ปิยเกียรติ

ผู้เขียน : ปิยเกียรติ

อัพเดท: 25 ส.ค. 2023 02.44 น. บทความนี้มีผู้ชม: 262 ครั้ง

ชัก ในเด็ก เป็นภาวะเร่งด่วนทางการแพทย์ ซึ่งต้องการการช่วยเหลือเบื้องต้นที่เหมาะสม mediprosupply จะขอแนะนำวิธีการปฏิบัติตามขั้นตอนในกรณีฉุกเฉินเมื่อเด็กมีอาการชัก


ทำอย่างไร เมื่อลูกชัก (อาการ ชักในเด็ก)

ทำอย่างไร เมื่อลูกชัก (อาการ ชักในเด็ก)

โพสเมื่อ : 2023-08-17 | โดย : onlinemarketting

Contact Us.png

ชักในเด็ก เป็นภาวะเร่งด่วนทางการแพทย์ ซึ่งต้องการการช่วยเหลือเบื้องต้นที่เหมาะสม ก่อนส่งตัวไปพบแพทย์ และมักเป็นเรื่องที่สร้างความตระหนกให้กับผู้ปกครอง และครู เป็นอย่างมาก เด็กที่ชักจะมีอาการชักกระตุก และหมดสติไปชั่วคราว ส่วนใหญ่อาการชักจะเกิดในช่วงเวลาสั้นๆ และหยุดได้เอง

ในการดูแลเด็กในช่วงเวลาที่เครียดและไม่แน่ใจ ด้วยเหตุนี้ การมีความรู้เกี่ยวกับวิธีการช่วยเหลือเบื้องต้นเมื่อเด็กมีอาการชักเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ปกครองและครูควรมีความเข้าใจอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เด็กได้รับการดูแลและการปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้องก่อนจะส่งตัวไปพบแพทย์เพื่อการรักษาอย่างเหมาะสม

ในบทความนี้ mediprosupply จะขอแนะนำวิธีการปฏิบัติตามขั้นตอนในกรณีฉุกเฉินเมื่อเด็กมีอาการชัก และให้คำแนะนำเพื่อให้ผู้ปกครองและครูมีความมั่นใจในการช่วยเหลือเบื้องต้นที่เหมาะสมในกรณีที่เด็กประสบการชักในเวลาไม่คาดคิด

สาเหตุ อาการ ชักในเด็ก

อาการชักในเด็กส่วนใหญ่ มักเกิดจากไข้สูงที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด โดยทั่วไปแล้ว เด็กที่มีไข้สูงมักจะเข้าสู่สถานะที่เรียกว่า "ชักจากไข้" (febrile seizure) ซึ่งเป็นอาการชักที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เด็กมีไข้สูง อาการชักในกรณีนี้มักจะเป็นชักกระตุกที่ไม่ค่อยรุนแรง และหยุดเองภายในเวลาสั้น ๆ

อาการชักเนื่องจากไข้สูง พบบ่อยจากปัจจัยร่วม 3 ประการ คือ

สาเหตุของไข้ที่พบบ่อย ในเด็กที่มีอาการชักเนื่องจากไข้

ไข้หวัด (Common Cold): ไข้หวัดเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ระบาดอยู่ในสังคม อาการชักที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของร่างกายหรืออาจมีความผิดปกติในการตอบสนองประสาทต่อการติดเชื้อ

หูชั้นกลางอักเสบ (Otitis Media): หูชั้นกลางอักเสบเกิดจากการติดเชื้อในหูชั้นกลาง อาการชักที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากการกระตุกของระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการรับส่งสัญญาณระหว่างหูและสมอง

ทางเดินปัสสาวะอักเสบ (Urinary Tract Infection, UTI): ทางเดินปัสสาวะอักเสบเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ อาการชักอาจเกิดจากการกระตุกของระบบประสาทในพื้นที่ที่เชื่อมต่อกับทางเดินปัสสาวะ

ส่าไข้ (Malaria): ส่าไข้เกิดจากการติดเชื้อแมลาเรีย อาการชักที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากความผิดปกติในระบบประสาทหรือการตอบสนองของร่างกายต่อการติดเชื้อ

โรคท้องเสีย (Diarrhea): โรคท้องเสียเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินอาหาร อาการชักที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากความผิดปกติในการส่งสัญญาณระหว่างระบบประสาทและเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อ

นอกจากนี้ เด็กที่มีไข้และชัก อาจมีสาเหตุจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งเป็นโรคที่พบได้น้อย แต่มีความรุนแรงมาก และต้องการการวินิจฉัยที่เร่งด่วนเพื่อการรักษาที่ถูกต้อง

ส่วนกรณีที่ ชักแต่ไม่มีไข้

ในเด็กที่พบได้ เกิดจากสภาวะความผิดปกติในระบบประสาทในสมอง ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ต่อไปนี้คือสาเหตุที่อาจเกิดการชักในเด็ก:

โรคอย่างต่อเนื่อง (Chronic Conditions): บางเด็กอาจมีโรคเรื้อรังเช่น โรคลมบ้าหมู (Epilepsy) ซึ่งเป็นภาวะที่มีการเกิดอาการชักเป็นประจำ เพราะการทำงานผิดปกติของเซลล์ประสาทในสมอง

สาเหตุพันธุกรรม (Genetic Factors): บางครั้งอาการชักอาจเกิดจากพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ หรือเกิดขึ้นในครอบครัวที่มีประวัติของโรคชัก

ความไม่สมดุลของระบบการเผาพลาญ (Metabolic Imbalances): บางครั้งอาการชักอาจเกิดจากสภาวะที่เกี่ยวกับการทำงานของระบบการตั้งสติประสาท เช่น ปัญหาในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

การบาดเจ็บสมอง (Head Injuries): บาดเจ็บสมองที่เกิดขึ้นในเด็กอาจส่งผลให้เกิดอาการชักในอนาคต โดยเฉพาะหากบาดเจ็บเกิดในส่วนของสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหวและความสามารถในการสื่อสาร

สารเคมีที่ผิดปกติในสมอง (Neurotransmitter Imbalances): ความไม่สมดุลของสารเคมีที่ส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทในสมองอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการชัก

อุบัติเหตุ (Accidents): อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในขณะเกิดหรือหลังจากเกิดอาการชัก อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการชัก

การตั้งครรภ์ที่ผิดปกติ (Prenatal Factors): ปัจจัยที่เกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น การแพ้ยา การติดเชื้อ หรือความผิดปกติในการพัฒนาสมอง เป็นต้น

การติดเชื้อสมอง (Brain Infections): การติดเชื้อสมอง เช่น โรคไข้สมองอักเสบ หรือโรคอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทในสมองอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการชัก

อย่างไรก็ดี สาเหตุของการชักในเด็กอาจมีความซับซ้อนและคาดเดาไม่ได้ในบางกรณี หากเด็กมีอาการชักหรือผู้ปกครองสงสัยว่าเด็กมีปัญหาทางสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาอย่างเหมาะสม

ข้อปฎิบัติเมื่อเด็กชัก

ตั้งสติ: เมื่อเด็กชักจะทำให้คนรอบข้างตื่นตกใจ จำให้มั่นว่าต้งตั้งสติ ไม่ฟูมฟาย หรือลนจนทำอะไรไม่ถูก เพราะสิ่งสำคัญคือ การปฐมพยาบาล ห้ามเขย่าหรือตีเด็ก

จับนอนในท่าตะแคงและอยู่ในที่โล่ง: เพื่อให้อากาศถ่ายเท และหายใจสะดวก เพื่อเป็นการป้องกันเสมหะ อาหารหรือน้ำลายอุดตันหลอดลม ควรให้เด็กตะแคง ศีรษะต่ำเล็กน้อย หรือนอนหงายหันศีรษะไปข้างใดข้างหนึ่ง

อยู่ในสถานที่ปลอดภัย: ให้พยายามเลื่อนเด็กไปยังที่ปลอดภัยเมื่อเห็นว่าเด็กกำลังจะชัก หลีกเลี่ยงสิ่งของที่อันตรายและผู้คนที่อาจกระทบต่อเด็ก.

ไม่ควรเอาของใส่ปาก: ห้ามใส่ของเพื่องัดปาก หรือให้เด็กกัด เช่น ช้อน ผ้า หรือนิ้วมือตัวเอง สอดหรืองัดในปากเด็ก เพราะจะยิ่งอันตราย ฟันอาจจะหักหลุดไปอุดตันหลอดลม หายใจไม่ออก ส่งผลให้พิการหรือเสียชีวิตได้

ปลดเสื้อผ้าเด็ก: เพื่อระบายความร้อน และง่ายต่อการปฐมพยาบาล

เช็ดตัวด้วยน้ำที่อุณหภูมิห้อง: เมื่อเด็กหยุดชักและรู้สึกตัวดีสามารถให้ยาลดไข้ได้

อยู่ติดกับเด็ก: อยู่ติดกับเด็กและป้องกันไม่ให้เด็กไปชนหรือกระทบสิ่งอื่น อย่างไรก็ตาม, ควรปล่อยให้เด็กมีพื้นที่เพียงพอในการเคลื่อนไหว.

ปรึกษาแพทย์: หากเด็กชักมานานหรือไม่หยุดแม้แต่แบบชั่วคราว ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง.

หลีกเลี่ยงปัญหา: ไม่ควรพยายามจับเด็กหรือทำให้เด็กหยุดการชักด้วยวิธีใดๆ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้.

ระวังความปลอดภัย: เมื่อเด็กกลับมาตื่น ให้ตรวจสอบว่าไม่มีบาดเจ็บหรืออาการผิดปกติอื่นๆ และดูแลให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอ.

บันทึกข้อมูล: ควรจดบันทึกเกี่ยวกับการชักของเด็ก เช่น ระยะเวลาที่เกิดการชัก, ลักษณะของการชัก, สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการชัก ซึ่งจะมีประโยชน์ในการวินิจฉัยและการรักษาในอนาคต.

หาความช่วยเหลือ: หากการชักของเด็กเป็นอย่างรุนแรงและไม่หยุด ควรรีบขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่มีความรู้และประสบการณ์ในการจัดการกับเด็กชัก.

การป้องกัน

การป้องกันอาการชัก และอาการชักซ้ำเนื่องจากไข้ ทำได้ด้วยการลดไข้จากการเช็ดตัวและรับประทานยาลดไข้ ควรทำการวัดไข้ซ้ำเป็นระยะ จนกว่าไข้จะลดลง หรือหายไป

ปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์ หลังจากการชัก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติมและกำหนดแผนการดูแลเด็กในอนาคต.

หากเด็กของคุณมีปัญหาเกี่ยวกับการชัก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพของเด็ก.

สรุป

เวลาที่เด็กชักเป็นสถานการณ์ ที่ต้องการการจัดการ และการตอบสนองที่ถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยของเด็ก การตอบสนอง ต้องใช้สติ และหากเด็กมีประวัติความชักหรือเสี่ยงที่สูง ควรเตรียมตัวและรู้วิธีการจัดการในกรณีฉุกเฉิน

การดูแลเด็กในระหว่างชักจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้เด็กกระทบสิ่งอื่น และไม่ควรวางของใส่ปากเด็ก เพื่อความปลอดภัย และเพื่อให้เด็กมีพื้นที่ในการเคลื่อนไหว หลังจากชักควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม.

การดูแลเด็กในระหว่างการชักเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อป้องกันความเสี่ยงและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น การไม่จับเด็กหรือทำให้เด็กหยุดการชักด้วยวิธีใดๆ เป็นทางเลือกที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากอาจทำให้เกิดบาดเจ็บและเป็นอันตราย

หากเด็กชักนานหรือไม่หยุด ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อการดูแล การจดบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการชักเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการวินิจฉัย และวางแผนการรักษาในอนาคต ในทุกกรณีควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อการดูแลและป้องกันการชักในอนาคตอย่างเหมาะสม.

 


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที