หัวข้อ:
รถยนต์ที่ใช้:
Toyota Corola, Toyota Camry, Honda Accord อาหารที่ชอบ: อาหารไทย, จีน รายการโทรทัศน์ที่ดูประจำ: ข่าว, สารคดี หนังสือที่ชอบอ่าน: การบริหารจัดการ, แมกกาซีน ภาพยนตร์ที่ชอบดู: หนังชีวิต, หนังประวัติศาสตร์ อุปกรณ์ IT ที่ซื้อล่าสุด: คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค เว็บไซต์ที่เข้าเป็นประจำ: |
ทีมงาน : อาจารย์ครับ อยากให้อาจารย์ บอกประวัติ คร่าวๆ ของอาจารย์ครับ ศ.ดร. วิวัฒน์ : คืออยากให้เห็นภาพชัดก็จะเริ่มตั้งแต่ก่อนนั้นนิดหนึ่งนะครับ ก็คือว่าหลายคนมองว่า นักวิทยาศาสตร์เป็นยังไงต้องเก่งขนาดไหนถึงมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ จริงแล้วสมัยผมเรียนประถมเรียนอะไรก็ไม่เรียนเก่งนะครับ เคยได้สูงสุดก็ได้เป็นที่ 2 ของห้องเรียนซึ่งเป็นครั้งเดียวส่วนใหญ่ก็อยู่ประมาณที่ 7 ที่ 8 แถวนั้นนะครับ ตอนเรียนมัธยมต้น ก็จะเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญศึกษา โรงเรียนอยู่ติดกับอัสสัมชัญบางรัก ปัจจุบันเป็นโรงเรียนที่มีแต่ผู้หญิงอย่างเดียวนะครับ พอจบ ป.4 ตอนนั้นทางโรงเรียนก็ไม่ให้อยู่ต่อเนื่องจากที่นั้นเป็นโรงเรียนผู้หญิง พอขึ้น ป.5 เลยต้องย้าย สมัยยุคที่ผมเรียนนั้นก็คือเขาจะบังคับให้เรียนถึง ป.4 แล้วก็มี ม.1 - ม.8 ผมก็พยายามไปสอบเข้าอัสสัมชัญบางรักก็สอบไม่ติดนะครับ คือไม่ได้ไปเรียนพิเศษ ไม่ได้เป็นเด็กที่เรียนเก่งอะไร ก็เลยไปเรียนโรงเรียนเอกชนมีชื่อว่าโรงเรียนกรุงเทพวิทยา(ซึ่งตอนนี้ก็ปิดไปแล้ว)อยู่แถวนเรศ เรียนถึง ม. 6 ช่วงนั้นทางบ้านก็คือทางคุณพ่ออยากให้มาฝึกทำงานเลย ไม่ต้องเรียนสูงๆ แล้วเราไปทำธุรกิจ ทำงานไปเลย จะดีกว่า แต่ว่าคุณแม่ก็ยังเห็นว่าอยากจะให้เรียนต่อสูง ๆ ตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่หย่ากัน เดิมอยู่กับคุณพ่อซึ่งเป็นคนรับผิดชอบค่าเล่าเรียน ทางคุณแม่ก็อยากให้เรียนต่อก็ย้ายไปอยู่กับคุณแม่ รายได้ก็มีนิดเดียว ก็เลยพยายามหาที่เรียนต่อที่ไม่ต้องเสียแปะเจี๊ย เพราะโรงเรียนที่ผมเรียนอยู่นั้นมีแค่ ม.6 ยังไงอยู่ต่อไม่ได้ ก็ต้องหาที่เรียน ช่วงนั้นก็เลยตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียว โชคดีก็สามารถสอบเข้าเตรียมอุดมได้ โดยที่ไม่ได้คาดก็ได้ห้องคิงด้วยนะครับนั้นก็เลยกลายเป็นจุดพลิกผัน เนื่องจากเรามีความจำเป็นว่าถ้าเราไม่เรียน เราก็ต้องไปทำงาน ทีนี้ตัวผมเองก็ไม่อยากทำงาน คิดว่าตอนนี้ยังเด็กอยู่อนาคตข้างหน้าก็น่าจะเรียนสูงหน่อย เพราะนั้นพอจบเตรียมเดิมก็ว่าจะเรียนหมอ ทางบ้านก็อยากให้เรียน แต่ว่าตอนนั้นถ้าเข้ามหาวิทยาลัยในสาขาที่คาดแคลนไม่ว่าเรียนหมอ เรียนวิศวะ จะต้องจ่ายค่าเรียนเพิ่ม ถ้าเราไม่จ่ายค่าเล่าเรียนเพิ่มพอจบแล้วก็ต้องไปทำงานให้ราชการ ระหว่างที่ตัดสินใจก็มีเพื่อนในห้องมาชวนบอก มีทุนรัฐบาลญี่ปุ่นไปลองสอบไหม เด็กห้องคิงส่วนใหญ่เด็กเรียนเก่งกันทั้งนั้น อยากจะไป Challenge นะครับลองสอบดู ผมเองก็ไม่ได้แทบเตรียมตัวอะไร รู้ล่วงหน้าสักอาทิตย์หนึ่ง สมัครสอบไม่กี่สิบบาทก็ลองสอบทุนรัฐบาลญี่ปุ่นดู ในยุคนั้นคนก็ไม่ค่อยมีคนรู้จักทุนรัฐบาลญี่ปุ่น รู้จักแต่ทุนโคลอมโบ ซึ่งไปออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สมัยนั้นจะสอบทุนโคลอมโบก็ต้องไปเรียนภาษาอังกฤษ ตอนผมเรียนมัธยมผมก็คิดว่าจะไปเมืองนอกได้เข้าชิงทุนโคลอมโบ ก็ไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษไว้ก่อนเพื่อเป็นพื้นฐาน แต่พอดีไปสอบทุนรัฐบาลญี่ปุ่นจะโดยฟลุคหรือโดยอะไรก็แล้วแต่ ทุนเขาต้องการ 10 คน ผมติดอันดับ 13 ก็คือสำรองอันดับ 3 ปรากฎว่ามีคนสละสิทธิ์ไป 3 คนพอดี ผมก็เลยได้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ทีนี้ถ้าเราจะรอดูว่าเอ็นท์ฯ ติดเมืองไทยไหม หรือว่าจะติดทุนโคลอมโบไหม คือทุนรัฐบาลญี่ปุ่นบังคับให้เราไปญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นเมษา ถ้าเรารอทุนอื่นหรือเรารอสอบเอ็นทรานซ์ เราต้องสละสิทธิ์ทุนนี้ ก็เลยคิดว่าไปญี่ปุ่นก็ดี เพราะถึงแม้เขาแพ้สงครามก็ตามแต่ว่าเขาพื้นฟูเศรษฐกิจได้ ก็น่าสนใจ และก็คิดว่า ถ้าเราเทียบไปเรียนเมืองนอกซึ่งศาสนาก็ต่างกัน วัฒนธรรมก็ต่างกัน มุมมองก็ต่างกัน สิ่งที่เราเรียนก็ไม่แน่ใจว่าจะใช้กับสังคมไทยได้ดีมากน้อยขนาดไหน แต่เราก็มองว่าญี่ปุ่นก็เป็นสังคมของเอเชียด้วยกัน ศาสนาพุทธ คล้ายๆ กัน ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจว่าไปทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ก็เลยไปเรียนปริญาตรีที่ญี่ปุ่น ไปเรียนวิศวะเคมี ไฟฟ้า ทีนี้เนื่องจากเราไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลย รู้ศัพท์แค่ 3 คำ อาริงาโต ซาโยนาระ ประมาณนี้ 2 คำ เขาเลยให้ไปเรียนภาษาและก็เรียนวิชาพื้นฐานเพิ่มเติมอีกปีหนึ่ง แล้วยุคนั้นนักเรียนต่างชาติก็อยู่ร่วมกัน อย่างสายวิทยาศาสตร์ก็ไปอยู่ร่วมกันที่หอพักชิบะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยชิบะ หนึ่งปีหลังจากนั้นค่อยไปเลือกว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยอะไรที่ไหน ตอนนั้นเอง ตอนเลือกมหาวิทยาลัยก็มันก็มีจุดพลิกผันอีกครั้งหนึ่งว่า ถ้าคุณไปญี่ปุ่น เหมือนกับถามคนเมืองไทยว่าอันไหนที่ใครอยากจะเข้าบ้าง คนไทยก็จะบอกจุฬาฯ หรือลำดับสองก็ธรรมศาสตร์ อะไรทำนองนี้ ในญี่ปุ่นเองก็เหมือนกัน ถามคนญี่ปุ่นก็บอกต้องไปมหาวิทยาลัยโตเกียว อันดับที่สองต้องไปเกียวโตอันนี้ก็เป็นปกติ ทีนี้ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ว่านักศึกษาทั่วโลกมีการประท้วงมีการขอปรับปรุงระบบการศึกษา ก็ปรากฎว่าทั้งมหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยเกียวโต ก็มีการประท้วงหยุดเรียน ไม่ให้อาจารย์เข้ามาสอน ละไม่ให้เด็กเข้ามาเรียน มหาวิทยาลัยโตเกียวนี่ประท้วงทั้งปี อาจารย์ทางมหาลัยก็ตัดสินว่า เด็กไม่ได้เรียนหนังสือมา 1 ปี ทุกคนต้องสอบตก ฉะนั้นเมื่อตัดสินว่าทุกคนสอบตกก็ไม่มีการรับคนใหม่เข้ามา เพราะที่นั่งมันเต็ม ทุกคนยังได้เรียนชั้นเดิมอยู่ เป็นปีแรกในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโตเกียว และก็ผมเชื่อว่าน่าจะในประวัติศาตร์มหาวิทลัยทั่วโลกด้วยที่ว่าเด็กตกชั้นทั้งปี และก็ไม่มีการรับเด็กใหม่ แต่ว่ามหาวิทยาลัยเกียวโตตอนนั้นแม้มีการประท้วงกันแต่ว่าก็ไม่ได้รุนแรงขนาดโตเกียว และก็ยังมีการรับนักศึกษาเหมือนเดิม ผมก็สองจิตสองใจว่า โตเกียวมันก็ดังกว่าแต่ก็อยู่ในเมืองใหญ่ซึ่งผมก็ไม่ค่อยชอบนะครับ ขึ้นรถไฟก็อัดเป็นปลากระป๋อง เมืองก็พลุกพล่านนะครับผมก็ไม่ค่อยชอบส่วนเกียวโตเป็นเมืองเล็ก ๆ ของญี่ปุ่นประชากรก็ประมาณ 2 ล้าน บรรยากาศก็เป็นอีกแบบหนึ่งไม่ใช่เมืองอุตสาหกรรรมเป็นเมืองวัฒนธรรม เป็นเมืองหลวงเก่าที่มีอายุ 700 ปี ตอนนั้นใจก็ชอบบรรยากาศของเกียวโตมากกว่า เราก็เลือกไม่ถูก แต่เหตุการณ์เกิดอย่างนี้ แน่นอนเราก็เลือกไปเกียวโตแล้วก็ชวนเพื่อนผมไป อาจารย์กฤษฎา, คุณสุทธิชัย ก็ชวนกันไป ก็เป็นจุดพลิกผันอย่างหนึ่งที่เลือกไปมหาวิทยาลัยนี้ แล้วก็อีกจุดหนึ่งที่เป็นมูลเหตุที่เลือกไปที่นี่ก็คือ ในยุคนั้นมหาลัยเกียวโตเป็นแห่งเดียวที่ถ้าจะบอกว่า ถ้าจะมาเรียนที่นี่ ต้องมาเรียนตั้งแต่ปี 1 ทั้งที่เราเรียนมา 3 ปีนี้ฟังเล็คเซอร์ยังฟังแทบไม่รู้เรื่องเลย ลองนึกดูว่าเราเรียนภาษาอังกฤษหนึ่งปีแล้วลองเล็คเซอร์ในระดับมหาลัย ก็เป็นสิ่งท้าทาย แต่ว่านักเรียนต่างชาติอื่นๆ ที่เข้ามหาลัยอื่นในยุคนั้นเขาจะให้ไปเรียนที่ชิบะในปี 1 ปี 2 ก่อน แล้วเมื่อขึ้นปี 3 แล้วก็เป็นสายวิชาชีพ หรือ major หรือ specialization ถึงจะให้ย้ายเข้ามหาลัย ไปเข้า เช่น โทโฮคึ โอซากา หรือมหาวิทยาลัยอื่นก็ตาม ก็จะย้ายไปเข้าตอนปี 3 ซึ่งเราจะไม่ค่อยมีเพื่อนพอเด็กนักเรียนญี่ปุ่นเรียนมาแล้ว 2 ปีอยู่ๆ ก็มีต่างชาติกะเหรี่ยงแทรกเข้ามาเขาก็ไม่ค่อยอยากคบเราแล้ว อันนี้ก็คือ นักเรียนต่างชาติเนี่ยเรียนยังไงก็ค่อยเก่งเพราะบรรยากาศมันดูเปลี่ยนแปลงไป แล้วระหว่างนั้นเดินไปเรียนไฟฟ้าในช่วง 6-7 เดือนแรกไปเจอรุ่นพี่ที่อยู่โตเกียวเขาเรียน Industrial Industry ก็บอกว่าจริง ๆ แล้วประเทศที่จะพัฒนาเป็นอุตสากรรรมพวกนี้มันมีสาขาใหม่อันหนึ่งที่ใช้การคำนวณ สมัยก่อนวิชาเคมี วิชาชีวะ เราจะถือเป็นวิชาท่องมันไม่ค่อยมีคำนวณเท่าไหร่ แต่อันนี้มันไม่ใช่นะมันต้องใช้การคำนวณเยอะ ออกแบบของกลั่น ออกแบบพวกเครื่องจักรต่าง ๆ ในอุตสาหกรรม แล้วก็เป็นสาขาที่ในยุคนั้นเป็นของใหม่ แล้วก็เกาหลีเอง อเมริกันเองคนก็นิยมเรียนกันมาก ก็เลยตัดสินใจขอเปลียนสาขา ว่าเราอยากไปเรียนเรื่องที่มันค่อนข้างใหม่ เพราะดูว่าในอนาคตจะช้าหรือเร็วก็ต้องพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก ยุคนั้นยังไม่มีปิโตรเคมี ไม่มีอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ เหมือนในปัจจุบัน แต่เราก็คิดว่าน่าจะเรียนของใหม่ ก็เลยขอเปลียน ก็เลยถือว่าผมเป็นคนที่เรียนวิศวะเคมีคนไทยที่น่าจะเป็นคนแรกที่ไปเรียนระดับปริญญาตรีในประเทศญี่ปุ่น ทีมงาน : แล้วโทกับเอกครับอาจารย์ ศ.ดร. วิวัฒน์ : อันนี้ชีวิตก็เปลี่ยนไปโดยไม่ได้วางแผนนะครับ เดิมตอนนั้นก็คิดว่าเราจบปริญญาตรีความรู้เรายังน้อยกลับมาทำงานบ้านเราก็คงสู้คนอื่นไม่ได้ ก็เลยปรึกษาอาจารย์ อาจารย์ก็บอกว่าถ้าคุณอยากจะต่อทุนเรียนโทเนี่ยเนื่องจากผมเรียนกับคนญี่ปุ่นมา 4 เต็ม ๆ คุณก็ต้องสอบแข่งกับคนญี่ปุ่นตอนเข้าโท ก็ต้องแข่งสู้เขา เด็ก 40 คนเขารับแค่ 20 คน แล้วมีเด็กมาจากที่อื่นมาสอบเพิ่มด้วย อาจารย์ก็บอกว่าถ้าสอบเข้าได้ แข่งได้ ก็จะเจรจาต่อทุนให้ ช่วงนั้นผมก็เตรียมตัวแล้วก็สอบ ก็ปรากฎว่าสอบเข้าโทได้อย่างคะแนนค่อนข้างดีนะครับ ก็คิดว่าต้องเรียนโทต่อที่เกียวโต อยู่ๆ มาวันหนึ่งก็มีงานปาตี้ที่มหาวิทยาลัยจัดให้กับนักเรียนต่างชาติ เราก็พบกับอาจารย์หลาย ๆ คณะ นักเรียนต่างชาติหลาย ๆ แห่งมารวมกันปีละครั้ง ก็เป็นคอกเทลคุยกับอะไรต่อกันไป ก็ไปเจออาจารย์ประจำวิชาวิศวะกรรมเคมีอีกคนหนึ่งซึ่งผมไม่ได้อยู่แลปนั้นกับท่านเมื่อตอนอยู่ปี 4 เพราะมันจะมีห้องแลปคนละแลปกัน อาจารย์ก็ถามว่าเป็นยังไง จบกลับไปในอนาคตเป็นยังไง ผมก็เรียนอาจารย์ให้ทราบตามตรง ว่ายุคนั้นหรือประมาณ 30 กว่าปีที่แล้วจบมาจากญี่ปุ่นนี่คนไทยไม่ค่อยรู้จักเลยนะครับ กพ. เองก็ยังให้เงินเดือนเท่ากับคนที่จบจากมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ซึ่งก็น้อยกว่าคนที่จบจากฟิลิปปินส์ ซึ่งจะได้สูงกว่าถ้ารับราชการ แต่ถ้าคุณจบจากอังกฤษเงินเดือนก็จะสูงกว่าจบจากฟิลิปปินส์อีก จะเป็นการแบ่งเกรดว่าจบจากเงินนอกเกรดนี้ เงินเดือนแค่นี้ แรกเริ่มจบตรีเหมือนกันนะครับหรือว่าจบโทเท่ากันถ้าคุณจบจากฟิลิปปินส์ก็อีกแบบหนึ่ง ญี่ปุ่นก็เกรดต่ำสุด หรือผู้อำนวยการ คุณเชี่ยวเวทย์ ที่ก็เคยเป็นผู้อำนวยการของ ส.ส.ท. ในอดีตนะครับท่านจบจาก Tokyo Institute of Technology ซึ่งถือว่าเหมือนกับ MIT ของอเมริกา แต่ว่าพอแปลเป็นภาษาไทยก็สถาบันเทคโนโลยี ไปสมัครราชการก็คิดว่าจบจากอาชีวะ ซึ่งในยุคนั้นก็ถือว่าต่ำกว่าปริญญาตรี เรียกว่าสถาบัน กพ. ยังไม่รู้จัก ไม่รับรองการรับราชการ ซึ่งต้องเอาหลักสูตรมาแปลว่าจบจากอะไร อันนี้ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าจบจากญี่ปุ่นคนยังไม่ค่อยรู้จัก แล้วราชการเองยังไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร ผมก็เล่าให้อาจารย์ฟัง อาจารย์ก็บอกว่า เอาอย่างนี้สิ เพราะว่าผมบอกว่าคนไทยส่วนใหญ่ไปเรียนที่อังกฤษ ไปเรียนที่สหรัฐ เรียนที่ออสเตรเลีย เขาเลยแนะนำว่า ทุกปีจะส่งเด็กไปญี่ปุ่นไปมหาวิทยาลัยในอเมริกา ปีหนึ่งประมาณคนหนึ่ง คือทางโน้นอยากรับไว้ โดยมีทุนไว้เป็นทุน Research Assistant หรือผู้ช่วยสอนก็คือเขาจะให้เราไปช่วยอาจารย์ทำการวิจัยที่ได้รับโครงการวิจัยมา ในนั้นก็จะมีเงินเดือนจ้างผู้ช่วยวิจัย ซึ่งหัวข้อของการทำวิจัยก็เป็นส่วนหนึ่งของปริญญาเอก พอทำเสร็จเราก็จะได้ปริญญาเอก อาจารย์เขาจะได้ผลงานไปส่งเจ้าของทุน ทุกคนก็ win win นะครับได้หมด สนใจไหม อาจารย์ถาม ผมก็บอกว่าถ้ามั่นใจว่าเขาให้ทุนเราตั้งแต่ต้นนะครับ ทางบ้านผมก็ไม่มีปัญญาจะส่งอะไร ผมก็บอกถ้าได้ตั้งแต่ต้นผมก็สนใจที่จะไป อาจารย์ก็บอก งั้นยูก็ไปสอบภาษาอังกฤษดูว่า TOEFL เป็นยังไง และถ้าผ่านได้ก็จะแนะนำแล้วก็จะเอาทุนอันนี้ให้ สวมรอยเด็กญี่ปุ่นไป ผมรู้ล่วงหน้าว่าประมาณหนึ่งเดือนก็ไปสอบ TOEFL ก็บังเอิญที่ผมเคยเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ต้น สมัยก่อนเรียนทุนโคลอมโบไว้ ถึงตอนเรียนญี่ปุ่นเองเราก็ไม่ชินภาษาอังกฤษ แต่ผมก็อ่านไทม์แมกกาซีนทุกสัปดาห์ และก็อะไรต่อมิอะไร TOEFL ไปสอบก็ได้ 660 ครับ สอบผ่านฉลุย เพราะฉะนั้นก็เลยได้ทุนอันนี้ ตอนนั้นก็คิดอยู่ว่าถ้าอยู่ญี่ปุ่นต่อคงจะได้เรียนตรี โท เอก เหมือนกับอาจารย์ ดร.บัณฑิต ก็รุ่นเดียวกัน เขาไปเรียนถึงตรี โท เอก แต่เราก็มาคิดดูว่าเรามาอยู่ที่ญี่ปุ่น 5 ปีเราก็เรียนรู้วัฒนธรรมเขาเยอะ อยู่อีก 5 ปีหลังคงเรียนรู้ได้เพิ่มนิดหน่อยคงไม่ได้มากไปกว่านี้ ก็เป็นจุดหนึ่ง ทั้งที่ถ้าอยู่ญี่ปุ่นต่อจะได้อะไรได้ดีกว่าเยอะ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่เขาเพิ่มทุนให้เกือบเท่าตัวถ้าต่อโท เอก แต่ที่อเมริกานี้เงินจะน้อยมาก จะอยู่ได้ต้องประหยัดมาก ๆ ก็พอถูกไถไปได้ แต่ก็ตัดสินใจอยากรู้ว่าอะไรว่าอเมริกาดีนักดีหนาเป็นอย่างไรสังคมเขาเป็นอย่างไ ก็เลยตัดสินใจเอาทุนนี้ไปสอบผู้ช่วยวิจัยในอเมริกาซึ่งเขาให้ตั้งแต่วันแรกจนจบก็เลยได้ทุนไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Texas ซึ่งมหาวิทยาลัยเขาจะมีหลาย ๆ campus โดย campus ใหญ่สุด ดีสุด อยู่ที่ Austin ซึ่งคือเมืองหลวงของรัฐ Texas หลายคนคงรู้จัก Dallas, Houston ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ชื่อดังแต่ไม่ใช่เมืองหลวง |
ทีมงาน : ถามเรื่องทั่ว ๆ ไปนะครับอาจารย์ ในชีวิตประจำวันอาจารย์ อาหารที่ทานอยู่ประจำวันมีอย่างไรบ้างครับ ศ.ดร. วิวัฒน์ : คือผมเป็นคนแบบคิดว่าไปที่ไหนก็ทานที่นั้นตามพื้นเมือง ผมอยู่เมืองไทยผมก็ทานอาหารไทย แต่ก่อนก็ชอบทานเผ็ดนะครับ แต่พออยู่ญี่ปุ่นทานอาหารญี่ปุ่นก็ได้นะครับ เรียกว่าปลาดิบหรืออะไรก็ได้นะครับ ตอนอยู่อเมริกามันยากนิดหนึ่ง คือว่าเราไปแบบนักเรียนจนๆ ไปซื้อกินข้างนอกทุกวันเงินมันไม่พอ ส่วนใหญ่ก็กินแบบง่าย ๆ ทำแกงกะหรี่หรืออะไร ทำทีก็กินไป 2 วันอะไรประมาณนี้นะครับ คือเป็นนักเรียนเราไม่มีเวลานั่งทำอาหารครับ ทำทีก็หม้อใหญ่ ๆ เก็บใส่ตู้เย็นกิน ก็กินแบบง่าย ๆ ทีมงาน : แล้วปัจจุบันอาจารย์ทานอาหารเทียง อาหารเย็น เป็นแบบไหนครับ ศ.ดร. วิวัฒน์ : อาหารส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวันก็ง่าย ๆ พวกก๋วยเตี๋ยว หรืออะไรที่ไม่หนักท้องนะครับก็เป็นอาหารกลางวันครับ ช่วงเย็นส่วนใหญ่ก็กลับไป ถ้าไม่ได้ติดประชุมหรืองานเลี้ยงอะไรก็กลับไปทานที่บ้านครับ อาหารแบบกึ่ง ๆ แบบไทย - จีน ผสมกันง่าย ๆ ครับ |
|
ทีมงาน : อาจารย์ชื่นชอบรถยนต์แบบไหนครับ และที่ใช้ในปัจจุบันใช้แบบไหนครับอาจารย์ ศ.ดร. วิวัฒน์ : ตอนกลับมาใหม่ ๆ ต้องขอเรียนนิดหนึ่งนะครับ กลับย้อนหลังว่าตอนที่จบอเมริกากำลังจะจบนะครับ ตอนนั้นก็คิดอยู่เหมือนกันว่าเรากลับเมืองไทยแล้วจะทำอะไร เนื่องจากเราไม่ได้ติดทุนตรงนี้มันก็มี Possibility เยอะก็มีความรู้ทางภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ ก็เชื่อว่าเข้าบริษัทเอกชนอะไรต่าง ๆ ได้หลายแห่งนะครับ แต่ก็มีความคิดที่เกิดขึ้นกับตอนที่ไปญี่ปุ่น ตอนที่ไปญี่ปุ่นสิ่งที่ประทับใจมากเลยคือประเทศเขาเป็นประเทศที่แทบไม่มีทรัพยากรอะไรนะครับ ประเทศไทยเรามีพื้นที่ 1.5 เท่าของญี่ปุ่นครับ ประชากรเราก็ประมาณครึ่งหนึ่งของเขา แถมประเทศญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาเป็นเนินเป็นอะไรที่ราบนี่เขามีแค่ 20% ของพื้นที่ประเทศ ต่างกับประเทศไทยประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบ ส่วนเนินเขาอะไรต่ออะไรมีบ้างแต่ผมว่าไม่เกิน 20 -30 % ของพื้นที่ทั้งหมด และพื้นที่ใช้สอยได้จริงของญี่ปุ่นมีมีน้อยนะครับ ถามว่ามีแก๊สธรรมชาติไหม ก็มีนิดเดียว ถ่านหินก็มีนิดหน่อย น้ำมันแทบไม่มี ทรัพยากรต่าง ๆ มีน้อยมาก แผ่นดินไหวก็บ่อย แถมแพ้สงครามอย่างราบคาบ ช่วงนั้นถูกอเมริกาทิ้งระเบิดเมืองใหญ่ ๆ โตเกียวไฟไหม้ราบเป็นหน้ากลองเลยครับ โรงงานก็เสียหายนะครับ แต่ที่น่าแปลกก็คือญี่ปุ่นแพ้สงครามโลก แล้วภายใน 10 -20 ปี จัดโอลิมปิกได้ ทีมงานก็คือเขาทำอย่างนี้ได้อย่างไร คำตอบที่สำคัญที่สุดคือเขามีทรัพยากรบุคคลที่ดี คนเขามีระเบียบวินัย มีการศึกษาสูง มีระบบการศึกษาที่ให้ความรู้คนเหมือน ๆ กัน โรงเรียนในต่างจังหวัดหรือในเมืองคุณภาพไม่ต่างกัน นั่นก็คือทุกคนมีวินัย มีความขยันขันแข็ง ทุกคนมีความรู้สึกว่าจะต้องพยายามสร้างประเทศให้อยู่รอดได้ คือเขามีสเปคทางบุคคลของเขาดี ผมก็เลยมีความคิดคล้าย ๆ กันว่าเราเสียเวลาเรียนหนังสือตั้ง 10 ปี แล้วถ้าเราเอาความรู้ไปทำงานบริษัท ก็ถามรุ่นพี่ที่ไปทำงานบริษัทแล้วว่าเป็นอย่างไร เขาก็บอกทำงานบริษัทใช้ความรู้ได้นิดเดียว ความรู้วิศวะหรืออะไรก็ตามที่เรียนมา ใช้ได้คงไม่เกินสัก 10 % ความรู้ที่มีอยู่ที่เรียนมานี่เป็นเรื่องพื้น ๆ แล้วที่เหลือก็คือเรื่องของการบริหารจัดการ ก็เสียดายความรู้ด้วย อีกอันหนึ่งก็คือหลักสำคัญของการสร้างคน ก็เลยตัดสินใจว่าอย่างนี้เราสอนหนังสือดีกว่า ก็เลยสนใจมาเป็นอาจารย์ก็ แม้เงินเดือนของอาจารย์ยุคนั้นจะไม่กี่พันบาทเนีย ทั้งที่จบปริญญาเอก แต่เราก็เห็นว่าเราน่าจะมา เราสร้างเด็กเก่ง ๆ ได้คนไปทำงานในอุตสาหกรรมพัฒนาอุตสาหกรรมได้ก็น่าจะมี Impact ก็เลยตัดสินใจ พอดีช่วงนั้นที่จุฬาฯ เขามีตำแหน่งว่างพอดีในภาควิชาวิศวะกรรมเคมีก็เลยติดต่ออาจารย์จุฬาฯ ที่ไปเรียนต่อที่ Austin ที่ Texas เขียนจดหมายมา กลับมาอยู่ได้ 2 วันก็ไปทำงานเลยนะครับ ก็คือนัดล่วงหน้าไว้แล้ว แต่เงินเดือนต่ำในยุคนั้นรถยนต์อะไรเราก็ไม่มีปัญญาที่จะซื้อ พอดีแม่ของแฟนเขามีฐานะดีหน่อยเขาก็ซื้อรถโคโรลา แบบมือ 2 หรือว่ามือ 3ที่ใช้แล้ว 10 กว่าปี มาใช้ เรื่องรถก็คิดว่าเนื่องจากอยู่ญี่ปุ่นมานาน ก็คิดว่ารถญี่ปุ่นส่วนใหญ่คิดต่อราคา คิด performance ค่อนข้างคุ้มรถบีเอ็มดับเบิ้ลยู รถเบนซ์ อะไรก็ดี แต่ว่าค่าราคามาหารต่อหน่วยรู้สึกว่าค่อนค้างแพง ต่อ Performance ที่เราได้ ก็เลยจะใช้รถญี่ปุ่นเป็นหลัก เคยใช้ โคโรลา ใช้ซันนี่ ของนิสัน ครับแต่โคโรลาเป็นหลัก ตอนหลังฐานะดีหน่อยแต่ก็ใช้แคมรี และก็ใช้แอคคอร์ดอยู่บ้าง |
|
ทีมงาน : รายโทรทัศน์ที่อาจารย์ชอบดูเป็นประจำครับเป็นรายการอะไรครับ ศ.ดร. วิวัฒน์ : ส่วนใหญ่จะดูข่าวเป็นหลักครับ หรือรายการที่ให้ความรู้อย่างสารคดี จะไม่ค่อยชอบดูที่มันเป็นเรื่องยาว ๆ ที่ต้องดูทุกอาทิตย์ ต้องดูเป็นตอนยาวๆ นะครับมัน ชอบดูแบบที่จบในครั้งเดียวหรือไม่เกิน 2 ครั้งครับ ทีมงาน : หนังสือที่อาจารย์ชอบอ่านครับเป็นสไตล์ไหนครับ ศ.ดร. วิวัฒน์ : โดยนิสัยผมเป็นคนสะสมหนังสือ ชอบอ่านหนังสือสารพัดแบบ แบบตอนไปอยู่ที่ญี่ปุ่นก็มีหนังสือ ตอนนี้หนังสือผมก็เรียกว่ามีใส่ตู้หนังสือแทบจะ 10 ตู้อยู่แล้ว ก็ชอบสะสมหนังสือต่าง ๆ ที่ให้ความรู้นะครับ แต่ว่าตอนหลังเวลาอ่านไม่ค่อยมี ก็จะติดตามพวกหนังสือแมกกาซีนนะครับ ให้รู้ว่าโลกเราไปถึงไหนแล้ว และได้ความรู้ในส่วนลึกครับ ในขณะเดียวกันตอนนี้ต้องทำงานบริหาร ก็จะเป็นหนังสือเกี่ยวกับการบริหารจัดการและมุมมองต่างๆ ซึ่งก่อนหน้าที่อยู่จุฬาฯ ก็จะดูหนังสือออกไปทางวิชาการ ทีมงาน : หนังภาพยนตร์ที่อาจารย์ชื่นชอบครับ |
|
ทีมงาน : อุปกรณ์ IT ที่อาจารย์ซื้อมาล่าสุดคืออะไรครับ ศ.ดร. วิวัฒน์ : อุปกรณ์ทางด้าน IT ที่ซื้อมาล่าสุดเป็นคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คครับ ทีมงาน : สุดท้ายนะครับ เว็บไซต์อาจารย์ที่อาจารย์เข้าประจำคือเว็บไซต์อะไรครับ ศ.ดร. วิวัฒน์ : เว็บไซต์สำหรับ Search ก็เป็น Google นะครับ ใช้ค้นหาข้อมูล และเป็นแหล่งความรู้เพิ่มเติม อย่างช่วงนี้ก็กำลังจะบรรยายเกี่ยวกับพวกรถไฟฟ้า Bullet Train ที่ญี่ปุ่นนะครับ จะต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมก็จะ Search Google ครับ ถือเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ เป็นประโยชน์มากครับ |
|
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที