาม
สบายำ

ฉันนึกทบทวน เริ่มฉลาดขึ้นนิดนึง ตัดสินใจเรียกนวลมาถามว่าพี่หนิงอยู่บ้านมากน้อยแค่ไหน นวลเป็นคนซื่อ
เลยบอกฉันหมดว่าพี่หนิงแทบไม่อยู่บ้านเลย ไม่ค่อยเล่นกับลูกด้วย น้องรุ้งวิ่งตามพ่อไปที่รถบ่อยๆเวลาพี่หนิ
งจะออกจากบ้าน แต่พี่หนิงบอกลูกว่าพ่อมีธุระ เดี๋ยวกลับ ขนาดน้องรุ้งร้องตาม เขายังไม่หันมาโอ๋ม

ฉันได้ข้อมูลจากนวล ดูนาฬิกา ใกล้จะได้เวลาต้องออกไปรับน้องหนอน ฉันเคยบอกแล้วว่า วันที่ฉันว่าง
จากการไปบิน ฉันจะไปรับส่งน้องหนอนที่โรงเรียน พอดีกับเสียงโทรศัพท์ดัง
เป็นโทรศัพท์จากคุณครูประจำชั้นของน้องหนอน โทร.มาบอกให้ฉันไปที่โรงเรียนด่วน เพราะน้องหนอน
อาละวาดตบตีเพื่อน

เด็กหกขวบนี่นะ อาละวาดตบตีเพื่อน ฉันรีบไปที่โรงเรียน ให้น้องรุ้งอยู่บ้านกับนวล คุณครูเล่าว่าน้อง
หนอนทำตัวเหมือนมาเฟียคุมห้องเรียน เพื่อนทุกคนต้องยอมเธอ แต่น้องจ๋ากับน้องแววไม่ยอม เลยเกิด
การทะเลาะกันบ่อยๆ วันนั้น น้องหนอนกระโดดเข้าดึงผมเปียคู่ของน้องจ๋าจนหน้าหงาย แล้วตบหน้าน้อง
จ๋าหลายครัง พอน้องแววเข้ามาช่วย เลยโดนไปด้วยด

ฉันเห็นหน้าน้องจ๋าและน้องแววแล้วสะท้อนใจ นี่น้องหนอนทำลงไปได้อย่างไรกัน น้องจ๋ามีรอยแดงมากที่
แก้มทั้งสองข้าง ผมเปียหลุดหล่ย มีผมสองสามกระจุกตกอยู่ที่พื้น ส่วนน้องแววมีรอยแดงที่แก้มเช่นกัน

"น้องหนอน บอกอารินหน่อยว่าหนูทำเพื่อนแบบนี้ได้ไงคะ"

ฉันเริ่มสอบสวนน้องหนอน ด้วยความที่ฉันค่อนข้างใจเย็นจึงยังไม่โวยวายเอากับเธอ

"ทำแค่นี้ยังน้อยไปนะอาริน มันกวนติง eสองคนนี่มันเลว หนอนจะทำอีก ไม่ยอมแค่นี้หรอก"

ประโยคต่อมาของน้องหนอนทำเอาฉันและคุณครูอึ้งไปตามๆกัน

"ทีพ่อยังตบแม่แรงกว่านี้อีก ไม่เห็นจะเป็นไร"

น้องหนอนเอาอะไรมาพูด พ่อตบแม่ หมายถึงพี่หนิงตบพี่อรน่ะหรือ ไม่น่าเป็นไปได้นี่นาก

"อารินรู้มั้ย พ่อเคยเอาขวดน้ำปลาตีหัวแม่ด้วย"

ฉันยังไม่หายตกใจจากคำบอกเล่าของน้องหนอน คุณแม่ของน้องจ๋าและน้องแววมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกันพอ
ดี

วันนั้นเป็นวันที่วุ่นวายมากวันหนึ่ง คุณแม่ของเด็กทั้งสองโกรธมากที่เห็นลูกถูกทำร้ายร่างกาย โวยวายจะ
ให้ไล่น้องหนอนออกจากโรงเรียน อาจารย์ใหญ่ต้องมาไกล่เกลี่ยและให้น้องหนอนขอโทษเพื่อน พร้อมกับ
สัญญาว่าจะไม่ทำอีกนนั้

อาจารย์ใหญ่กำชับฉันให้ดูแลน้องหนอนดีๆ เพราะน้องหนอนชื่อดังมากในทางลบไปเสียแทบทุกเรื่อง

คุณครูประจำชั้นบอกฉันว่าน้องหนอนดื้อมาก นึกอยากทำอะไรก็ทำ ฉันต้องขอโทษแทน แก้ตัวแทน พร้อม
สัญญาว่าจะสั่งสอนน้องหนอนให้มากขึ้น

ฉันพาน้องหนอนกลับบ้านด้วยความอ่อนเพลียละเหี่ยใจ นี่ราหูเข้าฉันหรือไร เหตุการณ์ในวันเดียวมันจึงชุ
ลมุนอย่างนั้น น้องหนอนหลับหรือแกล้งหลับไม่ทราบตลอดทางกลับบ้าน

ต่อมาภายหลัง ฉันจึงได้รู้เหตุผลที่พี่อรทิ้งน้องหนอนไว้กับฉัน เธอสารภาพหลังจากนั้นอีกนานว่าน้องหนอนนิ
สัยเหมือนคนบ้านพี่หนิงมากจนเธอทนไม่ไหว เธอสั่งสอนลูกตัวเองไม่ได้ เลยเอามาฝากฉัน เพราะ"พี่ทน
อยู่กับหนอนไม่ได้ มันเหมือนหนิงเกินไป"

ตอนที่พี่อรคุยกับฉันเรื่องน้องหนอนนั้นเป็นเวลาที่ฉันรู้ซึ้งแล้วว่าทั้งพี่หนิงทั้งน้องหนอนเป็นคนแบบไหน ฉันต่อ
ว่าพี่อรเรื่องไม่เตือนฉันเลย พี่อรย้อนว่าถ้าเตือนแล้วฉันจะเชื่อหรือ ที่พี่อรเลิกกับพี่หนิงก็เพราะเรื่องเจ้า
ชู้ มักมากในกามคุณ และยังทำร้ายร่างกายพี่อร คุณแม่พี่หนิงให้เงินพี่อรสามล้านบาท แลกกับการปิดปาก
ไม่พูดมากไปให้เจ้านายพี่หนิงรู้เรื่อง ไม่อย่างนั้น พี่หนิงจะไม่ก้าวหน้าในอาชีพการงาน อาจโดนดองไม่
ได้เป็นกัปตันไปจนเกษียณ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนบ้านเขารับไม่ได้ เฮอะ แต่ตบตีเมีย กลับรับได้

ฉันไม่เข้าใจพี่อรนักหรอก ว่าทำไมเธอเลือกที่จะเอาเงินมากกว่าบอกใครๆเรื่องพี่หนิง เธอคุยกับฉัน
มากมายเรื่องพี่หนิง และบอกว่าสงสารฉันน

"รินนี่ซื่อมากเลยนะ ตอนนี้หนิงเค้าทำดีกับรินเพราะเกรงใจคุณพ่อคุณแม่ริน กับกลัวไม่ได้เป็นกัปตัน ลอง
ได้เป็นกัปตันสิ ลายออกหมดแน่ รินคอยดูเหอะ รินต้องใจเย็นมากๆนะ ยังไงๆเห็นแก่ลูกเรา...บ
ลาๆๆๆ"

พี่อรเธอพูดเก่งมาก พูดไม่หยุดจนฉันชักฉงนว่าทำไมพี่อรบอกให้ฉันใจเย็นเห็นแก่ลูก แต่ตัวเธอเองกลับไม่
เห็นแก่น้องหนอน แถมยังเอาน้องหนอนมาทิ้งไว้ให้ฉันเลี้ยงอีก


ถึงบ้าน พี่หนิงยังไม่กลับ ฉันอุ้มน้องหนอนที่ยัง(ทำเป็น)หลับอยู่ลงจากรถ พาขึ้นไปนอน ด้วยจิตใจหดหู่
เริ่มเศร้ากับพฤติกรรมน้องหนอนที่ ฉันจะทำอย่างไรดี พี่หนิงยังไม่กลับๆ

ฉันทำกิจวัตรประจำวันไปตามความเคยชินมากกว่า วันนั้นฉันรู้สึกเหมือนวิญญาณถูกดูดออกจากร่าง ฝืนยิ้ม
แย้มกับลูกรุ้งไปตามแกน ในหัวพี่แต่เรื่องพี่หนิง เชอร์รี่ น้องหนอน รวมทั้งย้อนคิดไปถึงผู้หญิงอีกหลายๆคน
ของพี่หนิง คิดถึงคำพูดพี่อร วกไปวนมาจนฉันปวดศีรษะไปหมด ตลอดเย็นจนดึกวันนั้น ฉันทานพาราไปสี่
เม็ด โดยทั้งวันไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย

พี่หนิงกลับถึงบ้าน เวลาตีสี่ ฉันตื่นแล้ว เพราะต้องไปบินไฟลท์เช้ามาก ต้องถึงห้อง BRIEF หกโมง
ครึ่งย้ม

"พี่หนิงไปไหนมา เรื่องเยอะเลยเมื่อวานน่ะ รู้มั่งมั้ยว่าอะไรเกิดขึ้นมั่ง ไปไหนไม่บอก ตามตัวไม่ได้
แพ็คลิ้งก์ก็ไม่เอาไป พี่หนิงจะเอายังไงกะรินคะ จะต้องทนไปถึงไหน"

"โวร้ยยยยยย รินบ้าอะไรขึ้นมาอีก พี่ไปเทรน มี school flight ด้วย แกดุจะตาย ha แล้วกลับมา
เจอเมียแว้ดๆอีก มีอะไรบอกมาดีๆ คนมันเครียดรู้ซะมั่ง"

พี่หนิงเอานิ้วมาจิ้มแรงๆที่ขมับขวาของฉัน จนฉันสะดุ้งเฮือก

"ไว้รินกลับมาค่อยพูดกัน รินต้องไปทำงานละ"

ฉันจนใจที่จะต่อบทสนทนากับพี่หนิง พี่หนิงบอกว่าไป school flight คือการเทรนกัปตันแบบฝึกบิน
โดยไม่มีผู้โดยสาร ต้องรอเครื่องบินว่าง จึงจะฝึกบินได้ กว่าเครื่องบินทุกลำจะว่างให้ใช้ได้ มักจะเป็น
เวลาดึกมาก เนื่องจากเครื่องบินทุกลำจะถูกใช้งานแทบตลอดเวลา

ดังนั้น การไป school flight จึงมักเป็นเวลาดึกๆที่เครื่องจอดว่างอยู่เพื่อใช้งานในไฟลท์เช้าต่อไป

การไปฝึกกับเครื่องเปล่าแบบนี้ ครูฝึกจะสอนการบังคับเครื่องขึ้นลง และการ แท็กซี่ คือ หลังจากบังคับ
เครื่องลงบนรันเวย์แล้ว จะต้องบังคับเครื่องยนต์ให้เบาลง และค่อยๆขับไปยังที่จอด เรียกว่า เครื่อง
กำลัง แท็กซี่

จะบินขึ้นบินลงอยู่แบบนั้นหลายครั้ง หลายคืน จนกว่าจะเป็นที่พอใจของครูฝึก ขั้นตอนต่อไปคือนั่งทำหน้า
ที่เป็นกัปตันตัวจริงในไฟลท์จริง โดยมีครูฝึกหรือ SV. นั่งเป็น co-pilot ให้ ฝึกกันต่อไปจนกว่าจะเป็น
ที่พอใจของ SV. ทั้งหกว่าจะให้ผ่านหรือไม่ผ่านด

วันนั้นฉันไปบินด้วยหัวใจที่รวดร้าว แต่ในเมื่ออาจารยสดใสเคยสอนว่า the show must go on นั่นคือ
ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาวะใด หน้าที่คือหน้าที่ จะเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงานไม่ได้

เวลาทำงาน ฉันจะลืมเรื่องส่วนตัวได้เยอะ มัวแต่ห่วงผู้โดยสารแทน ฉันปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้มได้ทันทีที่เริ่ม
ทำงาน

แอร์หลายคนที่หน้าตาบูดบึ้งมาจากบ้าน บ่นกับเพื่อนร่วมงานว่ามีปัญหาส่วนตัวสารพัด พออยู่บนเครื่องและ
เพอร์เซอร์ประกาศว่าผู้โดยสารกำลังมาเท่านั้นแหละ สีหน้าจะเปลี่ยนได้ทันควัน แม้แววตาจะยังไม่ค่อย
เปลี่ยนอย่างที่เรียกว่า "ปากยิ้ม ตาไม่ยิ้ม"

บางคนยังทำหน้าหงิกงอ จะมีเพื่อนร่วมงานเอานิ้วไปจี้มเหนือเอวด้านหลังพร้อมกับบอกด้วยเสียงมันส์ๆว่า

"อ้ะๆ เสียบปลั๊กๆ บาร์บี้ทั้งหลาย ยิ้ม ยิ้มเร้วววว"

ไม่ใช่ว่าพวกเราเสแสร้งแสดงละครเลย ส่วนใหญ่เต็มใจและตั้งใจทำงาน การที่จะมีเรื่องส่วนตัวมากวน
ใจคงมีด้วยกันในทุกปุถุชน

ไฟลท์นั้นฉันบินกับหนุ่ยและพี่ปิ๋มที่เคยไปนูเมียด้วยกัน พี่ปิ๋มคนที่โดนเพื่อนแอร์แย่งสามี ผ่านมาเกือบสามปี
พี่ปิ๋มยังสวยเหมือนเดิม ฉันเคยได้ข่าวแว่วมาก่อนพบเธอว่าพี่ปิ๋มกำลังมีรักครั้งใหม่กับกัปตันท่านหนึ่งที่มีครอ
บครัวแล้ว ฉันยังไม่ค่อยเชื่อกับข่าวนั้นเลย พี่ปิ๋มเคยโดนแย่งสามี แล้วเธอจะไปแย่งสามีคนอื่นทำไมเล่า

พี่ปิ๋ม ฉัน และหนุ่ยกรี๊ดกร๊าดทักกันอย่างดีใจ เราสามคนไม่ได้บินด้วยกันนานมากแล้ว มาคราวนี้ไปนา
โกย่า อยู่ตั้งสามวัน คงสนุกน่าดู ฉันค่อยคลายเรื่องทุกข์ใจไปหน่อย

ไฟลท์นั้นมีแอร์เฟิร์สคลาสสองคนคือพี่ปิ๋มและฉัน พี่ปิ๋มอาวุโสมากกว่าจึงทำงานเฟิร์สคลาส ส่วนฉันทำงาน
ชั้นธุรกิจข้างล่าง มีแอร์รุ่นน้องอีกคนหนึ่งทำงานชั้นธุรกิจข้างบน

เครื่องที่ฉันไปบินวันนั้นคือเครื่องแบบโบอิ้ง747-200 ตอนที่บริษัทซื้อเครื่องแบบนี้มาใช้ใหม่ๆพวกเราจะเรี
ยกกันว่า เครื่องหัวโตบ้าง จัมโบ้บ้าง เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นเครื่องบินมีสองชั้น

ด้านหัวเครื่อง ทางเข้าผู้โดยสารเฟิร์สคลาสจะมีบันไดขึ้นไปชั้นบนที่เป็นห้องนักบินและที่นั่งผู้โดยสารชั้นธุร
กิจ มีอยู่เพียง 16 ที่นั่ง ลูกเรือที่ทำงานบนนั้นจะมีหน้าที่ดูแลนักบินด้วย

หลายครั้งที่เพอร์เซอร์ได้รับการขอร้องจากแอร์หรือสจ๊วตบางคนว่าอย่าปล่อยเขาหรือเธอขึ้นไปทำงานบน
นั้น สาเหตุเพราะไม่ชอบหน้านักบิน เเบบนี้เพอร์เซอร์มักจะเห็นใจ เปลี่ยนเอาคนที่ทนไหวขึ้นไปแทน มี
การเปลี่ยนกลางอากาศบ้างด้วยซ้ำไป คือทำงานไปแล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พอใจกัน จะมีการเปลี่ยนตัวกัน
ขึ้นไปแทน เปลี่ยนแต่ลูกเรือนั่นแหละ นักบินเปลี่ยนไม่ได้ มีอย่างไรลูกเรือต้องพยายามพอใจอย่างนั้น

ฉันว่าที่มาของสำนวน "ถูกเปลี่ยนในอากาศ"หรือ "ถูกย้ายกลางอากาศ" ที่ใช้กันทั่วอาจจะมาจากเรื่องข
องพวกเราก็เป็นได้

ที่นาโกยานั่นเอง ที่เรื่องราวของพี่หนิงกับเชอร์รี่ถูกไขออกมาโดยเพื่อนรักของฉันที่อดทนปิดปากมานา
น(มาก)เพราะเห็นแก่เพื่อนแต่แล้วทนไม่ไหวเสียเอง
วันนั้นผู้โดยสารค่อนข้างน้อยผิดกับไฟลท์ญี่ปุ่นทั่วไป หากเป็นไฟลท์ไปโตเกียวหรือโอซาก้า ผู้โดยสารจะเต็มแน่น ถึงกับบางวันต้องมีหลายไฟลท์

ผู้โดยสารน้อย ทำให้มีเวลาว่างมาก หนุ่ยทำงานคู่กับฉัน หนุ่ยทำงานเนี้ยบและเร็ว หากแอร์คนไหนได้จับคู่กับหนุ่ยเรียกว่าสบายไปหลายร้อยอย่าง หนุ่ยจะแย่งงานแอร์ทำหมด จนวันนั้นฉันต้องถามหนุ่ยว่า

"หนุ่ย เธอจะไฮเปอร์อะไรขนาดนี้ รินเหนื่อยวุ้ย ทำงานไม่ทันทศกัณฐ์หนุ่ยเล้ยยย"

"บร้า ยัยริน มาว่าชั้นเป็นทศกัณฐ์ ชั้นมันนางสีดาตาหากล่ะยะ เออ แต่ชั้นชอบรามเกียรติ์นะ ที่อ่านๆวรรณคดีมา ชั้นเห็นพระรามเนี่ยแหละรักเดียวใจเดียว ไม่โรเนียวหลายร้อยก๊อปปี้ ..เหมือนบางคน เชอะ ยัยรินเอ๊ยยย ทำหน้าระรื่นอยู่ได้ไงเนี้ยะ ผัวมีเมียน้อยตัวเป็นๆอยู่ใกล้ๆ ยังเช้ยย เฉยยย อยู่ด้ายย"

หนุ่ยพูดพร้อมกวัดแกว่งมือจนฉันต้องหลบ กลัวมือเธอจะมาโดนตัวฉันเข้าแรงๆคงเจ็บแย่ ถึงหนุ่ยจะเป็นผู้ชายนะยะ เรี่ยวแรงที่มีมันก็เท่าเทียมกับผู้ชายปกตินี่เอง

"ว่าไงนะหนุ่ย เมียน้อยอะไรอีก"

ฉันถามทั้งที่ใจเต้นตุบตับ ตึกตัก จนกลัวหนุ่ยจะได้ยิน

หนุ่ยค้อนขวับ

"เอ๊า คุณหนูริน นี่โง่จริงหรือแกล้งโง่ เธอยังไม่รู้เรื่องยัยผลไม้ใส่ค้อกเทลนั่นอีกเหรอยะ "

"รินรู้มามั่งแหละ แต่พี่หนิงเค้าบอกว่าไม่มีอะไร พอดีรินยุ่งๆหลายเรื่อง รินเลยเอาไว้ก่อน แต่หนุ่ยรู้อะไรก็บอกรินมั่งดินะ"

คราวนี้หนุ่ยทำหน้าเคร่งขรึม เอื้อมมือสองข้างมาจับตัวฉันไว้

"ริน ตัวไม่รู้เหรอว่าพี่หนิงกับยัยผลไม้น่ะ เค้าไปไหนๆกัน คนเห็นจนทั่วบ้านทั่วเมือง ถามจริง ทำไมรินไม่รู้ ถามจริง รินเชื่อพี่หนิงมากป่าว ไม่งั้นหนุ่ยจะกลายเป็นเพื่อนเลว เฮ้อออ ใครๆเค้าว่าเรื่องผัวเมียอย่าเข้าไปแจมนี่ท่าจะจริงเนอะ .."

หนุ่ยพูดจบพร้อมถอนหายใจเฮือก เฮือก

พี่ปิ๋มเดินเข้ามาพอดี เธอเห็นทีท่าถอนหายใจแบบระทวยระทมของหนุ่ยแล้วปิดปากหัวเราะคิกคัก

"คุณนายหนุ่ย ถอนใจทำไมจ๊ะ เมนส์ไม่มาเหรอ 5555"

"ไม่ขำเลยเจ๊ ไม่ขำ " หนุ่ยบอกพร้อมกับค้อนพี่ปิ๋มอีกครั้ง

พี่ปิ๋มยังคงหัวเราะคิก

"ค้อนอีกๆ อิอิ พี่ไม่เคยเห็นสาวคนไหนค้อนสวยเท่าหนุ่ยเลยนะเนี่ย แล้วใกล้รับปริญญายัง"

"โอ๊ย พี่ปิ๋ม เฉิ่มเบ๊อะ เชย โก๊ะ หนุ่ยรับป.โทไปตั้งตะปีที่แล้ว เนี่ย บินอีกไม่กี่ไฟลท์ก็จะลาออกไปเรียนเอกละ หนุ่ยคงคิดถึงพวกเราตายเลย แต่อ่ะนะ เพื่ออนาคต มันต้องตัดใจ ใช่มั้ยริน ตัดใจซะวันนี้ เพื่อสิ่งที่เจ๋งกว่า cool กว่าในวันหน้า" ประโยคหลังหนุ่ยทำหน้าตามีเลศนัยกับฉัน

"ยังไม่ทันไปเมืองนอกเล้ย มาคงมาcool เป็นอเมริกันไปด๊าย หนุ่ยนี่เก่งนะ จบด็อกเตอร์กลับมาแล้วอย่าลืมเลี้ยงพี่น้า" พี่ปิ๋มบอก

"รับรองๆ เจ๊ หนุ่ยไม่ลืมพวกเราหรอก" หนุ่ยให้คำมั่นจริงจัง

หลังจากนั้นต่อมา เมื่อหนุ่ยพกปริญญาเอกกลับมากรุงเทพ หนุ่ยเชิญพวกเราไปทานอาหารที่บ้านอันใหญ่โตมโหฬารของคุณพ่อคุณแม่หนุ่ยจริงอย่างที่หนุ่ยพูดไว้

"เนี่ย พี่ปิ๋ม ถ้าหนุ่ยจบเอก กลับมาทำงานกะชาวบ้านอื่นเค้า ต้องเก๊กแมนแค่ไหนก็ไม่รู้ ชีวิตหนุ่ยมันระทมขมขื่นยิ่งกว่ารินอีกนะ "

"อีกละ อีกละ หนุ่ยวกมาเรื่องรินอีกละ เอาเหอะหนุ่ย เล่ามา รินฟังได้ เจอมาเยอะแล้ว"

พี่ปิ๋มกับหนุ่ยมองหน้ากัน ต่างคนต่างเกี่ยงให้อีกฝ่ายหนึ่งบอกฉัน

ในที่สุด หนุ่ยเป็นคนเล่า ได้ความว่าพี่หนิงเปิดเผยมากเรื่องเชอร์รี่ บอกใครๆว่าเธอตรงสเป๊คสุดๆ เชอร์รี่เองเล่าให้คนอื่นฟังว่าพี่หนิงจะหย่าแต่ฉันไม่ยอม เธอจึงต้องคอยก่อน

พี่หนิงบอกเชอร์รี่ว่าฉันท้อง ต้องรับผิดชอบ เขาไม่ได้รักฉันเลย ไม่อยากอยู่ด้วย แต่กำลังเทรนกัปตัน ไม่อยากมีเรื่องกับฉัน เกรงจะกระทบการงานของเขา เลยขอให้เชอร์รี่ใจเย็นๆรอก่อน

ฉันฟังหนุ่ยเล่าจนจบด้วยอาการเจ็บจี๊ดขึ้นสมอง ไล่มาตามคอ สันหลัง และทั้งตัว เป็นความรู้สึกที่ทรมานมาก โดยเฉพาะขณะนั้นกำลังทำงาน ร้องไห้ไม่ได้เสียด้วย ต้องอดทน ข่มความรู้สึกอยากจะปล่อยโฮเอาไว้ในอก

ฉันทำงานต่อจนเครื่องลงอย่างไม่มีแก่จิตแก่ใจ ฉันฝืนยิ้มจนรู้สึกว่าหน้าตึงไปหมด ขมับตึง ร้อนในอก ร้อนที่ตัว ร้อนที่หัว สลับกันอยู่อย่างนั้น

เครื่องลงที่นาโกยาตามเวลา ปกติแล้วฉันชอบนาโกยามาก โรงแรมที่เราพักอยู่ในเมือง ไม่ได้พักโรงแรมชานเมืองเหมือนที่โตเกียวหรือโอซาก้า เดินไปนิดเดียวจะถึงแหล่งช้อปปิ้ง อย่างที่เคยเล่าแล้วว่า ของญี่ปุ่นน่าซื้อ แพ็คเกจจิ้งงดงามจนบางครั้งไม่อยากจะแกะเลย

เมื่อถึงโรงแรม เข้าห้องได้ ฉันร้องไห้ ร้อง ร้อง ด้วยความปวดใจ คับแค้นใจ โมโห ความรู้สึกเลวร้ายทั้งมวลถาโถมเข้ามา

ฉันเปิดกระเป๋าถือ หยิบรูปลูกในอัลบั้มบางๆออกมาดู ฉันจัดรูปลูกไว้ตามอายุที่โตขึ้น น้องรุ้งจ้องตาโตตอบมาราวจะปลอบแม่ว่าแม่ยังมีหนูอยู่ทั้งคน ค่อยๆคิดนะจ๊ะแม่จ๋า

นั่งพลิกรูปลูกไปมา ทนคิดถึงลูกม่ไหว โทร.ไปหาลูกดีกว่า

การโทรศัพท์หาลูกเป็นเรื่องหนึ่งที่พี่หนิงชอบบ่นฉัน เขาบอกว่าค่าโทรศัพท์ทางไกลมันแพง โทร.ไปแล้วทำอะไรได้ในเมื่อเราอยู่ไกล เปลืองเงินอีกด้วย

พี่หนิงไม่ทราบหรอกว่า เสียงของลูกน้อยปลอบประโลมใจฉันได้ทุกครั้ง ครั้งนั้นเช่นกัน นวลรับโทรศัพท์ พอทราบว่าเป็นฉัน เธอรีบให้น้องรุ้งพูดทันที ฉันคุยกับลูก บอกว่าแม่จะซื้อคิตตี้ไปฝากนะลูกนะ

วางหูจากลูก นึกถึงพี่หนิงที่ชอบบ่นเรื่องฉันใช้เงินไม่เข้าท่า อย่างเช่น เวลาฉันไปส่งน้องหนอนกลับมาบ้านแล้วแวะซื้อของกินหน้าปากซอยมาเยอะ พี่หนิงจะบ่นว่า ซื้อมามากมายทำไม เช่น

"แล้วปาท่องโก๋นี่ รินกินไม่หมด ทีหลังซื้อสองบาทพอแล้ว"

ฉันไม่อยากเถียงหรอก ในใจนึกว่า คนขายตื่นมานวดแป้งตั้งแต่ตีสองตีสาม ขายเท่าไหร่ไม่เห็นจะร่ำรวย สมัยนั้นปาท่องโก๋คู่ละหนึ่งบาท แต่ฉันมักจะซื้อครั้งละสิบบาทหรือยี่สิบบาท เอาไปฝากนวล และฝากคนบ้านพี่หนิงกับบ้านพี่หน่อย พี่สาวพี่หนิง จนพี่หนิงห้ามว่าไม่จำเป็นต้องซื้อฝากใคร

"ใครอยากกินก็ให้ซื้อเองสิ" นั่นคือคำพูดของพี่หนิง

ยิ่งอยู่นาน ความแตกต่างระหว่างเรายิ่งชัดขึ้น พอมาทราบเรื่องเชอร์รี่เข้า ดูเหมือนฉันจะหมดความอดทนทีเดียว ฉันเริ่มคิดถึงการแยกทางกับพี่หนิง คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ คิดถึงลูกว่าแต่ละคนจะรู้สึกอย่างไรที่ฉันไม่สามารถประคับประคองนาวาครอบครัวลำนี้ของฉันไปได้โดยราบรื่น ฉันจะทำอย่างไรดีนะ

วันรุ่งขึ้น ฉันฝืนออกไปเดินเล่นแถวแหล่งช้อปปิ้งตามการคะยั้นคะยอของหนุ่ยที่โทร.มาตามแต่เช้า

"คนสวยจ๋า อย่ามัวนึกถึงผัวอกตัญญูอยู่เลย ไปช้อปกันดีกว่า ที่ไดเอะมีเซลด้วยนะ แต่งตัวสวยๆไปยั่วหนุ่มยุ่นกันแต่ฮึ!!!ชั้นไม่อยากเดินกะเธอเลย เดินกะเธอแล้วชั้นดับซะไม่มี"

ไปเดินดูข้าวของกับหนุ่ยและพี่ปิ๋ม ได้ข้อมูล "ยัยผลไม้ใส่ค้อกเทล" จากหนุ่ยและพี่ปิ๋มเพิ่มเติมอีก ล้วนแต่เรื่องเสียดแทงใจทั้งนั้น

ฉันเอามือกุมอก ทำหน้าเจ็บปวด ที่จริงไม่ต้องทำหหน้ามันคงฟ้องอยู่ว่ายัยคนนี้ไม่มีความสุขเอาเสียเลย

"หนุ่ยจ๋า ได้โปรด พลี้สสสส please หยุด stop talking โอย รินจาตาย รับไม่ไหวแล้ว"

ฉันทำแกล้งเป็นมุขขำขำ แต่หนุ่ยกับพี่ปิ๋มรู้ทัน ทั้งสองสังเกตเห็นว่าฉันทานอะไรไม่ลงเลย

ฉันอดทนอยู่จนวันกลับ ก็ถ้าไม่ทนจะทำอะไรได้ โทร.กลับบ้านหลายครั้ง พี่หนิงไม่เคยอยู่เลย

จนกระทั่งวันกลับมาถึง พวกเรานั่งรอเครื่องที่บินมาจากกรุงเทพและจอดแล้ว ผู้โดยสารกำลังลงจากเครื่อง สักพักต่อมาลูกเรือเริ่มทยอยกันออกมาทีละคนสองคน เครื่องจัมโบ้นี้ใช้ลูกเรือทั้งหมดยี่สิบเอ็ดคน

หนุ่ยสะกิดฉัน "ว้ายยยยตาย ริน นั่นไง ยัยค้อกเทลผลไม้ เอ๊ย พูดผิด ยัยผลไม้ใส่ค้อกเทล"

ฉันมองตามหนุ่ย นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นเชอร์รี่

เธอเป็นสาวพิมพ์นิยม คือหน้าหมวย ขาว ไม่สวยมากนัก มองเผินๆคล้ายลูกไก่เหมือนกัน แต่ลูกไก่สวยกว่า เธอเดินตัวตรง ลากกระเป๋า เชิดหน้าออกมา ไม่มองมาทางฉันเลย

"ดูมันนะริน ทำเป็นเชิด มันน่า...นัก"

หนุ่ยพูดเสร็จแล้วลุกขึ้นเดินตรงไปหากลุ่มลูกเรือตามคนอื่นๆที่ลุกขึ้นไปทักทายเพื่อนฝูงที่มากับเครื่องจากกรุงเทพ ฉันยังคงนั่งนิ่ง ตาพร่าไปชั่วขณะ เสียงเรียกฉันดังขึ้น

"ริน อ้าว ใจลอยจัง " แอนนั่นเอง แอนหน้าตาจิ้มลิ้มที่ตกลงเป็นแฟนกับพี่สุทธ์และกำลังจะแต่งงานเข้ามาทักฉัน

"รินสบายดีมั้ย ไม่เจอตั้งนาน แอนเอาการ์ดไปใส่ BOX รินแล้วนะ"

"ดีใจด้วยแอน แต่งวันไหน ถ้าไม่ติดบิน รินจะไปงานแอนนะ อยากได้อะไรเป็นของขวัญดีน้อ" ฉันถามแอน

"ไม่อยากได้อะไรหรอกริน แอนอยากให้รินสบายใจ มีความสุขน่ะนะ "

แอนพยักเพยิดไปทางเชอร์รี่ที่ยังคงทำเป็นไม่มองฉัน

"ยัยนี่ร้ายลึก แต่รินไม่ต้องคิดมาก แอนว่าถ้าพี่หนิงคิดจริงจังคงบ้าละ พี่หนิงเค้าคงเล่นๆไปแบบคนอื่นๆ รินอย่าซีเรียสนะ แอนเป็นห่วง"

"ขอบคุณนะแอน แล้วเจอกัน"

ฉันยิ้มให้แอน ลากกระเป๋าเข้าไปเตรียมทำงานบนเครื่อง

กระเป๋าลูกเรือที่ส่วนใหญ่พวกเรามักจะใส่ไว้ในรถเข็นเล็กๆ แล้วลากเอานั้นได้รับแจกจากทางบริษัท ลูกเรือทุกคนต้องใช้เฉพาะของบริษัทแจกเท่านั้น จะมาใช้ของแบรนด์เนมตามใจชอบไม่ได้เป็นอันขาด

ทั้งเครื่องแบบ กระเป๋า รองเท้า บริษัทแจกทั้งสิ้น จนกระทั่งมีการคุยกันบ่อยๆในหมู่ผู้ชายว่า...ขอบคุณบริษัทที่ให้บ้าน ให้รถ ให้เงิน แถมภรรยาให้ด้วย...

ฉันทำงานกลับอย่างเหนื่อยใจที่สุด ดีที่ทำงานกับหนุ่ย หนุ่ยแสดงความเป็นยอดกัลยาณมิตรออกมาให้เห็น เขาทำงานอย่างรวดเร็ว เอางานของฉันไปทำแทนเสียมากมาย หนุ่ยทำให้ฉันประทับใจมากในไฟลท์นั้น


กลับถึงบ้าน พี่หนิงไม่อยู่ ไปบิน ฉันต้องรอจนเขากลับมาในวันรุ่งขึ้น และเปิดฉากทะเลาะ คุยกันดีๆคงไม่ได้แล้ว

"พี่หนิง รินรู้หมดแล้วเรื่องเชอร์รี่น่ะ พี่หนิงทำไมไม่นึกถึงรินกะลูกมั่ง จะเอาเราสองคนไปแลกผู้หญิงคนนั้นเหรอ.."

ฉันขึ้นเสียงดังด้วยอารมณ์โกรธจัด

"รินนี่ หาเรื่องอยู่ได้ทุกวัน นี่ถ้าชั้นไม่ได้เป็นกัปตันคงเพราะเธอแหละ น่ารำคาญ "

พี่หนิงตีหน้ายักษ์ใส่ฉัน

"บอกแล้วว่าให้อยู่เฉยๆ บอกไม่เชื่อใช่มั้ย ชั้นชักโมโหเหมือนกันนะ เธอจะซักให้มันได้อะไร..."

ถ้อยคำไม่สุภาพเริ่มออกมาจากปากพี่หนิง ฉันได้กลิ่นสุราจากลมหายใจเขาด้วย

"เมาเหรอพี่หนิง พูดจาอะไรอย่างนั้น รินไม่ชอบนะ"

"เออ แม่ผู้ดี แล้วมายุ่งกะชั้นทำไม ชั้นมันชาวบ้าน ชาวสวน ไม่ผู้ดีอย่างพวกเธอหรอก"

ฉันทะเลาะกับพี่หนิงไม่หยุด ตะโกนใส่กันอย่างดุเดือด ดีนะที่ตอนนั้นลูกเราหลับไปแล้ว นวลดูแลอยู่ข้างบน

คืนนั้นพี่หนิงไปนอนบ้านคุณแม่เขา และให้แย้มมาเอาเสื้อผ้าของใช้ที่บ้านเรา

แย้มคุยให้หมี แม่บ้านของฉันฟังว่า เคยเห็นพี่หนิงพาเชอร์รี่ไปที่บ้านคุณแม่เขาด้วยเวลาที่ฉันไม่อยู่ แถมคุณแม่พี่หนิงต้อนรับเชอร์รี่อย่างดี ทำราวกับพี่หนิงเป็นคนโสดงั้นแหละ

เรื่องราวของฉันเป็นเรื่องสนุกปากของชาวบ้านไปทั่วทั้งซอย ลามไปถึงสังคมที่ฉันและพี่หนิงอยู่

พี่หนิงพาเชอร์รี่ไปที่บ้านคุณพ่อคุณแม่เขา ตายหละ บ้านรั้วติดกันนี่เอง ระหว่างบ้านเราและบ้านคุณแม่เขามีแค่รั้วเตี้ยๆกั้น มีประตูเล็กที่ไม่เคยล็อกเปิดถึงกันได้ตลอดเวลา
เพื่อให้คุณแม่พี่หนิงเปิดเข้ามาหยิบของใช้ไปจากบ้านฉันในเวลาที่ฉันไม่อยู่

พี่หนิงหลบหน้าฉันไปอยุ่บ้านคุณแม่เขา ฉันไม่ตาม ไม่ง้อ แค้นถึงที่สุด คิดเรื่องหย่า คิดเรื่องลูก คิดถึงตอนรักกัน คิดถึงวันแต่งงาน โอย คิดวนเวียน คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี

ฉันไปบินตามปกติ ก่อนจะเข้าห้อง BRIEF ฉันจะเข้าไปเช็ค BOX ส่วนตัว ที่ลูกเรือทุกคนจะมีอยู่ที่ห้องห้องหนึ่งในบริษัท หน้าตาของมันคือตู้ไม้ซึ่งกั้นเป็นช่องๆราวสิบสองคูณหกนิ้ว เปิดด้านหน้าไว้ ไม่มีกุญแจ เป็นการให้เกียรติกันว่าของใครของมัน

คดีของฉันกับเชอร์รี่นี่เองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง มีการใส่กุญแจ BOX ในเวลาต่อมา

ฉันเข้าไปเช็ค BOX มีเศษกระดาษใส่ไว้ เขียนไว้หยาบมาก จนต้องเซ็นเซ่อร์ ประมาณว่า ฉันทนอยู่ได้อย่างไรทั้งที่สามีไม่รัก หน้าทำด้วยอะไร และบอกหมดว่าเธอกับพี่หนิงทำอะไรกันบ้าง


ฉันอ่านแล้วตกใจมาก นี่เชอร์รี่เขียนหรือใครแกล้ง ฉันยังไม่นึกว่าเชอร์รี่จะหยาบคายอย่างนั้น ฉันเก็บกระดาษนั้นไว้

ต่อมาฉันได้รับโน้ตทำนองนี้อีกทุกครั้งที่ไปบิน ล้วนบรรยายบอกว่าพี่หนิงไปไหนกับเธอบ้าง ใช้ภาษาพ่อขุนรามราวกับผู้เชี่ยวชาญศิลาจารึก

ฉันเก็บเศษกระดาษเหล่านั้นไว้ อัดอั้นใจ พี่หนิงคอยแต่หลบหน้า ฉันได้แต่ไฟลท์บินไกลๆ ไปครั้งละหลายวัน

แม้แต่วันที่พี่หนิงได้เป็นกัปตัน เชอร์รี่ต่างหากที่เป็นคนไปรับพี่หนิงลงจากไฟลท์สุดท้ายที่ตัดสินว่าพี่หนิงเทรนผ่านหรือไม่ มันควรจะเป็นฉันกับลูกมิใช่หรือที่ไปรอคอยเขาน่ะ


ไฟลท์สุดท้ายของการเทรน SV.ทั้งหกจะยกหน้าที่ให้ท่านใดท่านหนึ่งมาควบคุมบนเครื่อง และก่อนลงกรุงเทพจะมีการติดขีดสี่ขีดบนบ่าให้แก่กัปตันคนใหม่ รวมทั้งมอบหมวกใบใหม่ที่มีช่อชัยพฤกษ์ที่หน้าหมวก แตกต่างจากนักบินและลูกเรือคนอื่นๆ

ขีดที่บ่งบอกตำแหน่งบนบ่าจะมีสองแบบคือขีดเล็กและขีดใหญ่

ขีดเล็กคือลูกเรือ ขีดใหญ่คือนักบิน เห็นมั้ย นักบินเค้าใหญ่กว่าลูกเรือตั้งแต่ขีดบนบ่าแล้ว

พี่หนิงได้เป็นกัปตัน ฉันยังไม่รู้เลย จนคุณแม่เขาเดินมาบอกที่บ้าน

"รินรู้หรือยังว่าหนิงได้เป็นกัปตันแล้ว" คุณแม่เธอถามฉัน

"รินไม่ทราบเลยค่ะ พี่หนิงไม่มาบอก"

คุณแม่บ่นฉันว่าไม่สนใจสามี ปล่อยให้ไปอยู่ที่บ้านเธอ คุณแม่พี่หนิงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เรื่องเชอร์รี่ ฉันเลยไม่พูด

เอาไว้แก้แค้นทีเดียว ฉันคิด เริ่มฮึดสู้แล้ว
ขณะที่ฉันกำลังหาทางแก้ปัญหาชีวิตด้วยความแค้นใจสามีตนเอง ฉันยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก ทั้งไปบิน ทั้งดู
แลน้องหนอนกับน้องรุ้ง น้องหนอนมีปัญหากับเพื่อนจนต้องย้ายห้องเรียน ย้ายไปก็ไปก่อปัญหาอีก จนน้อง
หนอนดังในทางลบตั้งแต่อยู่ ป.1 จนจบ ม.6

ไม่มีใครกล้าแหยมกับน้องหนอน ครูบาอาจารย์ส่ายหน้า ฉันมีหน้าที่วิ่งวุ่นแก้ปัญหา ซื้อของไปเซ่นคุณครู
รวมกับตัวเองเคยเป็นเด็กประวัติดี ทำชื่อเสียงให้โรงเรียน ทำให้น้องหนอนอยู่ยงคงกระพันเป็นตำนานข
องโรงเรียนมาจนทุกวันนี้

ฉันมาทราบจากนวลว่า พี่หนิม น้องสาวพี่หนิง คอยสอนให้น้องหนอนไม่ชอบฉัน เธอบอกเด็กว่าฉันเสแสร้ง
แกล้งทำ ไม่รักน้องหนอนจริง เอาใจไปอย่างนั้นเพื่อให้พ่อน้องหนอนดีใจ

ด้วยความเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ และไม่ฟังเหตุผล ทำให้น้องหนอนดื้อกับฉันมากขึ้น ขณะเดียวกับที่น้องรุ้งโต
ขึ้นเรื่อยๆ หน้าตาสะสวยน่ารัก พากันไปไหนมีแต่คนชมน้องรุ้ง ยิ่งทำให้น้องหนอนกดดันัน

เวลาแห่งการแก้แค้นของฉันยังไม่ได้เริ่ม มีเรื่องใหม่มาให้กลุ้มอีก

.....................ฉันท้อง...................

เพราะช่วงที่เรื่องกำลังคาราคาซัง ทะเลาะกันกับพี่หนิงนั้น บางคืนพี่หนิงแอบมาหาฉัน เรื่องมันเลยกลาย
เป็นว่าฉันเองลึกๆโหยหาอารมณ์พิศวาส จึงยอมมีอะไรกับพี่หนิงบ่อยๆ่งท

มีเสร็จ โมโหตัวเองที่ยอมเขาทุกที บางทีคงเป็นเพราะฉันคิดว่าการที่พี่หนิงมานอนกับฉัน เป็นการง้อของ
เขา ฉันใจอ่อนตามเคย (กรุณาอย่าเอาเยี่ยงอย่าง)

มาถึงวันนี้ ฉันเข้าใจคนที่ทนอยู่กับสามีเลวๆแค่เพราะเรื่องอย่างว่า เรื่องสัญชาตญาณดิบของมนุษย์ที่แฝงอ
ยู่ในตัวทุกคน แต่ละคู่จึงไม่เหมือนกัน เรื่องนั้นจะสำคัญตอนเราเป็นหนุ่มสาววัยเจริญพันธุ์ ฮอร์โมนทำงาน
พลุ่งพล่านเท่านั้น หากเราอดทนได้ มันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ของชีวิตจนนิดเดียว

ท่านสุนทรภู่เคยเขียนไว่ในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนตอนนางพิมต่อว่าพลายแก้ว

"อดข้าวดอกนะเจ้าชีวิตวาย ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา"

ถ้าฉันใจแข็งสักนิดตอนนั้น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับพี่หนิง ตัดขาดไปเลย ฉันจะมีลูกเพียงคนเดียวคือน้องรุ้ง หากฟ้า
คงประทานลูกอีกคนมาให้ฉัน มาอยู่เป็นเพื่อนฉันตราบจนวันนี้

ฉันไปลาท้องก่อนที่พี่หนิงจะรู้เสียอีก พอบอกเขา เขาว่า

"ดีแล้ว พี่ชอบมีลูกเยอะๆ บ้านเราใหญ่ น่าจะมีเด็กหลายๆคน"

พี่หนิงเป็นคนรักเด็ก รักลูก รักตามแบบฉบับของเขา คือเล่นกับเด็ก แหย่เด็ก แต่ไม่ช่วยอุ้มชูเลี้ยงดู
เหมือนมีลูกไว้เล่นเพลินๆห้

ท้องครั้งนั้นฉันลาหยุดอยู่บ้านเหมือนตอนท้องน้องรุ้ง ขับรถไปส่งน้องหนอนและน้องรุ้งที่โรงเรียนทุกวัน
น้องรุ้งสี่ขวบกว่าแล้วห้

พี่หนิงยังคงไปๆมาๆระหว่างบ้านคุณแม่เขา และบ้านเรา อย่างหนึ่งที่ต้องชมพี่หนิงคือ เขาเป็นคนขยัน
เหมือนคุณแม่เขา
เขาไม่เคยอยู่เฉย เขาจะหาอะไรทำเสมอ ขุดดินฟันหญ้า ปลูกต้นไม้ ทำบ่อเลี้ยงปลา เลี้ยงนก ไปเล่น
เทนนิส พี่หนิงเล่นเก่งจนได้เป็นตัวแทนบริษัทไปแข่งระหว่างองค์กรอยู่หลายปี ถ้วยรางวัลเต็มบ้าน

ช่วงนั้น เชอร์รี่ไปกับพี่หนิงทุกที่ แข่งเทนนิสเธอไปเกาะริมคอร์ทเชียร์ จนใครๆจากบริษัทอื่นที่ไม่เคยรู้จัก
พี่หนิงนึกว่าเธอเป็นแฟนตัวจริงของพี่หนิง ส่วนคนในบริษัทเดียวกับพี่หนิงและฉันกลับผะอืดผะอม กลืนไม่
เข้า คายไม่ออก ไปตามๆกัน

ตอนนี้ฉันทราบแล้วว่าพี่หนิงชอบให้ฉันท้องเพราะอะไร เพราะฉันจะได้มัววุ่นกับลูกๆจนไม่มีเวลาวุ่นกับเขา
เขาคงไม่คิดจะเลิกรากับฉัน แต่คิดมีใหม่ไปเรื่อยๆมากกว่าบร

เรียกว่าพี่หนิงเป็นคนมักมากในกามคุณ เขาเคยบอกฉันว่า ถ้าไม่ได้ปลดปล่อยแค่วันเดียว เขาก็หงุดหงิด
แล้ว ร่างกายพี่หนิงคงมีต่อมอะไรผิดปกติเป็นแน่แท้

เชอร์รี่เงียบไป ฉันไม่ได้ไปบิน ไม่ต้องไปเจอเศษกระดาษเขียนด่าใน BOX ไม่ต้องเสียอารมณ์เวลา
เพื่อนร่วมงานเอ่ยถึงเรื่องราวของเราสามคน บางคนถามไปถึงพี่อร แม่น้องหนอน ถามถึงน้องหนอน ซัก
ไซร้จนฉันจะบ้าตายลืน

ฉันโดนเม้าท์ทั้งจากคนที่ชอบและไม่ชอบ เพราะพี่หนิม น้องสาวพี่หนิง เอาฉันไปพูดไม่ดีต่างๆ เธอไม่ชอบ
หน้าฉันตั้งแต่ฉันยังไม่แต่งงานกับพี่หนิงด้วยซ้ำ เธอเคยว่าฉันว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี อ่อยพี่ชายเธอ ท้องก่อน
แต่ง จับพี่ชายเธอ เพราะบ้านเธอร่ำรวยมีฐานะ ฯลฯ

เธอไม่เคยเล่าว่า คุณแม่เธอทำอะไรกับสะใภ้คนนี้บ้าง ฉันเป็นคนไม่พูดเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังมาก ยก
เว้นคนที่คิดว่าไว้ใจได้ เพียงแต่คนที่ฉันคิดว่าไว้ใจได้ บางคนยังทำร้ายฉันด้วยคำพูดลับหลังเลย

เรื่องครอบครัวพี่หนิงทำอะไรกับฉัน ฉันไม่อยากเล่าให้เพื่อนร่วมงานรู้ แต่เมื่อทนอัดอั้นไม่ไหว ฉันจะ
โทร.ไประบายกับเพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ ป.หนึ่งและจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน
คุณพ่อคุณแม่เป็นเพื่อนกัน เพื่อนคนนี้ชื่อหยกา

หยกบอกฉันว่า ครอบครัวนี้ใจดำ เธอสงสารฉัน อยากให้ฉันหย่าและกลับไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ฉันเองที่
โลเล ตัดสินใจไม่ได้ จนกระทั่งท้องขึ้นมาอีกครั้ง้งแ
ฉันเคยเล่าแล้วว่าตอนท้องน้องรุ้ง ฉันชอบดูหนังมาก ถึงท้องที่สอง (ถ้านับที่แท้งไป นี่เป็นท้องที่สาม) ฉัน
เลยเปิดหนังดูเวลาว่าง น้องหนอนชอบดู INDIANA JONES มาก รบเร้าให้เปิดวันละหลายครั้ง ฉันเลย
ต้องเห็นหน้า พระเอกที่ชื่อ แฮริสัน ฟอร์ด ทั้งวัน

ผลพลอยได้ ที่จริงหรือเปล่าพิสูจน์ไม่ได้จากการดู INDIANA JONES ทั้งสามภาคทำให้ลูกชายฉันออกมาห
น้าตาเหมือนลูกฝรั่งเลย

คุณหมอที่ทำคลอดมาบอกว่า ลูกชายฉันหล่อสุดในห้องพักเด็กแรกคลอด ใครๆมาดูกันใหญ่

คุณพ่อคุณแม่มาเยี่ยมฉันที่โรงพยาบาล คุณแม่บอกหลานชายน่ารักเหลือเชื่อ หน้าตาดีกว่าน้องรุ้งอีก ฉันเอง
ยังไม่เห็นหน้าลูกชาย ฉันลุกไม่ไหวเนื่องจากผ่าตัดคลอด และที่โรงพยาบาลที่ฉันไปคลอดนั้น จะไม่อนุญาต
ให้นำเด็กออกมาจากห้องพักเด็กเลย เป็นนโยบายป้องกันการติดเชื้อ รวมทั้งรักษาความปลอดภัยไปพร้อม
กัน

นวลพาน้องรุ้งและน้องหนอนไปดูน้อง น้องรุ้งกลับมาบอกแม่ว่า

"แม่ขา น้องน่ารักจัง หนูจะตั้งชื่อน้องเอง"

ส่วนน้องหนอนบอกัก

"หยี เด็กอะไร น่าเกลียดออก"

ฉันไม่ถือสาน้องหนอนหรอก รู้นิสัยกันอยู่ แต่จริงๆแล้วการที่ฉันปล่อยน้องหนอนตามความพอใจของเธอมาก
ไปไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับน้องหนอนเลย เพราะเมื่อเธอโตขึ้น เธอเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย มองคนอื่นใน
แง่ร้าย ทำให้อยู่ในสังคมได้ยาก นิสัยเธอถอดแบบมาจากพี่หนิงกับพี่หนิมโดยแท้

ฉันกอดน้องรุ้งและน้องหนอน ถามว่า

"ให้น้องชื่ออะไรดีคะลูก"

"หนูอยากให้น้องชื่อ ก้อนเมฆ ค่ะแม่ น้องตัวขาวเหมือนก้อนเมฆเลย"

อืมม ช่างคิดจังลูกเรา ก้อนเมฆอยู่บนฟ้ากับสายรุ้ง ฉันจึงให้ลูกชายชื่อก้อนเมฆเสียเลย ต่อมาเรียกสั้นๆ
ว่า"น้องเมฆ" มีน้องรุ้งคนเดียวที่ยังคงเรียกน้องชายว่า ก้อนเมฆ ทำเอาน้องชายอายต่อหน้าเพื่อนหลาย
ครั้ง

แล้วชื่อ ก้อนเมฆ นี่มันตลกเหรอ ฉันว่าน่ารักดีออก

คุณพ่อคุณแม่พี่หนิงปลาบปลื้มมากที่ได้หลานชาย คุณแม่พี่หนิงถึงกับเอาทองมาให้หลานหนึ่งเส้น หนักหนึ่งบาท
เคยบอกแล้วว่าเธอมีทองอัดแน่นเต็มเซฟ แต่ไม่เคยให้ใคร ที่ตัดใจมาให้น้องเมฆคงเป็นเพราะเธอและคุ
ณพ่อพี่หนิงปลื้มที่มีหลายชายสืบสกุล ก็พี่หนิงเป็นลูกชายคนเดียว ทั้งพี่สาวและน้องสาวพี่หนิงมีแต่ลูกสาวกันห
มด พี่หน่อยมีลูกสาวหนึ่งคน พี่หนิมมีลูกสาวสองคน และทั้งคู่มีสามีที่ยอมยกอำนาจให้ภรรยาโดยสิ้นเชิง

เห็นไหมที่เคยบอกว่าบ้านพี่หนิงน่ะ ผู้หญิงทุกคน(ยกเว้นฉัน)เป็นใหญ่ คุณแม่เค้าเทรนกันมาเยี่ยมมากนึ

ฉันพาลูกชายกลับบ้าน รำลึกว่าเรามีลูกสองคนแล้ว ไหนจะน้องหนอนอีก ปล่อยพี่หนิงไป เดี๋ยวคงคิดได้
เอง รวมกับฉันเห็นผู้ชายรอบด้านมีบ้านเล็กบ้านน้อย ไม่เห็นเมียหลวงจะถือสาหาความอง


ฉันพักหลังคลอดอยู่บ้าน ลูกชายเหมือนเด็กลูกครึ่งฝรั่งจริงๆด้วย หน้าตาคล้ายน้องรุ้ง แต่ขาวกว่า ออก
ฝรั่งมากกว่า นี่พ่อ แฮริสัน ฟอร์ด ทำพิษซะแล้ว

ไม่ใช่อะไรหรอก คุณปู่ฉันต่างหากที่เป็นฝรั่ง คุณพ่อเป็นลูกครึ่ง ฉันเป็นลูกเสี้ยว (คือมีความเป็นฝรั่งอยู่ยี่
สิบห้าเปอร์เซ็นต์)

ตามกฎพันธุกรรม เชื้อสายในตัวของเราถ่ายทอดไปได้จนถึงหลานเหลนโหลน แต่ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับเท่า
กัน น้องเมฆจึงได้พันธุกรรมตะวันตกมามากกว่าน้องรุ้ง

วันหนึ่งฉันกำลังออกกำลังกาย เพื่อจะลดน้ำหนักหลังคลอด โทรศัพท์ดัง ฉันรับสาย

"ฮัลโหล"

"จะเอาลูกมาเรียกผัวกลับบ้านเหรอ e dok ยังไงผัว mung ก็ไม่กลับ e-n-a-d-a-n....(เซ็น
เซ่อร์)" เสียงเชอร์รี่ ฉันจำได้ ลืมเล่าไปว่า ก่อนที่ฉันจะไปคลอด เธอเคยโทร.มาครั้งหนึ่ง พอฉันรับ
เธอพูดฉอดๆใส่ว่า

" e.....(หยาบมาก ขอเซ็นเซอร์) ขอให้ลูกเมริงตาย ขอให้ลูกเมริงไม่มีหัว..."

(ตอนนั้นโกรธมาก เล่าให้พี่หนิงฟัง พี่หนิงบอกเหมือนเคยว่ามันแค้นที่พี่ไม่เอามัน------->โกหกตามส
ไตล์เขาล่ะ)

ฉันรีบวางหู โมโหจัง ยัยนี่มันจะเอาไง อุตส่าห์ปล่อยแล้วนะ แต่นี่มันนานไปแล้ว พี่หนิงน่าจะเลิกกับมันไป
แล้วนี่นา ทำไมราวีอยู่ได้ ฉันน่าจะเป็นฝ่ายตามด่ามากกว่านะเนี่ย นี่อะไร เมียน้อยตามด่าเมียหลวงไม่
ลดละ

ฉันว่าเชอร์รี่นี่หล่อนไม่ธรรมดา มีพรสวรรค์ในหการจัดจังหวะโจมตี และแย่งสามีคนอื่นไปได้ในท้ายสุด

น่าชื่นชมเธอในความใจเย็น และอดทนรอคอย รวมทั้งวางแผนเก่งเสียเหลือเกิน ถ้าใครคิดจะวางแผน
ชั่วร้ายให้ประสบความสำเร็จควรไปปรึกษาเชอร์รี่ได้ รับรองเห็นผลล้านเปอร์เซ็นต์ (รับประกันโดยแอร์
กี่5555)

เชอร์รี่โทรศัพท์มาสามเวลาหลังอาหาร บางทีแถมมื้อดึกด้วย แต่เธอไม่เคยโทร.มาตอนพี่หนิงอยู่บ้านเลย


พี่หนิงเห่อลูกชาย แต่เขายังคงสโลแกนเดิม ทำตัวเหมือนเดิม เวลาฉันพูดเรื่องเชอร์รี่ เขาจะบอกว่า

"รู้ว่าเป็นมันโทร.มาก็วางหูสิ ไปฟังมันทำไม ไร้สาระ"

เสริมอีกว่า

"มันก้บอกพี่ว่ารินโทร.ไปด่ามันทั้งวัน"

อ้าว ยัยนี่ น่าจะเปลี่ยนชื่อจากเชอรี่เป็นรี่อย่างอื่น ฉันเถียงพี่หนิงไปว่า

"พี่หนิงเชื่อเค้าเหรอว่ารินทำแบบนั้น พี่หนิงมีมากี่คน รินไม่เคยไปยุ่งด้วยสักที เบอร์เค้า รินยังไม่รู้เลย"

"เอาน่า ริน ลูกสองแล้วนะ ยังมาหึงมาหวง พี่ไม่ไปไหนหรอก บอกให้อยู่เฉยๆแล้วดีเอง"

ฉันกลับไปบินใหม่ ด้วยความอาลัยอาวรณ์ลูกๆ ไฟลท์แรกที่ได้คือ กรุงเทพ-โตเกียว-ซีแอ๊ตเติ้ล-ดัลลัส
(BANGKOK-TOKYO-SEATTLE-DALLAS) รวมสิบสี่วันบ
(ปัจจุบันเส้นทางบินสายนี้ปิดไปแล้ว)

นั่นคือเราจะบินไปพักที่โตเกียวก่อนสองถึงสามวัน แล้วรับเครื่องที่มาจากรุงเทพต่อไปซีแอ๊ตเติ้ล พักที่ซี
แอ๊ตเติ้ล รอรับเครื่องที่มาจากโตเกียวเพื่อบินไปดัลลัส ค้างคืนที่ดัลลัส บินกลับซีแอ๊ตเติ้ล พักที่ซีแอ๊ตเติ้ล
อีก แลวบินกลับไปพักที่โตเกียว กว่าจะกลับกรุงเทพจึงนานมาก

ที่โตเกียวนั่นเอง ที่ฉันได้เจอพี่อินอีกครั้งหลังจากไม่เจอมาห้าปี

ถ้าจะถามความในใจลึกๆว่าคิดถึงพี่อินบ้างไหม คิดถึงแบบไหน ฉันคาดว่าผู้หญิงหลายคนเป็นแบบฉัน ฉันนึก
ถึงพี่อินในบางครั้งที่ว่างจริงๆ หรือเห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้นึกถึงเขา แต่ไม่ใช่ว่าจะคิดถึงเขา
มากมายจนทนไม่ไหวอะไรแบบนั้น ฉันมีหน้าที่แม่และเมีย(หลวง)ที่หนักหนาพออยู่แล้ว ไม่อยากจะมามัว
ฝันเพ้อแบบเด็กสาวๆต่อไป ทั้งที่บางทีอดไม่ได้ที่จะแว้บๆบ้าง แต่ผู้หญิงเราทำได้แค่นั้น คนดีๆที่มีสติคงไม่
ลุกขึ้นมาตามล่าหารักที่ผ่านพ้นไป แถมต้องห้ามคืนมาหรอก

แค่แอบคิดถึงวันคืนหวานๆกับพี่อิน แล้วบอกตัวเองว่าดีออก เก็บไว้ในความทรงจำ ไว้คิดถึงแบบใจยิ้มๆ
ยามโลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ค่อยจะชวนยิ้มนัก โดยเฉพาะเวลาไปบินแล้วต้องเจอโน้ตใส่เศษกระดาษ
จากเชอร์รี่ ประณามหยามเหยียดว่าฉันเป็นเมียหลวงที่โง่เง่าเสียนี่กระไร เจอโน้ตจากหล่อนบ่อยจนบาง
วันลุ้นว่าวันนี้หล่อนจะเอาข้อมูลอะไรนักหนามาส่งการบ้านฉันอีก บางวันอารมณ์ดีมาก ลุ้นว่าหล่อนจะใช้
กระดาษสวยๆมั่งมั้ยเนี่ย คนอารั้ย ไร้รสนิยมมาก ใช้แต่เศษกระดาษเขียนอยู่นั่นแล้ว ฉันเก็บเศษกระดาษ
จากหล่อนไว้ได้เยอะแยะ อันเป็นผลดีต่อฉันในภายหลัง

ไม่เช็ค BOX ไม่ได้อีก เดี๋ยวตกข่าวที่บริษัทส่งมาให้ อัพเดทความรู้ไม่ทัน พาลโดนว่าไม่ศึกษามา แย่เลย
เดี๋ยวมีไวน์ใหม่ ของแจกใหม่ เดี๋ยวมีอาหารแปลกๆ ต้องพร้อมจะรับรู้และซึมซับข้อมูลตลอดเวลาเพื่อเก็บ
ไว้สอบเลื่อนขั้นต่อไป

เข้าเรื่องว่าฉันเจอพี่อินที่โตเกียวตรงไหน อย่างไร
อันที่จริงต้องพูดว่าฉันเจอพี่อินที่นาริตะมากกว่า สนามบินที่โตเกียวจะอยู่ชานเมือง เรียกกันว่าสนามบินนา
ริตะ สถานที่ตั้งสนามบินคือเมืองนาริตะ ไกลจากตัวเมืองโตเกียวมากพอดู ขับรถประมาณชั่วโมงกว่าขึ้น
(แล้วแต่ประสิทธิภาพของรถ)

สายการบินส่วนใหญ่จึงให้ลูกเรือพักที่โรงแรมใกล้ๆสนามบิน เพื่อความสะดวกในการเดินทาง ไม่ต้อง
เหนื่อยนั่งรถนาน พร้อมกับเป็นการช่วยเหลือบริษัทประหยัดงบ เนื่องจากโรงแรมในโตเกียวแพงมาก

ระหว่างทางจากสนามบินไปโรงแรม พวกเราพากันมองแต่สองข้างทาง ทุกปากจะมีคำว่า ..สวย
จังๆๆ.. ปนอยู่ในคำพูด (อยู่ญี่ปุ่น พูดอะไรมีคำว่า "จัง" มันฟังดูเข้าบรรยากาศญี่ปุ่นดี สวยจัง อิ่มจัง
อยากได้จัง เบื่อจัง รักจัง...เป็นอาทิ)

ช่วงนั้นดอกซากุระบานสวยงาม สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นซากุระ สดใสไปทั่วรัศมีสายตา สีชมพูทุกเฉด
คละเคล้าปะปนกัน เป็นโชคดีที่ได้บินญี่ปุ่นแล้วเห็นซากุระบาน ในปีหนึ่ง ซากุระจะบานอยู่ประมาณสองสั
ปดาห์เท่านั้นเอง

พวกเราเช็คอินเข้าโรงแรม นัดกันว่าจะ "ฮานามิ"กัน แถวๆโรงแรมพรุ่งนี้เย็น วันนี้ตัวใครตัวมันก่อน
จะค่ำแล้วไปไหนลำบาก แค่นั่งรถบัสของโรงแรมไปหาอะไรทานแถวสถานีรถไฟเท่านั้นพอ

"ฮานามิ" ไม่ใช่ข้าวเกรียบ แต่มาจากชื่อเทศกาล โอฮานามิ (OHANAMI) หรือเทศกาลชมดอกไม้ของ
ญี่ปุ่น จะเริ่มต้นตั้งแต่ดอกซากุระเริ่มบาน ไปจนกระทั่งดอกซากุระร่วงหล่นหมดไป ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเมื่อ
ดอกซากุระบาน พวกเขาจะต้องนำสาเกและปลาไปถวายเทพเจ้าซากามิ หรือเทพเจ้าแห่งภูเขา เพื่อให้
พืชพันธุ์ธัญญาหารเจริญเติบโตงอกงาม จึงเป็นประเพณีชมดอกไม้สืบทอดกันมา

แล้วสุดท้ายคนถวายเครื่องบูชากลับนำเอาเครื่องบูชามาดื่มกินกันเอง เหมือนชาวจีนไหว้เจ้า ชาวไทยแก้
บน เสร็จแล้วเอาอาหารมารับประทานกัน ถือว่าเหลือจากเทพแล้วเสียดาย มาทานกันเองดีกว่าปล่อยให้
เสียไป ของออกจะแพง มาถึงยุคหลังๆ การณ์กลับเป็นว่าหนุ่มสาวญี่ปุ่นพากันจับจองที่ใต้ต้นซากุระเพื่อปิกนิ
กตอนเย็น เฮฮาดื่มเหล้าดื่มเบียร์ พร้อมนำอาหารกล่องมาแบ่งกันทาน หลายคู่ตกลงปลงใจกันใต้ต้นซากุร
ะนั่นเอง ( ตกลงเป็นแฟนกั๊น อย่าคิดลึก)

ฉันเข้าห้อง อาบน้ำไม่ทัน ได้แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า ขืนมัวอาบน้ำต้องไม่ทันรถไปสถานีรถไฟแน่นอน ฉันเปิด
ประต^ห้องออกมา ภาพที่เห็นคือ...ช่อดอกซากุระวางอยู่หน้าห้องสามช่อ สวยสดราวกับเพิ่งเด็ดออกมา
จากต้น ฉันหยิบขึ้นมาดู ยกขึ้นมาดม หอมเป็นบางช่อแฮะ ดมอีก เออแปลก ทำไมดอกซากุระกลิ่นมันไม่
เหมือนกัน มาทราบภายหลังจากคนให้ว่า ดอกไม้สามช่อนั้นคือ ซากุระ ดอกท้อ และดอกบ๊วย มองเผินๆ
ดูคล้ายกันมาก หากเมื่อลงไปในรายละเอียดจะเห็นความแตกต่าง ดอกไม้ทั้งสามนี้เป็นดอกไม้นางเอกใน
เทศกาลดอกไม้ของชาวญี่ปุ่น

ยังไม่ทันพินิจพิจารณา มีมือยื่นมาส่งดอกไม้ให้อีกช่อหนึ่ง

"ช่อนี้หอมแน่นอนค้าบ ดอกเหมย รินรู้จักมั้ย"

ไม่ต้องบอกใช่มั้ยว่าเค้าเป็นใคร บอกมาตั้งแต่ตอนที่แล้วเพิ่งมาโผล่ ..พี่อิน...สูง หล่อ ยิ้มหน้าทะเล้น
เหมือนเดิม

ใจฉันกระตุก พี่อิน ผู้ชายคนแรกที่เอาหัวใจฉันไป คนแรกที่ทำฉันร้องไห้ คนแรกที่สอนให้ฉันแยกความรัก
ออกจากความใคร่ให้ได้หากเราไม่สามารถรวมมันเข้าด้วยกัน

จำได้ไหม ฉันเคยเล่าที่พี่อินบอกว่าเวลาเขาคิดถึงฉัน เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องบนเตียงเลย

ฉันยกมือไหว้พี่อิน ยิ้มหน้าบานของเขาทำเอาฉันรีบยิ้มรับแทบไม่ทัน พี่อินคนเดิม แต่..มีอะไรบางอย่างดู
แปลกไปม

พี่อินตัดผมสั้น สั้นมากจนแทบจะเป็นสกินเฮด ทำไมต้องตัดผมสั้นขนาดนั้นด้วยน

"ดูรินมองพี่เข้า ทำหน้าสงสัยอะไรจ๊ะ ดีใจจังที่ได้เจอรินอีก ไม่เจอกันนานเลยนะ"

"แล้วพี่อินไปบินไหนมา ทำไมรินไม่เจอพี่เลย "

ฉันคงทำหน้าบอกไม่ถูกอยู่อย่างนั้น มันบอกไม่ถูกจริงๆนี่ ไม่รู้จะวางตัวแบบไหน ไม่รู้จะพูดอะไรดี ไม่รู้ไป
หมด

พี่อินเล่าว่า หลังจากที่เขาไม่ผ่านการ EVALUATE ถึงสองครั้ง เขาจึงท้อใจ ลาออกไปทำงานที่สายการ
บินประเทศเพื่อนบ้านที่โด่งดังเป็นเยี่ยมทางด้านบริการเป็นเลิศ รับตำแหน่งกัปตันหลังผ่านการทดสอบฝีมือ
ในการบินแล้ว เงินเดือนสูงกว่าที่บริษัทเรา แต่ต้องไปอยู่ที่ประเทศนั้น เขาเลยพาภรรยากับลูกไปอยู่
ด้วยกัน ทั้งครอบครัวเขามีความสุขกันดีอ

พี่อินบอกว่าเห็นฉันตั้งแต่เข้ามาเช็คอิน หากเขาไม่อยากเข้าไปทัก เกรงผู้คนจะครหานินทา แต่อดไม่ได้
ต้องลงไปในสวนของโรงแรม แล้วเก็บดอกไม้มาให้ฉัน เพื่อแสดงว่า...

"พี่ไม่เคยลืมรินเลยนะครับ"

เพียงคำพูดเท่านั้น แต่ทำไมสะเทือนใจฉันนักหนา ฉันคุยกับพี่อินต่อไปเรื่อยๆจนเลยเวลาขึ้นรถบัสไปสถานี
รถไฟนาริตะ ช่างมัน ไม่ไปสถานีรถไฟแล้ว เดี๋ยวรถบัสออก เพื่อนร่วมงานไม่เห็นฉันคงทราบเองว่าฉันเ
ปลี่ยนใจไม่ไป

พี่อินพาฉันเดินออกทางด้านหลังของโรงแรมไปที่ร้านอาหารเล็กๆขายแต่อาหารจำพวกปลา ที่นั่นฉันทานได้
ทานปลาย่างซีอิ๊วที่อร่อยที่สุดในโลก พี่อินทานปลาดิบ เขาชวนฉันให้ทาน แต่ฉันไม่ชอบปลาดิบสักนิด ฉันทา
นอาหารที่ไม่ปรุงสุกไม่ได้ เราเลยทานกันคนละอย่าง ไม่มีลูกเรือคนไหนมาที่ร้านนี้อาจจะเพราะเป็นร้าน
เดียวตั้งอยู่โดดๆ ไม่สนุกเหมือนนั่งรถบัสไปที่สถานีรถไฟ ที่นั่นร้านอาหารมีให้เลือกมาก มีซุปเปอร์มาร์
เก็ต มีร้านขายของน่ารัก และยังเดินไปห้างสรรพสินค้าจัสโก้ได้ด้วย บางคนอยากไปเที่ยวกลางคืนใน
โตกียว ไปช้อปปิ้งที่ฮาราจูกุ แหล่งรวมแฟชั่นก็สามารถขึ้นรถไฟไปได้เลย

ดีแล้วที่ไม่เจอคนอื่น ขี้เกียจโดนนินทา พี่อินมาถึงนาริตะวันวันเดียวกับฉัน จะอยู่สามคืนแล้วบินไปลอสแอน
เจลิส สหรัฐอเมริกา ขากลับมาแวะที่นาริตะอีก

"พี่จะไปแอลเอ รินไปซีแอ๊ตเติ้ล แล้วเราจะได้กลับมาเจอกันอีก.."

"ริน สบายดีจริงป่าวครับ ลูกๆเป็นไงบ้าง สงสัยหน้าตาดี พ่อก็หล่อ แม่ก็สวย”

พี่อินทราบข่าวฉันตลอดจากเพื่อนนักบินคนหนึ่ง เขาบอกว่าเขาห่วงฉันมากเพราะ...

"หนิงรอบจัด คนอย่างรินไม่ทันเค้าหรอก"

สุดท้ายฉันเผลอเล่าเรื่องลูกไก่และเชอร์รี่ไปจนได้

เล่าไปเล่ามาเลยพาลร้องไห้ ตอนนั้นเราเดินกันอยู่ในสวนดอกไม้ของโรงแรม ต้นไม้ใหญ่น้อยเต็มไปด้วย
ดอกไม้ ชวนให้นึกถึงคราวที่ไปนูเมียกับพี่อิน ยิ่งร้องหนักขึ้น มันเศร้านี่

พี่อินหยิบผ้าเช็ดหน้าลายทางสีหม่นออกมาจากกระเป๋ากางเกง ส่งให้ฉัน

"รินจ๋า อย่าร้องไห้ แล้วนี่พี่จะช่วยรินได้ยังไงดี เฮ้ออออ กลุ้ม..กลุ้ม...กลุ้ม..."

ฉันรับผ้าเช็ดหน้ามาจากพี่อิน ซับน้ำตาเอง คงไม่ค่อยดีถ้าจะให้พี่อินมาซับน้ำตาให้แบบในหนัง ฉันเตือนตัว
เองให้นึกถึงลูกรุ้งกับลูกเมฆตลอด

ลูกเป็นความรักที่มีความหมายกับฉัน มากกว่าความรักอื่นใด ลูกเปรียบเสมือนเนวิเกเตอร์ชี้ทางทุกครั้งที่ฉั
นจะเดินไปในทางผิดๆ

พี่อินเปลี่ยนเรื่องคุยจากเรื่องของฉันเป็นเรื่องอื่น

"รินดูสิครับ ว่าต้นนี้ต้นอะไร ทายซิ"

"พี่อินจะมาแกล้งอะไรริน รินกำลังเศร้านะคะ นี่มันต้นซากุระเห็นๆ ถามมาได้ไงคะเนี่ย"

"รินดูดีๆ กลีบดอกมันบางกว่าซากุระ สีก็แดงกว่า หอมด้วย ดมสิครับ พี่บอกตั้งแต่แรกที่เจอรินวันนี้แล้วว่า
มันดอกอะไรเอ่ย.."

ตอนท้ายพี่อินทำเสียงล้อๆราวกับล้อเด็ก

ฉันสบตาเขา นึกขึ้นได้ "ดอกเหมยๆ ใช่มั้ยคะพี่อิน"

"ใครบอก ดอกบ๊วยตาหาก" พี่อินทำหน้าทะเล้นะ

"โอย พี่อินอำรินอีกแล้ว ซากุระ ดอกเหมย ดอกบ๊วย รินงงแล้วนะ"

"เห็นมั้ย รินหยุดร้องไห้แล้ว พี่เห็นรินร้องไห้แล้วใจไม่ดี หัวใจจะวายตาย"

" พี่อินนี่น้า พูดเอาๆ แล้วตกลงดอกไม้นี่มันดอกอะไรกันแน่คะ อธิบายมาด่วน " ฉันเริ่มหายเศร้า ขำ
พี่อินที่พยายามเปลี่ยนอารมณ์ฉันได้สำเร็จ

พี่อินเป็นคนชอบต้นไม้ เป็นข้อหนึ่งที่เหมือนพี่หนิง เขาอธิบายให้ฉันฟังว่าที่แท้ดอกบ๊วยคือดอกเหมยที่คนจีนเ
รียก มีทั้งแบบมีผลทานได้และไม่มีผล คนญี่ปุ่นเรียกว่า UME เป็นดอกไม้ชนิดแรกที่บานในฤดูใบไม้ผลิ โดย
จะเริ่มบานตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม มีช่วงที่บานนานถึงเดือนเมษายน จะค่อยๆบาน ค่อยๆร่วง กลีบดอก
หนากว่าซากุระ และหอมมาก เป็นสัญญลักษณ์แห่งความโชคดี มีอายุยืนยาว มีความอ่อนเยาว์ยืนยง เป็น
ดอกไม้แห่งความหวังอง

ฉันเลยติดใจดอกเหมยเหรือดอกบ๊วยเข้าให้ในวันนั้นเอง ต่อมาทุกครั้งที่เห็นถุงบ๊วยต่างๆมีรูปดอกบ๊วย ฉัน
จะนึกถึงดอกบ๊วยจริงๆที่ฉันเห็นที่นาริตะเสมอ และจะคอยบอกใครๆว่า

"รู้ป่าว ดอกบ๊วยนี่นะมันคือดอกเหมยจ้า" แล้วบรรยายคุณสมบัติของดอกเหมยพ่วงเข้าไปอีก

กลับถึงโรงแรมค่ำมาก อากาศเริ่มเย็น เราเดินเกือบถึงตัวโรงแรมแล้ว พี่อินหันมาหาฉัน ประคองหน้า
ของฉันไว้ แล้วจูบฉันที่หน้าผากัน

"พรุ่งนี้ไปวัดนาริตะซังกันมั้ยครับริน ใกล้ๆนี่เอง พี่อยากพารินไปไหว้พระ รินจะได้มีความสุข รินเคยไป
แล้วยังครับ"

"ยังค่ะ ไปค่ะ"

เรานัดพบกันตอนเช้าที่ประตูหลังสวนในโรงแรม พี่อินบอกว่าไม่อยากให้ใครเห็นเราสองคน เขาไม่อยาก
ให้ใครมาเข้าใจผิด

ฉันแยกกับพี่อินตรงนั้น เขาบอกให้ฉันเข้าโรงแรมไปก่อน เข้าไปถึงล็อบบี้ เจอพี่จี๊ด (แอร์คนที่เคยไป
ตะวันออกกลางกับพี่อินและฉัน)นั่งคุยอยู่กับน้องบิว (เจ้าของชื่อบอกว่าย่อมาจาก BEAUTIFUL) สจ๊วต
สาวที่สวยเหมือนผู้หญิงจริงๆ นอกเครื่องแบบแล้วบิวแต่งตัวสวย สวมกางเกงขายาวเข้ารูป กับเชิร้ตตัว
สั้น รวบชายเสื้อมาผูกเป็นโบว์ไว้เหนือเอวนิดหน่อย ศีรษะมีผ้าโพกผมพันไว้อย่างเก๋ ชวนมอง คนที่ไม่
รู้จักบิว ต้องคิดว่าบิวเป็นหญิงแท้แน่นอน
บิวลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาหาฉันทันทีที่ก้าวเข้าไปถึงล็อบบี้ กระซิบกระซาบว่า

“ใครน่ะ พี่ริน บิวไม่ได้อยากแอบดูนะ มันเห็นเอง”

ตายหละ มีคนเห็น แล้วเรื่องแบบนี้จะลอดหูลอดตาขาเม้าท์ไปได้อย่างไรกัน

บิวยิ้มหวาน ทำหน้าคาดคั้นให้ฉันตอบคำถามเธอ

“เอ่อ ...เพื่อนเก่าน่ะบิว พี่เค้าออกไปอยู่สายการบินอื่นแล้ว พอดีไม่เจอกันนานหลายปีละ มาเจอกันที่นี่
เลยไปทานข้าวกันน่ะ ไม่มีอะไรหรอก บิวอย่าคิดมาก”

“แล้วพี่รินไม่กลัวพี่หนิงรู้เหรอ พี่หนิงคนหล่อของบิว พี่รินรู้มั้ย บิวกะจะออกจากบริษัทไปอยู่เดนมาร์กกะแ
ฟน แต่บิวยังอาลัยพี่หนิงอยู่เนี่ย อยากลองซักครั้ง พี่รินจะว่ามั้ย ขอบิวครั้งเดี๊ยว บิวจะไม่ลืมพระคุณพี่ริน
คนสวยเลย...”

“ฮ่าๆๆ บิวต้องคุยกับพี่หนิงเอง พี่ไม่เกี่ยว”

ฉันไม่ตอบคำถามตอนต้นของบิว บิวเองก็ไม่เอาใจใส่ค้นหาคำตอบ พอดีพี่จี๊ดลุกขึ้นมาสมทบ

“ริน เมื่อกี้พี่ไปหาซื้อแบตมือสองที่สเตชั่น หาไม่ได้เลย ไม่มีขายซักร้าน” พี่จี๊ดบ่นษัท

“ แบตอะไรล่ะคะพี่จี๊ด ถ้าสี่เอรินมี เดี๋ยวไปเอาให้ พี่จี๊ดใช้กี่ก้อน ใส่อะไรคะ แล้วทำไมต้องเป็นแบ
ตมือสองด้วย” ฉันซื่อตามเคย

“แบตไฟเก่างั้ยริน รินคงไม่ให้พี่หรอก ฮี่ๆๆๆๆ”

บิวหัวเราะเสียงสูง

“โห..มุกพี่จี๊ด แบตไฟเก่า เท่ากับถ่านไฟเก่า นี่บิวจะขำหรือไม่ขำดีเนี่ย”
“อ้ะ เพื่อความสามัคคี เพื่ออาหารดีๆจากเฟิร์สคลาส บิวขำก็ได้ ....ฮิ ฮิ ฮิ”

บิวทำเสียงเล็กเสียงน้อย แล้วการสอบถามเรื่องฉันกับพี่อินก็หวนกลับมาอีก ฉันบอกพี่จี๊ดกับบิวไปว่า พี่อิ
นกับฉันบังเอิญมาพบกันจริงๆ แล้วชวนทั้งสองคนให้ไปวัดด้วยกันในวันรุ่งขึ้น



“ไหนๆก็ไหนๆ แล้ว พรุ่งนี้เราไปวัดด้วยกันเลยดีมั้ย จะได้เห็นกันไปว่า แบตเก่าที่พี่จี๊ดว่ามามันหมดอายุไ
ปนานแล้ว ไปดูให้เห็นกับตา จะได้เป็นพยานให้รินได้ ถ้าเกิดพี่หนิงรู้ขึ้นมา”

“พี่รินกลัวพี่หนิงด้วยเหรอฮ้า บิวว่าพี่หนิงน่าจะกลัวพี่ริน เอ๊ย เกรงใจพี่รินมากกว่าน้า พี่หนิงออกจะ
เจ้าชู้ขนาดนั้น คนเจ้าชู้น่ะ กลัวเมีย แต่แหม เมียอย่างพี่ริน น่ากลัวตาย พี่รินต้องเล่นบทโหดๆมั่ง
เอาป่ะ เดี๋ยวบิวเทรนให้ บทนางร้ายเหนือนางร้าย บิวเชี่ยวนะ ขอบอกๆ”

บิวเจื้อยแจ้วไปได้เรื่อย มองเธอแล้วเพลินจริงๆ หน้าเล็กๆ สวยงาม ผิวเนียนละเอียด พระเจ้าคงใส่
เพศให้บิวผิดเป็นแน่

เปลี่ยนเรื่องคุยกันไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ พี่จี๊ดกับบิวน่ารักมากตรงที่ไม่ถามฉันเรื่องพี่หนิงกับเชอร์รี่เลย

สองคนตกลงไปด้วย เช้าไปวัด บ่ายช้อปปิ้ง เย็นไปฮานามิ

“บิวอย่าแต่งตัวเซ็กส์ซี่มากนักล่ะ พรุ่งนี้ไปวัด เอาเรียบร้อยหน่อย เดี๋ยวพระท่านเห็นบิวแล้วเกิดซู่ซ่าขึ้นม
ามันจะไม่ดีนะ บาปรู้มั้ย”

พี่จี๊ดสั่งสอนบิว มาคราวนี้พี่จี๊ดดูธรรมะธรรโมขึ้น ไม่เหมือนครั้งแรกที่ไปตะวันออกกลางด้วยกัน เธอนินทา
ภรรยาพี่อิน แถมยุให้ฉันแย่งพี่อินเอาเสียด้วย

คืนนั้น พี่อินไม่ได้โทร.มาที่ห้องฉัน ไม่มีบทโรแม้นซ์อะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น แล้วแบบนี้จะไม่ให้ใจฉันยิ้มเวลานึ
กถึงพี่อินได้อย่างไร

วันรุ่งขึ้น เมื่อเจอพี่อินตามนัด ฉันบอกพี่อินว่า ฉันชวนพี่จี๊ดกับบิวไปด้วยเพื่อกันข้อครหา พี่อินไม่ว่าอะไร

พี่จี๊ดลงมาก่อนบิว ทักทายพี่อินอย่างคนรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน บิวลงมาช้าสุด มาถึงรีบยกมือไหว้กราดม่

“บิวขอโทษนะฮะที่มาช้า บิวมัวหาชุดเรียบร้อยอยู่ โอย กว่าจะครีเอทได้ ดูสิฮ้าพี่จี๊ด ชุดนี้เป็นไง หวาน
แหววมั้ย”



บิวหมุนตัวไปมา ฉันเพิ่งสังเกตว่าบิวมีหน้าอกด้วย เธอสวยเหมือนผู้หญิงจริงๆ

ความสวยของบิวเป็นที่ยอมรับกันในหมู่ลูกเรือว่าฟ้าส่งเธอมาเกิดผิดแท้ๆ

บิวสวมเสื้อเชิ้ร์ตแขนยาวสีขาวจุดดำ สอดชายเสื้อไว้ในกางเกงขายาวสีดำ คล้องเอวไว้หลวมๆด้วย
สายไข่มุกเม็ดใหญ่น้อยร้อยแบบพันกันไว้ สวมรองเท้าคัทชูสีดำประดับริบบิ้นเล็กๆ โพกผมด้วยแพรสีขาว

หลังจากชมเชยความสวยแบบเชียร์กันเองของแต่ละคนแล้ว เราทั้งสี่ออกเดินทางไปวัดนาริตะซัง


เหตุการณ์วันนั้นเป็นเรื่องที่ฉันลืมไม่ลงอีกเรื่องหนึ่งในชีวิต

นี่คือ 10 ตอนแรก ปัจจุบัน มีถึงตอน 16.1

แล้วจะเอามาลงอย่างต่อเนื่อง

คุณแอร์กี่ ยังไม่ได้เขียนตอนที่ 16.2

เหตุการณ์จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

อ่านต่อที่  แอร์กี่ (จุดจบของชีวิตรันทด) ตอน2
ข้อมูลจาก

http://board.dserver.org/s/seurkayeng/00000476.html


ข้อมูลจาก http://www.exact.co.th/2007/12/27/exact/1096/



 







 

 

 

 


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที