วัตพล

ผู้เขียน : วัตพล

อัพเดท: 27 ก.พ. 2024 22.58 น. บทความนี้มีผู้ชม: 4648 ครั้ง

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวไปอย่างรวดเร็ว การตลาดดิจิทัลเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรถูกละเลย เนื่องจากในปัจจุบันมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การตลาดแบบดิจิทัลเป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับธุรกิจทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่หรือเล็ก การตลาดดิจิทัลมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเทียบกับการตลาดแบบดั้งเดิม ด้วยเหตุนี้ บทความเกี่ยวกับ Digital Marketing จึงเป็นบทความที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สนใจในการตลาดดิจิทัล


SEO คืออะไร? มีเว็บไซต์ทำไมต้องทำ? พร้อมแจกเครื่องมือฟรี ทำ SEO 2023

 

SEO คืออะไร?

SEO คือ Search Engine Optimization เป็นกระบวนการที่ทำให้เว็บไซต์มีคุณภาพตามมาตรฐานของเครื่องมือค้นหา (Search Engine) เมื่อเว็บไซต์มีคุณภาพมากพอก็จะถูกจัดอันดับอยู่ในอันดับต้น ๆ หรือติดหน้าแรกของเครื่องมือค้นหา โดยเกณฑ์การติดอันดับนั้นจะมีการปรับปรุงใหม่อยู่เสมอ

ดังนั้นการทำ SEO คือกระบวนการที่ต้องคำนึงถึงปัจจัยดังกล่าวและมีการอัปเดตความรู้ให้เท่าทันเกณฑ์อยู่เป็นประจำเพื่อทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับอย่างต่อเนื่อง

 

 

การทำ SEO มีประโยชน์อย่างไร สำคัญยังไง

อย่างที่เราทราบกันมาแล้วว่า SEO คือกระบวนการทำให้เว็บไซต์มีคุณภาพดีขึ้นและติดอันดับบนเครื่องมือค้นหา เท่ากับว่าเว็บไซต์ของเราสามารถถูกค้นหาได้ง่ายขึ้นและดึงดูดการเข้าชมมากยิ่งขึ้น หากผู้เข้าชมเว็บไซต์เป็นกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการจึงก่อให้เกิดความได้เปรียบทางธุรกิจ และเมื่อมีความได้เปรียบแล้วโอกาสทำเงินจึงมีมากขึ้น เมื่อโอกาสมีมากขึ้นจึงมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น

หากมองในแง่ของค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดรูปแบบต่างๆ การทำ SEO ถือว่าเป็นการทำตลาดออนไลน์ (Online Marketing) ที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า แต่ให้ผลตอบแทนมาก อีกทั้งยังมีสถิติในปี 2023 เกี่ยวกับ SEO ที่น่าสนใจ ได้แก่

จากสถิติข้างต้นบ่งบอกว่าการทำ SEO คือปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำธุรกิจ ยิ่งเป็นธุรกิจในยุคใหม่ ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับการทำการตลาดออนไลน์อย่างเป็นอย่างมาก

 

 

Keyword Research คืออะไร? ทำยังไง? ทำไมสำคัญในการทำ SEO

Keyword Research เป็นกระบวนการค้นหาคำสำคัญแบบเจาะลึกไปถึงลักษณะ ประเด็นที่เกี่ยวข้อง นำมาวิเคราะห์และคัดเลือกเพื่อให้ได้คำสำคัญที่มีคุณภาพสำหรับการทำ SEO ดังนั้น Keyword Research ถือเป็นก้าวแรกของ SEO คืองานที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง จึงมีการพัฒนาเครื่องมือสำหรับ Keyword Research ออกมาให้บริการกันอย่างล้นหลาม ในส่วนขั้นตอนของ Keyword Research มีดังนี้

1. เข้าใจธุรกิจของคุณเอง

อย่างแรกต้องทำความเข้าใจตัวเองก่อน รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเองการอะไร ในที่นี้หมายถึงมีการกำหนดเป้าหมายของธุรกิจ (Business Goal) และระบุกลุ่มเป้าหมาย (Target Audience) ให้ชัดเจน

2. ดำเนินการศึกษาค้นคว้าคำสำคัญ

กระบวนการรวบรวมข้อมูลคำสำคัญต่าง ๆ ที่มีการใช้ค้นบนเครื่องมือค้นหา (Search Engine) อย่างมีประสิทธิภาพ

3. วิเคราะห์คำสำคัญ

นำคำสำคัญมาวิเคราะห์ในประเด็นที่นิยม ได้แก่

ประเด็นเหล่านี้จะนำมาใช้ในการพิจารณาคุณภาพของคำค้นเพื่อคัดเลือกคำค้นที่จะนำไปทำ SEO ต่อไป

 

 

Google ทำงานอย่างไร? จัดอันดับเว็บไซต์อย่างไร?

 

Google มีส่วนย่อยชื่อว่า Web Crawler ในการค้นหาและสำรวจ (Crawling) เว็บไซต์ต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ จากนั้นนำข้อมูลเว็บไซต์ที่สำรวจได้มาจัดทำดัชนี (Indexing) เก็บเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่

Search Engine Algorithms เป็นกระบวนการทำงานของเครื่องมือค้นหา เริ่มจากการทำความเข้าใจเจตนาของผู้ใช้ (User Intent) จากคำหรือวลีที่ผู้ใช้ป้อนลงไปในกล่องสืบค้น (Search queries) จากนั้นจึงไปค้นหาเว็บไซต์ในฐานข้อมูลที่ทำดัชนีไว้และนำมาจัดอันดับความเกี่ยวข้องจากปัจจัยวัดคุณภาพที่มีการอัปเดตอยู่เสมอ สุดท้ายจึงนำมาแสดงผลลัพธ์แก่ผู้ใช้

การทำ SEO คือการทำความเข้าใจว่า Google ทำงานอย่างไร มีปัจจัยอะไรบ้างที่ใช้ในการจัดอันดับและลงมือปรับปรุงเว็บไซต์ให้ได้ตามมาตรฐานของ Google จึงอาจเรียกว่า Google SEO

 

ทำ SEO อย่างไรให้ติดหน้าแรก

หลังจากที่ทราบว่า SEO คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรแล้ว มาดูกันว่า มีวิธีอย่างไรบ้างในการทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก

ทำ content ให้มีประโยชน์ต่อผู้อ่าน

การทำ SEO คือ กระบวนการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับและเกณฑ์สำคัญในการติดอันดับ คือคุณภาพของเนื้อหาภายในเว็บไซต์ ดังนั้นนอกจากจะมีการปรับแต่งองค์ประกอบอื่นของเว็บไซต์เพื่อให้ Google เข้าถึงง่ายแล้ว การสร้าง Content คุณภาพสูงจึงตัววัดคุณภาพอีกอย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน โดย Content คุณภาพสูง ประกอบด้วยลักษณะหลายอย่าง อาทิเช่น มีแหล่งอ้างอิงที่มีคุณภาพและสร้างความน่าเชื่อถือ เนื้อหาอยู่ในรูปแบบที่สามารถอ่านเข้าใจง่าย มีความจริงใจ ให้ความรู้ความเข้าใจ ก่อให้เกิดประโยชน์

Content คุณภาพสูงสามารถสร้างคุณค่าแบบยั่งยืนเพราะเผยแพร่สิ่งที่เป็นประโยชน์และดึงดูดให้คนที่เข้ามาอ่านเกิดความรู้สึกอยากอ่านต่อ มีระยะเวลาการอยู่ในหน้าเว็บไซต์นาน เมื่อเกิดความประทับใจจึงเกิดการแชร์หรือแบ่งปันให้คนอื่น ๆ ได้เข้ามาอ่านด้วยเช่นกัน เป็นการเพิ่ม Traffic ให้กับหน้าเว็บไซต์ และด้วยความน่าเชื่อถือทำให้มีโอกาสถูกอ้างถึงจากเว็บไซต์ภายนอกมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ Google มองว่าเว็บไซต์มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดไว้และจัดอันดับต้น ๆ ให้เว็บไซต์คุณภาพนั่นเอง

วิธีการเขียน Content ให้มีคุณภาพสูง มีดังนี้

  1. ทำความเข้าใจเจตนาของผู้ใช้ (Intent) และกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจ (Call to Action)
  2. จัดรูปแบบให้เหมาะสมเพื่อความง่ายในการอ่าน
  3. สำรวจเทรนฮิตในขณะนั้นและนำมาเขียนประเด็นเชื่อมโยง
  4. ทำการวิจัยในเรื่องที่จะเขียนเพื่อสร้างความเข้าใจอย่างถ่องแท้และการมีแหล่งอ้างอิงนั้นสร้างความน่าเชื่อถือ
  5. เขียนหัวข้อที่ไม่ซ้ำใครด้วยการเพิ่มมุมมองของนักเขียนเอง
  6. เขียนจากประสบการณ์ความรู้ของตัวนักเขียนเอง
  7. กำหนดหัวข้อจากเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม (Niche) จะทำให้เกิดการแข่งขันน้อย
  8. เสริมเนื้อหาด้วยสื่อที่หลากหลายให้น่าสนใจ ได้แก่ รูปแคปเจอร์หน้าจอ รูปถ่าย อินโฟกราฟิก แผนภูมิ วิดีโอ ภาพแอนิเมชัน มีม
  9. ตรวจสอบอย่างละเอียด ปรับแก้เป็นอย่างดี ก่อนที่จะเผยแพร่
  10. นำข้อมูลจากผู้ใช้มาวิเคราะห์คุณภาพของเนื้อหาเพราะในท้ายที่สุดแล้ว ผู้ใช้จะเป็นผู้บอกว่า เนื้อหาของเรามีคุณภาพหรือไม่

ทำ On-Page SEO

On-Page SEO เป็นกระบวนการที่ทำให้เว็บไซต์มีคุณภาพเพื่อติดอันดับของเครื่องมือค้นหา โดยอาศัยปัจจัยภายในเป็นหลัก จึงเรียกว่า On-Page ซึ่งมาจาก On-site เป็นการปรับปรุงเว็บไซต์ของเราเองให้ดีขึ้น ทำให้เว็บไซต์สามารถค้นหาได้ง่ายเพราะเป็นการทำให้เครื่องมือค้นหาหรือแม้กระทั่งผู้เข้าชมเข้าใจว่าเว็บไซต์มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องอะไร โดยมีเทคนิคหลายอย่างด้วยกัน ได้แก่

  1. ใส่ Keyword เข้าไปในส่วนประกอบต่าง ๆ ของเว็บไซต์ ได้แก่ Title, Meta Description และ URL
  2. อีกส่วนหนึ่งที่ต้องกระจาย Keyword เข้าไปอย่างเป็นธรรมชาติคือ ส่วนเนื้อหาและส่วนหัวข้อหรือ Heading TAG (H) ซึ่งมีทั้งหัวข้อใหญ่และหัวข้อย่อย ตั้งแต่ H1 H2 H3 ไปจนถึง H6
  3. ใส่รูปภาพทำให้เนื้อหาน่าอ่านและใส่ Keyword ลงไปใน Alt หรือคำอธิบายรูปภาพเพื่อให้ Google เข้าใจว่าเป็นรูปภาพเกี่ยวกับอะไร
  4. ทำ link เชื่อมโยงไปยังหน้าอื่นภายในเว็บไซต์ และทำ link ไปยังนอกเว็บไซต์เป็นการอ้างอิงถึงเว็บไซต์อื่น แต่ต้องเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพด้วย
  5. เพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ ปรับส่วนเนื้อหา รูปภาพ วิดีโอที่ต้องปรับเพื่อให้เว็บไซต์เบามากขึ้น

ทำ Off-Page SEO

Off-Page SEO เป็นกระบวนการที่ทำให้เว็บไซต์มีคุณภาพเพื่อติดอันดับของเครื่องมือค้นหา โดยอาศัยปัจจัยภายนอกเป็นหลัก จึงเรียกว่า Off-Page ซึ่งมาจาก Off-site เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของเราโดยมีการอ้างอิงจากแหล่งอื่นกลับเข้ามายังเว็บไซต์เรา มีเทคนิคหลายอย่าง ได้แก่

  1. Link Building เป็นวิธีที่นิยมมาก คือการทำ Backlink จากเว็บไซต์อื่นเชื่อมโยงมายังเว็บไซต์เรา ทั้งนี้เว็บไซต์ภายนอกต้องเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูงจึงจะมีน้ำหนักความน่าเชื่อถือสูงไปด้วยและต้องเป็นเว็บไซต์ที่มีความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์เราด้วย ควรอยู่ในกลุ่มธุรกิจหรือกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน
  2. Influencer Marketing วิธีนี้อาศัยผู้มีอิทธิพลในโลกออนไลน์ในการอ้างถึงเว็บไซต์ของเรา
  3. Public Relation เป็นการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ของเราไปยังกลุ่มเป้าหมาย
  4. Brand Building การสร้างแบรนด์ของเราให้เป็นที่รู้จักสามารถดึงดูดให้คนเข้ามายังเว็บไซต์ของเราได้
  5. Podcasts หรือหนังสือเสียงที่กำลังมาแรงในยุคปัจจุบัน หนังสือเสียงจะมีลักษณะพิเศษคือตัวเนื้อหาอาจเผยแพร่ได้บางแพลตฟอร์มเท่านั้น และมีแนวโน้มที่จะเติบโตมากยิ่งขึ้น

ทำ Technical SEO

Technical SEO มีเป้าหมายเพื่อให้ Googlebot วิ่งมารวบรวมข้อมูลได้ง่ายและนำเว็บไซต์ของเราไปจัดทำดัชนี (Indexing) จึงต้องอาศัยเทคนิคในการปรับปรุงเว็บไซต์เชิงลึก ได้แก่

  1. การเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ (Website speed) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหา เนื่องจาก Google ให้ความสำคัญกับ Page experience หรือ ประสบการณ์การใช้งานหน้าเว็บเพจ มีการประเมินว่าผู้ใช้มีการรับรู้และมีปฏิสัมพันธ์กับหน้าเว็บเพจอย่างไรบ้าง โดยดูจากการโหลดหน้าเว็บ การโต้ตอบและความเสถียรของการแสดงผลในหน้าเว็บ
  2. การแสดงผลได้ดีในทุกอุปกรณ์ (Mobile-friendly) ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต
  3. การจัดทำแผนผังเว็บไซต์ (XML Sitemap) แสดงถึงการเชื่อมโยงถึงกันภายในเว็บไซต์
  4. การจัดเก็บข้อมูลแบบมีโครงสร้าง (Structured Data) พ่วงกับการทำ Schema Markup เป็นการใส่ข้อมูลรายละเอียดฝังไว้ส่วน Header ของเว็บไซต์เพื่อให้ Googlebot วิ่งมาตรวจสอบและทำความเข้าใจได้ง่ายว่าเว็บไซต์มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรบ้าง

ทำ Local SEO

Local SEO คือ การทำ SEO สำหรับพื้นที่เฉพาะเจาะจง เป็นกลยุทธ์สำหรับธุรกิจท้องถิ่น (Local Business)หรือธุรกิจในพื้นที่เพื่อใช้ในการแข่งขันกับธุรกิจคู่แข่ง โดยใช้วิธีทำ SEO จาก Keyword เฉพาะ ซึ่งจัดอยู่ในประเภท Longtail Keyword คือ คำสำคัญที่ประกอบไปด้วยหลายคำ มักขึ้นต้นด้วย Keyword ตามด้วยชื่อพื้นที่ ตัวอย่าง เช่น “ร้านอาหารญี่ปุ่น เชียงใหม่ นิมมาน” เป็นต้น การเลือก Keyword จำเพาะเจาะจงแบบนี้ทำให้ไม่ต้องใช้ Keyword ที่กว้างและมีการแข่งขันสูงและยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายค้นหาเว็บไซต์เจอได้ง่ายมากยิ่งขึ้น อาจพิจารณาทำ Local SEO จากธุรกิจว่ามีหน้าร้านหรือไม่ มีความจำเป็นต้องทำให้เว็บไซต์ติดอันดับมากแค่ไหน นั่นคือการทำความรู้จักตัวเองและรู้ว่าสิ่งที่ต้องการที่แท้จริงคืออะไร

ใช้ Social Media เพิ่ม Traffic

Social Media หรือสื่อสังคมออนไลน์ถือเป็นแพลตฟอร์มหนึ่งที่คนนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ดังนั้นการเขียน Content แบบสั้น อ่านง่าย ชวนติดตาม พร้อมทำ link กลับมายังเว็บไซต์ของเราเอง หรือแม้กระทั่ง link ไปยังเว็บไซต์อื่นหรือบล็อกที่มีการทำ Backlink กลับมายังเว็บไซต์ของเรา ทั้งหมดนี้จะช่วยเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ได้ และสำหรับ Content ที่มี Engagement หรือยอดไลค์ยอดแชร์เยอะ ทำให้ Keyword ที่เราแทรกใน Content มีคะแนนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การทำ SEO มีผลลัพธ์ดีขึ้น

 

 

เริ่มต้นทำ SEO ใช้เครื่องมือ(ฟรี) อะไรบ้าง

 

สำหรับผู้เริ่มต้นทำ SEO สามารถใช้เครื่องมือฟรีในการช่วยทำ SEO ดังนี้

 

 

คำถามที่พบบ่อยในการทำ SEO

การทำ SEO คือ การทำงานที่มีรายละเอียดเยอะมาก ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจและใช้เวลาในการรอคอยผลลัพธ์ที่จะเกิด ระหว่างนั้นจึงเกิดคำถามที่พบบ่อย ได้แก่

 

ถาม : ใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะเห็นผลลัพธ์จากการทำ SEO?
ตอบ : ต้องพิจารณาเป็นกรณี โดยขึ้นอยู่กับเป้าหมายตั้งไว้สูงแค่ไหน มีการแข่งขันมากแค่ไหน สถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไรและงบประมาณที่ลงทุน จะเห็นผลในช่วง 4-8 เดือน

 

ถาม : หากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ในการใช้งานผ่านอุปกรณ์มือถือต้องทำอย่างไร?
ตอบ : อัปเดตเกณฑ์จาก Google เป็นหลัก ได้แก่
1. ทำให้เว็บไซต์โหลดได้เร็ว
2. เข้าไปยังส่วนต่าง ๆ ได้ง่าย ลดความซับซ้อนของเมนู และเนื้อหามองเห็นได้ง่ายโดยไม่ต้องซูม
3. ดำเนินการได้สะดวก ลดขั้นตอนกรอกแบบฟอร์ม/ทำธุรกิจให้น้อยที่สุด
4. ออกแบบโดยใช้หลัก Responsive design ที่สามารถแสดงผลได้ทุกอุปกรณ์ ทุกขนาดจอ
5. หมั่นทดสอบการใช้งานผ่านอุปกรณ์มือถืออยู่เสมอ ซึ่งมีเครื่องมือทดสอบทั้งจาก Google และค่ายอื่น

 

ถาม : การทำ SEO มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจ จำนวนหน้าเพจที่ปรับปรุง จำนวน Backlink ที่ส่งกลับมายังเว็บไซต์และความยากง่ายของคำค้น

 

ถาม : สามารถติดตามและวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำ SEO ได้อย่างไร?
ตอบ : การทำ SEO สามารถจ้างทำได้และจะมีรายงานผลมาให้ติดตามอยู่เป็นประจำ หรือ หากต้องการติดตามและวัดผลการทำ SEO ด้วยตนเองสามารถใช้เครื่องมือที่มีให้บริการทั้งฟรีและเสียค่าใช้จ่าย โดยมีประเด็นสำคัญบ่งบอกว่าการทำ SEO มีประสิทธิภาพ ได้แก่
1. อันดับเว็บไซต์หรืออันดับเฉลี่ยของกลุ่มคำ
2. การเติบโตของ Traffic
3. ยอดขายจาก Organic Traffic
4. Conversion Rate
5. อันดับโดยเฉลี่ยของกลุ่มคำค้นหาหรือของทั้งเว็บไซต์

ขอบคุณบทความจาก : https://technologyland.co.th/what-is-seo-2024.html


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที