โพสเมื่อ : 2023-08-25 | โดย : onlinemarketting
การอ่านค่าความดันโลหิต โดยปกติทั่วไป เครื่องวัดความดันโลหิต ที่ใช้อย่างง่าย มักจะแสดงความดันโลหิต 2 ค่า บนหน้าจอมอนิเตอร์ โดยมีหน่วยเป็นมิลลิเมตรปรอท คือค่าความดันโลหิตตัวบน (systolic) และค่าความดันโลหิตตัวล่าง (diastolic) เช่น 120/80 mmHg แต่เครื่องวัดความดันโลหิต บางแบรนด์ ก็จะมีค่า ที่ 3 คือความดันโลหิตเฉลี่ยต่อการวัด (mean) อยู่ด้วย
การอ่านค่าความดันโลหิตนั้นสำคัญ เพื่อประเมินสุขภาพของหัวใจ และระบบหลอดเลือดของร่างกาย ปกติแล้วค่าความดันโลหิตจะถูกแสดงในรูปสองตัวเลข : ความดันโลหิตช่วงบน (Systolic Blood Pressure) และความดันโลหิตช่วงล่าง (Diastolic Blood Pressure) โดยวัดด้วยหน่วยมิลลิเมตรปรอทของประเทศเรา แต่หากคุณใช้หน่วยอื่น ๆ เช่น มิลลิเมตรปรอท (mmHg) ก็สามารถแปลงค่าได้ตามความเหมาะสม
ความดันโลหิตช่วงบน (Systolic Blood Pressure): คือค่าความดันเมื่อหัวใจบีบตัวขับเลือดออกจากหลอดเลือด มักแสดงถึงด้านบนของรายงาน (ตัวเลขที่อยู่หน้าสุด) หน่วยเป็นมิลลิเมตรปรอท (mmHg)
ความดันโลหิตช่วงล่าง (Diastolic Blood Pressure): คือค่าความดันเมื่อหัวใจคลายตัวและเต็มอิ่มเลือดใหม่เข้าไปในหลอดเลือด มักแสดงถึงด้านล่างของรายงาน (ตัวเลขที่อยู่หลังสุด) หน่วยเป็นมิลลิเมตรปรอท (mmHg)
เมื่อได้ค่าความดันโลหิตทั้งสองตัวเลข จะถูกเขียนเป็นรูป "ความดันโลหิตช่วงบน/ความดันโลหิตช่วงล่าง" ตัวอย่างเช่น 120/80 mmHg หรือ 120 บน / 80 ล่าง
ค่าความดันโลหิตที่เหมาะสม จะอยู่ที่ 90/60 mmHg ถึง 120/80 mmHg โดยการวัดความดันโลหิตแบบที่ใช้กันอยู่มีหลายวิธี โดยทั่วไปแล้วใช้เครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติหรือแบบมือ ได้แก่:
เครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติ (Digital Blood Pressure Monitor): สามารถวัดค่าความดันโลหิตได้อย่างง่ายและสะดวก คุณเพียงแต่ติดตั้งแขนบนเครื่อง แล้วเครื่องจะอ่านค่าความดันโลหิตให้เอง
การวัดความดันโลหิตแบบมือ:ใช้สำหรับวัดค่าความดันโลหิตโดยใช้สายบรรทัดคล้อง (Stethoscope) และมณฑลความดันโลหิต (Sphygmomanometer) เพื่อตรวจสอบการไหลของเสียงเหมือนการหาตำแหน่งของเสียงหัวใจในการบีบตัวและคลายตัวของเลือดในหลอดเลือด
สุดท้ายแล้ว การอ่านค่าความดันโลหิตเป็นเพียงคำแนะนำเบื้องต้นเท่านั้น หากคุณมีความสงสัยหรือต้องการประเมินสุขภาพที่แม่นยำมากขึ้น ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เพื่อประเมินและให้คำแนะนำเพิ่มเติม
ค่า "mean" ของความดันโลหิต ในที่นี้ คือ ค่า MAP ย่อมาจาก "Mean Arterial Pressure" ซึ่งเป็นค่าความดันโลหิตเฉลี่ยในหลอดเลือดในระยะเวลาเฉพาะ ค่า MAP มีความสำคัญในการประเมินการไหลของเลือดในหลอดเลือด และการส่งออกออกซิเจนไปยังเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย
แต่การอธิบายค่านี้ในเชิงแพทย์มีความซับซ้อน คุณควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เพื่อเข้าใจและแปลค่า MAP ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของคุณอย่างถูกต้องและเป็นรายละเอียด.
ค่า Mean Arterial Pressure (MAP) ปกติอยู่ระหว่าง 70-100 mmHg โดยคำนวณจาก
MAP = DBP + [ ( SBP − DBP )/3 ]
เมื่อ: SBP คือ ความดันโลหิตช่วงบน (Systolic Blood Pressure) DBP คือ ความดันโลหิตช่วงล่าง (Diastolic Blood Pressure)
ถ้าค่า Mean Arterial Pressure (MAP) แคบลงมานอกช่วง ปกติที่อยู่ระหว่าง 70-100 mmHg อาจมีความหมายเกี่ยวกับภาวะที่เกิดขึ้นกับระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งอาจแสดงถึงปัญหาหรือเปลี่ยนแปลงทางสุขภาพ ตัวอย่างเช่น:
เสี่ยงการช็อก: การมีค่า MAP แคบลงอาจแสดงถึงเสี่ยงที่จะเกิดภาวะช็อก เช่น ภาวะช็อกไขมันส่วนตัวหรือภาวะช็อกเส้นเลือดรุนแรง.
ปัญหาทางหัวใจ: ค่า MAP ที่แคบลงอาจเป็นสัญญาณว่าระบบหัวใจมีปัญหา เช่น ความดันโลหิตช่วงบนต่ำหรือเป็นภาวะหัวใจวาย.
การขาดเลือด: ค่า MAP ที่แคบลงอาจเกิดจากการขาดเลือดในร่างกาย ทำให้การไหลของเลือดเข้าสู่เซลล์และอวัยวะลดลง.
การติดเชื้อร้าย: ภาวะความเสี่ยงเป็นพิเศษอาจเกิดขึ้นเมื่อค่า MAP แคบ ซึ่งสามารถเกิดจากการติดเชื้อร้าย เช่น การติดเชื้อในระบบประสาท.
ถ้าค่า Mean Arterial Pressure (MAP) กว้างเกินไป อาจเกิดจากปัจจัยหลายประการที่สามารถส่งผลต่อความดันโลหิตและระบบหลอดเลือดได้ ภาวะที่ค่า MAP กว้างละนั้นอาจมีหลายสาเหตุ เช่น:
อายุ: หลอดเลือดสามารถสูญเสียความยืดหยุ่นได้เมื่อเกิดกระบวนการเกี่ยวกับอายุ การสูญเสียความยืดหยุ่นของหลอดเลือดสามารถทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความดันโลหิตช่วงบน.
การติดเชื้อ (Infection or Inflammation): ภาวะที่ทำให้ร่างกายต้องปรับตัวเพื่อสู้กับการติดเชื้อหรือการต่อสู้กับสิ่งที่ไม่พึงประสงค์อาจเป็นสาเหตุให้ค่า MAP กว้างขึ้น.
โรคหัวใจและหลอดเลือด: ความผิดปกติในระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจวาย, โรคความดันโลหิตสูง, โรคหลอดเลือดสมองคอร์ทิคอล (Cerebral Arteriosclerosis) อาจทำให้ค่า MAP สูงขึ้น.
โรคเรื้อรัง: โรคเรื้อรังเช่น โรคไต, โรคเบาหวาน, และโรคไทรอยด์ เป็นต้น อาจทำให้ค่า MAP เพิ่มขึ้นเนื่องจากผลกระทบต่อระบบหลอดเลือดและการไหลของเลือด.
การทานยาหรือสารเสพติด: บางครั้งการทานยาหรือสารเสพติดบางชนิดอาจส่งผลกระทบต่อระบบหลอดเลือดและความดันโลหิต ทำให้ค่า MAP สูงขึ้น.
ส่วนใหญ่แล้วการอ่านค่าความดันโลหิต มักจะอิงตามอายุ และภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล โดยแพทย์ประจำตัวจะระบุความดันโลหิตของคุณว่าควรอยู่ในช่วงใด และเมื่อเกินช่วงความดันโลหิตที่แพทย์กำหนด คุณควรปรึกษาแพทย์
ไม่ควรปล่อยให้ความดันโลหิตผิดปกตินานเกินไป เพราะอาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของคุณได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม และรับคำแนะนำในการดูแลสุขภาพของคุณ.
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที