การปฏิบัติธรรมก็เหมือนการเดินทางถ้าเราได้แผนที่ที่ถูกต้องก็จะลดเวลาลงได้มากทางสายเอกมีทางเดียวคือสติปัฏฐาน4 คือการเอาสติมาเห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิตและเห็นธรรมในธรรม ผมจะขออธิบายจากประสบการณ์จริงที่ได้ปฏิบัติมา เมื่อเรายังไม่เคยปฏิบัตินั้นเราอ่านเป็นร้อยๆรอบก็ไม่เข้าถึงสภาวะต่างๆได้จึงควร ปฏิบัติไปด้วยศึกษาธรรมไปพร้อมๆกัน ส่วนที่หนึ่ง จิตเราหรือในส่วนที่เรียกว่าวิญญาณ มีที่ท่องเที่ยวไปเกิดดับอยู่ 6 ที่ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ เราต้องจับไว้ให้มั่นให้เหลือเพียง ที่หนึ่งในกาย เรียก กายคตาสติ จากนั้นทำการยึดให้มั่นให้อยู่เป็นเสาเขื่อนเสาหลักคือยึดลมหายใจให้มั่น จิตที่เคยท่องเที่ยวไปก็จะมาอยู่ที่ลมหายใจ ต่อไปให้เราแยกกายส่วนกาย ใจส่วนใจออกจากกัน จะเห็นเวทนาจากกายเกิดขึ้นและดับส่วนนี้คือ เห็นเวทนาในเวทนา เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตจะเริ่มรู้แล้วว่า กายไม่ใช่เรา เป็นเพียงเครื่องส่ง เวทนาเข้ามาหาจิต เพียงเท่านั้น สักพักจิตจะทิ้งกาย กายจะหายไป เข้ามาค้นดูที่จิตก็ยังมี คิดไปอดีต คิดปรุงแต่ง รู้สึกดีไม่ดี อยู่ ก็ให้พิจารณาการเกิดดับของวิญญาณตรงนี้ จะพบว่ามีเกิดมีดับเช่นเดียวกัน เมื่อ ธาตุรู้เห็นการทำงานตรงนี้ ธาตุรู้ก็จะปรากฏตัวขึ้น เรียก เห็นจิตในจิต จิตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เมื่อเห็นแล้วธาตุรู้จะปล่อยจิต และเข้าสู่สภาวะรู้ รู้ เท่านั้น ทุกอย่างเป็นธรรมธาตุ ร่างกายเราประกอบด้วยธาตุ 6 ชนิด ดิน น้ำ ไฟ ลม อวกาศ และธาตุรู้ ที่ประกอบกันขึ้นและทำงานในฟังชั่นต่างๆตามกระบวนของกรรม เมื่อเราเข้าใจและแยกธาตุแยกขันธ์ได้แลัวนั้น ก็จะเกิดปัญญาที่ถูกต้อง คือเข้าใจกระบวนการทำงานของร่างกายและจิตใจ ปัญญานี้เองที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและชี้ทางให้กับพวกเรา เมื่อเข้าใจแล้วก็คงไม่มีอะไรตื่นเต้น ดังเช่นหมอที่เชี่ยวชาญในการผ่าตัด คงไม่ตื่นเต้นตกใจเมื่อมีคนไข้เข้ามารับการรักษาฉันนั้น
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที
