ปิยเกียรติ

ผู้เขียน : ปิยเกียรติ

อัพเดท: 25 ส.ค. 2023 14.42 น. บทความนี้มีผู้ชม: 12998 ครั้ง

การอ่านค่าความดันโลหิตนั้นสำคัญ เพื่อประเมินสุขภาพของหัวใจ และระบบหลอดเลือดของร่างกาย ปกติแล้วค่าความดันโลหิตจะถูกแสดงในรูปสองตัวเลข ส่วนตัวเลขที่สามจะมีในบางรุ่นถ้าไม่มี คุณสามารถคำนวณได้.


การอ่านค่าความดันโลหิต 3 ค่า

การอ่านค่าความดันโลหิต 3 ค่า

โพสเมื่อ : 2023-08-25 | โดย : onlinemarketting

bloodpressure.png

การอ่านค่าความดันโลหิต โดยปกติทั่วไป เครื่องวัดความดันโลหิต  ที่ใช้อย่างง่าย มักจะแสดงความดันโลหิต 2 ค่า บนหน้าจอมอนิเตอร์ โดยมีหน่วยเป็นมิลลิเมตรปรอท คือค่าความดันโลหิตตัวบน (systolic) และค่าความดันโลหิตตัวล่าง (diastolic) เช่น 120/80 mmHg แต่เครื่องวัดความดันโลหิต บางแบรนด์ ก็จะมีค่า ที่ 3 คือความดันโลหิตเฉลี่ยต่อการวัด (mean) อยู่ด้วย

การอ่านค่าความดันโลหิตนั้นสำคัญ เพื่อประเมินสุขภาพของหัวใจ และระบบหลอดเลือดของร่างกาย ปกติแล้วค่าความดันโลหิตจะถูกแสดงในรูปสองตัวเลข : ความดันโลหิตช่วงบน (Systolic Blood Pressure) และความดันโลหิตช่วงล่าง (Diastolic Blood Pressure) โดยวัดด้วยหน่วยมิลลิเมตรปรอทของประเทศเรา แต่หากคุณใช้หน่วยอื่น ๆ เช่น มิลลิเมตรปรอท (mmHg) ก็สามารถแปลงค่าได้ตามความเหมาะสม

วิธีการอ่านค่าความดันโลหิต

ความดันโลหิตช่วงบน (Systolic Blood Pressure): คือค่าความดันเมื่อหัวใจบีบตัวขับเลือดออกจากหลอดเลือด มักแสดงถึงด้านบนของรายงาน (ตัวเลขที่อยู่หน้าสุด) หน่วยเป็นมิลลิเมตรปรอท (mmHg)

ความดันโลหิตช่วงล่าง (Diastolic Blood Pressure): คือค่าความดันเมื่อหัวใจคลายตัวและเต็มอิ่มเลือดใหม่เข้าไปในหลอดเลือด มักแสดงถึงด้านล่างของรายงาน (ตัวเลขที่อยู่หลังสุด) หน่วยเป็นมิลลิเมตรปรอท (mmHg)

เมื่อได้ค่าความดันโลหิตทั้งสองตัวเลข จะถูกเขียนเป็นรูป "ความดันโลหิตช่วงบน/ความดันโลหิตช่วงล่าง" ตัวอย่างเช่น 120/80 mmHg หรือ 120 บน / 80 ล่าง

ค่าความดันโลหิตที่เหมาะสม จะอยู่ที่ 90/60 mmHg ถึง 120/80 mmHg โดยการวัดความดันโลหิตแบบที่ใช้กันอยู่มีหลายวิธี โดยทั่วไปแล้วใช้เครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติหรือแบบมือ ได้แก่:

เครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติ (Digital Blood Pressure Monitor): สามารถวัดค่าความดันโลหิตได้อย่างง่ายและสะดวก คุณเพียงแต่ติดตั้งแขนบนเครื่อง แล้วเครื่องจะอ่านค่าความดันโลหิตให้เอง

การวัดความดันโลหิตแบบมือ:ใช้สำหรับวัดค่าความดันโลหิตโดยใช้สายบรรทัดคล้อง (Stethoscope) และมณฑลความดันโลหิต (Sphygmomanometer) เพื่อตรวจสอบการไหลของเสียงเหมือนการหาตำแหน่งของเสียงหัวใจในการบีบตัวและคลายตัวของเลือดในหลอดเลือด

สุดท้ายแล้ว การอ่านค่าความดันโลหิตเป็นเพียงคำแนะนำเบื้องต้นเท่านั้น หากคุณมีความสงสัยหรือต้องการประเมินสุขภาพที่แม่นยำมากขึ้น ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เพื่อประเมินและให้คำแนะนำเพิ่มเติม

แล้วค่า mean ของความดันโลหิต คืออะไร แปลผลอย่างไร

ค่า "mean" ของความดันโลหิต ในที่นี้ คือ ค่า MAP ย่อมาจาก "Mean Arterial Pressure" ซึ่งเป็นค่าความดันโลหิตเฉลี่ยในหลอดเลือดในระยะเวลาเฉพาะ ค่า MAP มีความสำคัญในการประเมินการไหลของเลือดในหลอดเลือด และการส่งออกออกซิเจนไปยังเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย

แต่การอธิบายค่านี้ในเชิงแพทย์มีความซับซ้อน คุณควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เพื่อเข้าใจและแปลค่า MAP ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของคุณอย่างถูกต้องและเป็นรายละเอียด.

ค่า Mean Arterial Pressure (MAP) ปกติอยู่ระหว่าง 70-100 mmHg โดยคำนวณจาก

MAP = DBP + [ ( SBP − DBP )/3 ]

เมื่อ: SBP คือ ความดันโลหิตช่วงบน (Systolic Blood Pressure) DBP คือ ความดันโลหิตช่วงล่าง (Diastolic Blood Pressure)

ถ้า MAP ผิดปกติ ?

ถ้าค่า Mean Arterial Pressure (MAP) แคบลงมานอกช่วง ปกติที่อยู่ระหว่าง 70-100 mmHg อาจมีความหมายเกี่ยวกับภาวะที่เกิดขึ้นกับระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งอาจแสดงถึงปัญหาหรือเปลี่ยนแปลงทางสุขภาพ ตัวอย่างเช่น:

เสี่ยงการช็อก: การมีค่า MAP แคบลงอาจแสดงถึงเสี่ยงที่จะเกิดภาวะช็อก เช่น ภาวะช็อกไขมันส่วนตัวหรือภาวะช็อกเส้นเลือดรุนแรง.

ปัญหาทางหัวใจ: ค่า MAP ที่แคบลงอาจเป็นสัญญาณว่าระบบหัวใจมีปัญหา เช่น ความดันโลหิตช่วงบนต่ำหรือเป็นภาวะหัวใจวาย.

การขาดเลือด: ค่า MAP ที่แคบลงอาจเกิดจากการขาดเลือดในร่างกาย ทำให้การไหลของเลือดเข้าสู่เซลล์และอวัยวะลดลง.

การติดเชื้อร้าย: ภาวะความเสี่ยงเป็นพิเศษอาจเกิดขึ้นเมื่อค่า MAP แคบ ซึ่งสามารถเกิดจากการติดเชื้อร้าย เช่น การติดเชื้อในระบบประสาท.

ถ้าค่า Mean Arterial Pressure (MAP) กว้างเกินไป อาจเกิดจากปัจจัยหลายประการที่สามารถส่งผลต่อความดันโลหิตและระบบหลอดเลือดได้ ภาวะที่ค่า MAP กว้างละนั้นอาจมีหลายสาเหตุ เช่น:

อายุ: หลอดเลือดสามารถสูญเสียความยืดหยุ่นได้เมื่อเกิดกระบวนการเกี่ยวกับอายุ การสูญเสียความยืดหยุ่นของหลอดเลือดสามารถทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความดันโลหิตช่วงบน.

การติดเชื้อ (Infection or Inflammation): ภาวะที่ทำให้ร่างกายต้องปรับตัวเพื่อสู้กับการติดเชื้อหรือการต่อสู้กับสิ่งที่ไม่พึงประสงค์อาจเป็นสาเหตุให้ค่า MAP กว้างขึ้น.

โรคหัวใจและหลอดเลือด: ความผิดปกติในระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจวาย, โรคความดันโลหิตสูง, โรคหลอดเลือดสมองคอร์ทิคอล (Cerebral Arteriosclerosis) อาจทำให้ค่า MAP สูงขึ้น.

โรคเรื้อรัง: โรคเรื้อรังเช่น โรคไต, โรคเบาหวาน, และโรคไทรอยด์ เป็นต้น อาจทำให้ค่า MAP เพิ่มขึ้นเนื่องจากผลกระทบต่อระบบหลอดเลือดและการไหลของเลือด.

การทานยาหรือสารเสพติด: บางครั้งการทานยาหรือสารเสพติดบางชนิดอาจส่งผลกระทบต่อระบบหลอดเลือดและความดันโลหิต ทำให้ค่า MAP สูงขึ้น.

สรุป

ส่วนใหญ่แล้วการอ่านค่าความดันโลหิต มักจะอิงตามอายุ และภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล โดยแพทย์ประจำตัวจะระบุความดันโลหิตของคุณว่าควรอยู่ในช่วงใด และเมื่อเกินช่วงความดันโลหิตที่แพทย์กำหนด คุณควรปรึกษาแพทย์

ไม่ควรปล่อยให้ความดันโลหิตผิดปกตินานเกินไป เพราะอาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของคุณได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม และรับคำแนะนำในการดูแลสุขภาพของคุณ.

 


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที