ปิยเกียรติ

ผู้เขียน : ปิยเกียรติ

อัพเดท: 08 ส.ค. 2023 15.08 น. บทความนี้มีผู้ชม: 361 ครั้ง

การเตรียมความพร้อม ในกรณีเกิดโรคฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญ ควรศึกษา และทำความเข้าใจเกี่ยวกับ อาการของโรคฉุกเฉินต่าง ๆ และขั้นตอนการปฏิบัติในกรณีนั้น ๆ เพื่อที่จะรู้ว่าควรทำอย่างไรในขณะที่รอคอยความช่วยเหลือทางการแพทย์


5 โรคฉุกเฉินที่ต้องไป โรงพยาบาล

5 โรคฉุกเฉินที่ต้องไป โรงพยาบาล

fiveemer.png

โรคฉุกเฉินเป็นเหตุการณ์ ที่อาจเกิดขึ้นทุกเมื่อ และอาจเกิดจาก หลายสาเหตุต่าง ๆ ซึ่งทำให้สภาพชีวิตหรือสุขภาพของบุคคลอันตราย โรคฉุกเฉินเป็นสิ่งที่คาดคะเนมาก่อนหน้าไม่ได้เลย ดังนั้น การรู้เรื่องโรคฉุกเฉิน และวิธีการจัดการเบื้องต้น มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการช่วยชีวิต และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์เหล่านี้ได้

การเตรียมความพร้อม ในกรณีเกิดโรคฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญ ควรศึกษา และทำความเข้าใจเกี่ยวกับ อาการของโรคฉุกเฉินต่าง ๆ และขั้นตอนการปฏิบัติในกรณีนั้น ๆ เพื่อที่จะรู้ว่าควรทำอย่างไรในขณะที่รอคอยความช่วยเหลือทางการแพทย์

นอกจากนี้ ยังควรรู้เรื่องเบื้องต้น เกี่ยวกับการให้การช่วยเหลือ และการปฏิบัติในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่นการทำ CPR (Cardiopulmonary Resuscitation) หากพบผู้ป่วยหมดสติ หรือหายใจไม่เข้า-ออก การใช้ AED (Automated External Defibrillator) ในกรณีของหัวใจหยุดเต้น

การรับรู้ เกี่ยวกับโรคฉุกเฉิน และวิธีการปฏิบัติ ในเบื้องต้น อาจช่วยให้เรามีความมั่นใจ ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ฉุกเฉิน และช่วยชีวิตของผู้อื่นได้ อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวัง และให้ความสำคัญ กับการหาความช่วยเหลือ จากบุคคลที่มีความรู้ และความเชี่ยวชาญ ในการจัดการโรคฉุกเฉิน เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มเติม

ในกรณีที่ไม่แน่ใจ หรือไม่มั่นใจ ในการจัดการ ควรทำการแจ้งเรียกรถพยาบาล หรือติดต่อหน่วยเคลื่อนไหวระบบฉุกเฉิน ของประเทศด้วยเบอร์โทรศัพท์ คือ 1669

เจ็บป่วยฉุกเฉิน คือ อาการป่วยกะทันหัน ซึ่งเป็นภยันตรายต่อการดำรงชีวิต หรือการทำงานของอวัยวะสำคัญจำเป็นต้องได้ รับการประเมินการจัดการ และการบำบัดรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันการเสียชีวิต หรืออาการรุนแรงขึ้นของอาการป่วยนั้น

เมื่อพูดถึงโรคฉุกเฉิน medipro ขอแนะนำโรคที่ควรทราบ คือ โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน, โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ชนิดหลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลัน, ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ, ภาวะเลือดเป็นกรด และ Appendix ซึ่งเป็นสภาวะที่ต้องการ การรักษา และการดูแลทางการแพทย์ทันที เนื่องจากมีความรุนแรง และอาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนี้

โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน

Stroke (โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน): คือ ภาวะสมองขาดเลือดที่เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ/อุดตัน หรือมีเลือดออกในสมอง เพราะนั้น ทำให้เกิด ความเสียหาย ต่อส่วนของสมอง ที่เกิดการขาดเลือด ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้

เมื่อเลือด ไม่สามารถ ไปเลี้ยงสมองได้ จะทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจน ส่งผลให้สมองตาย สาเหตุที่สำคัญ ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง ภาวะความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมได้ โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน อายุ ทานอาหารที่มีไขมันมาก รสเค็ม การสูบบุหรี่ เป็นต้น

ภาวะสมองขาดเลือด สามารถส่งผล ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน แก่ผู้ป่วย ซึ่งอาจจะเป็นภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราว หรือส่งผลให้ผู้ป่วย เกิดความพิการถาวร ความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อน จะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่สมองขาดเลือด และขึ้นอยู่กับบริเวณสมองที่ได้รับผลกระทบ

อาการ เรานึกถึง หน้าที่สมองแต่ละส่วน ที่ควบคุมร่างกาย เช่น หากสมองส่วนที่ควบคุมแขนขา ขาดเลือดนาน เซลล์สมองส่วนนั้นตาย บุคคลนั้น ก็จะไม่สามารถควบคุมแขนขา ของตัวเองได้ ดังนั้น อาการที่พบ ก็จะมาด้วย แขนขาไม่มีแรง

ปัจจุบัน จึงมีการประชาสัมพันธ์ อย่างแพร่หลาย เพื่อลดอาการรุนแรงของโรค หากพบอาการ เหล่านี้ต้องรีบไป โรงพยาบาล โดย มีหลักการจำ คือคำว่า FAST. ย่อยออกดังนี้

 

befast.png

BEFAST :

โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ชนิดหลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลัน

STEMI (โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ชนิดหลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลัน) : STEMI ย่อมาจาก ST-segment elevation myocardial infarction คือ ภาวะที่เกิดจาก การตายของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เนื่องจากการตีบของหลอดเลือดในหัวใจ ซึ่งจะส่งผลให้การไหลเวียนของเลือด ไปยังส่วนของหัวใจนั้น หยุดนิ่งลง

สาเหตุส่วนใหญ่ เกิดจากการปริแตกของหลอดเลือดที่เสื่อมสภาพ เมื่อมีการปริแตก ร่างกายจะระดมเกร็ดเลือด และสร้างลิ่มเลือดขึ้นมา อุดหลอดเลือดส่วนนั้น จนส่งผลให้หลอดเลือด มีการอุดตันโดยสมบูรณ์ เมื่อหลอดเลือดอุดตัน เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ไปเลี้ยง เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจจะตาย


chestpain.jpeg


เมื่อเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจบริเวณที่ขาดเลือดไปเลี้ยงตาย กล้ามเนื้อหัวใจบริเวณนั้นจะไม่บีบตัว การรักษาคือการเปิดหลอดเลือดที่อุดตันให้เร็วที่สุด เพื่อรักษาเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจที่ยังเหลือ ดังนั้น เวลาทุกนาทีที่ช้าไป จึงหมายถึง การสูญเสียเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจที่กำลังตาย

การปริแตกของหลอดเลือดนั้น คุณอาจต้องนึกถึงสภาพของหลอดเลือดที่เสื่อมสภาพ มีการเกาะของตะกรันไขมัน หรือหลอดเลือดแข็งตัว ขาดความยืดหยุ่น เกิดการฉีกขาดขึ้น ก็จะเกิดกลไกดังที่กล่าวมาข้างต้น และนี่คือ ปัจจัยที่ทำให้หลอดเลือดเกิดเสื่อม และแข็งเร็วขึ้น

ด้วยภาวะที่หลอดเลือดหัวใจมีการอุดตันแบบสมบูรณ์ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจส่วนที่รับเลือดอยู่เกิดการขาดเลือดแบบเฉียบพลัน อาการที่พบคือ ความเจ็บแน่นที่หน้าอก เหมือนถูกรัด ถูกกดทับ นาน 5-10 นาที อาจร้าวไปที่ แขน ไหล่ คอ หรือ กราม หายใจลำบาก ใจสั่น เหงื่อออกมาก หน้ามืด เป็นต้น

ในกรณีที่มีอาการเหล่านี้ควรนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันทีเพื่อรับการดูแลทางการแพทย์ทันเวลา เนื่องจาก STEMI เป็นภาวะที่ร้ายแรงและอาจทำให้เสียชีวิตได้

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

Hypoglycemia (ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ) คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า 70 มิลลิกรัม / เดซิลิตร เป็นผู้ป่วยเบาหวาน เคยมีอาการ ภาวะน้ำตาล ในเลือดต่ำรุนแรง หรือหมดสติ โดยกรณีนี้ถือเป็นกรณีฉุกเฉิน

ภาวะน้ำตาล ในเลือดต่ำ ที่เกิดขึ้น เป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ อวัยวะล้มเหลว สมองถูกทำลายถาวร โคม่า และแม้กระทั่งเสียชีวิต

อาการที่ควรสังเกต ก่อนมีอาการรุนแรง

ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นสูง กับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่ใช้ยาลดน้ำตาล หรือฉีดอินซูลิน เมื่อมีอาการ ควรรีบรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มหวาน ๆ ทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำรุนแรง ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

ภาวะเลือดเป็นกรดจากน้ำตาลในเลือดสูง

DKA (ภาวะเลือดเป็นกรด) : DKA ย่อมาจาก Diabetic Ketoacidosis ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงร่วม กับเลือดเป็นกรด เป็นภาวะฉุกเฉิน ที่พบได้ในผู้ป่วยเบาหวาน โดยจะเกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง ส่งผลให้ร่างกายสร้างคีโตน

คีโตนเป็นสารที่มีฤทธิ์เป็นกรด เมื่อคีโตนออกมาในกระเแสเลือดมาก จะทำให้เลือดมีภาวะเป็นกรด กล้ามเนื้ออ่อนแรง ระบบหายใจล้มเหลว และเป็นอันตรายถึงชีวิต

อาการที่สังเกต ได้

สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย คือ ขาดยาเบาหวาน ขาดการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะคิดว่าไม่สำคัญ ถึงแม้ไม่กินยาเบาหวาน ก็สามารถดำรงชีวิตประจำวันได้ตามปกติ โดยไม่รู้ว่าจะเกิด ผลเสียตามมา ต่อระบบต่างๆในร่างกาย

โดยจะมาพบแพทย์ เมื่ออาการเข้าสู่ระยะวิกฤต ไม่รู้สึกตัว การทำงานของอวัยวะต่างๆ เกิดความล้มเหลว อย่างไรก็ตาม ผู้ใกล้ชิดควรสังเกต และคอยติดตามการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคเบาหวานด้วย เพื่อนำส่งผู้ป่วยไปพบแพทย์ หรือสถานพยาบาลใกล้เคียงทันที

ไส้ติ่งอักเสบ

Appendix (ไส้ติ่งอักเสบ): คือ "ส่วนเพิ่มเติม" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของระบบทางเดินอาหาร ในร่างกายของเรา ไส้ติ่ง เป็นท่อ ที่ต่อออกมา จากลำไส้ใหญ่ส่วนต้น โดยปกติ ไส้ติ่งจะมีตำแหน่ง อยู่ที่บริเวณท้องน้อย ด้านขวา

คนส่วนใหญ่มักคิดว่าไส้ติ่ง เป็นอวัยวะส่วนเกิน ที่ไม่มีประโยชน์อะไร ต่อการย่อยอาหาร แต่นักวิทยาศาสตร์บอกว่า จริงๆแล้วไส้ติ่ง มีบทบาทต่อสุขภาพ คือ เป็นที่อยู่ของแบคทีเรียชนิดดี ซึ่งมีส่วนช่วย ในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ให้แก่ร่างกาย

สาเหตุไส้ติ่งอักเสบ คือ การอุดตันของสิ่งแปลกปลอม เกิดแบคทีเรียสะสม บวม จนอักเสบขึ้น อาการเจ็บปวดมักเกิดขึ้นตรงบริเวณด้านขวาล่างของช่องท้อง โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักรู้สึกเริ่มปวดบริเวณลิ้นปี่หรือรอบ ๆ สะดือ ปวดตรงกลางสะดือ ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา จุดปวดนี้ค่อยๆย้ายมาอยู่ที่ท้องน้อยด้านขวา

ถ้าเราเอามือกดตรงส่วนนี้ ของหน้าท้อง จะยิ่งรู้สึกเจ็บมากขึ้น จนแทบทนไม่ได้ ต้องนอนนิ่งๆ เคลื่อนไหวตัวจะทำให้ปวดมาก บางคนจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนและมีไข้ต่ำๆ ถ้าเป็นมากต้องนอนงอขาตะแคงไปข้างหนึ่ง หรือเวลาเดินต้องเดินตัวงอจึงจะรู้สึกสบายขึ้น

ไส้ติ่งอักเสบ ไม่ว่าจะแตกหรือไม่ ก็จะต้องทำการผ่าตัด ก่อนที่ไส้ติ่งจะทะลุแตก ในท้อง และเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ดังนั้น คุณควรสังเกตอาการ และเฝ้าระวังอาการในโรงพยาบาลจนกว่าจะวินิจฉัยว่า ไม่ใช่ไส้ติ่งอักเสบ

สรุป

เมื่อเกิดอาการของโรคฉุกเฉินเหล่านี้ ควรรีบนำผู้ป่วยไปพบแพทย์ หรือสถานพยาบาลใกล้เคียงทันที เพื่อรับการประเมินสภาพและรักษาทันเวลา เนื่องจากการรักษาเร็วที่สุดอาจช่วยลดความเสี่ยง ให้กับผู้ป่วย และป้องกันความรุนแรง ของโรคฉุกเฉิน ที่อาจเกิดขึ้นได้


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที