Speakout

ผู้เขียน : Speakout

อัพเดท: 07 ม.ค. 2023 00.01 น. บทความนี้มีผู้ชม: 3709 ครั้ง

ใครที่ชอบเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ต้องเสี่ยงกับโรคอะไรบ้าง


ใครที่ชอบเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ต้องเสี่ยงกับโรคอะไรบ้าง?

หลายคนอาจชื่นชอบเซ็กส์ที่ตื่นเต้นเร้าใจ อย่างความสัมพันธ์แบบ One Night Stand เพราะไม่ชอบผูกมัดกับใคร และรักอิสระ แต่หลายคนอาจลืมไปว่า การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ นั้น นำมาซึ่งความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากมาย ดังจะยกตัวอย่างต่อไปนี้
 
ไวรัสเอชไอวี
 
อย่างที่ทราบกันดีกว่า ไวรัสเอชไอวี ตอนนี้ยังไม่สามารถรักษาและกำจัดเชื้อให้หมดไปจากร่างกายได้ การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคน ถือเป็นช่องทางหลักที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อไวรัสเอชไอวีได้โดยตรง ยิ่งใครที่ไม่ชอบสวมถุงยางอนามัยก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะติดเชื้อจากสารคัดหลั่งของผู้ที่มีเชื้อได้ อีกทั้ง การติดเชื้อไวรัสเอชไอวียังไม่มีอาการให้สังเกตเห็นได้เลย นอกจากการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อไวรัสเอชไอวีเท่านั้น ปัจจุบัน วิธีที่รักษาไวรัสเอชไอวีได้ดีที่สุด คือ การทานยาต้านไวรัสเอชไอวีทุกวัน เพื่อกดจำนวนเชื้อไวรัสไม่ให้แพร่กระจายไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และป้องกันโรคแทรกซ้อนที่อาจนำไปสู่ภาวะโรคเอดส์ที่ส่งผลร้ายแรงต่อชีวิต
 
ซิฟิลิส
 
โรคซิฟิลิส เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียผ่านกิจกรรมทางเพศที่สัมผัสกับแผลโดยตรง อาการของโรคนี้มักเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือแม้แต่กระทั่งบริเวณริมฝีปาก ลำคอ หากมีการทำออรัลเซ็กส์โดยไม่ได้ป้องกันด้วย แต่ซิฟิลิสก็ยังสามารถรักษาให้หายได้ด้วยการใช้ยาเพนิซิลลินฉีดเข้ากล้ามเนื้อจำนวน 3 เข็ม และต้องได้รับการตรวจพบเชื้อซิฟิลิสตั้งแต่แรกเริ่มที่ติดเชื้อมา จึงจะหายขาดจากโรคได้ไว และหากเป็นโรคซิฟิลิสจริงๆ ควรงดมีเพศสัมพันธ์ พร้อมทั้งชวนคู่นอนของคุณมาทำการตรวจและรักษาไปพร้อมกัน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะกลับมาติดเชื้อซ้ำ ความน่ากลัวของโรคนี้ที่หากไม่ได้รับการตรวจเจอไว จะทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ตา หู หัวใจ สมอง กล้ามเนื้อ อัมพาต และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
 
หนองในเทียม
 
หนองในเทียม เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชื่อ Clamydia trachomatis (คลามายเดีย แทรโคมาทิส) ส่งผลเสียต่ออวัยวะเพศ ทวารหนัก ปาก หรือดวงตา อาการของหนองในเทียม ช่วงแรกที่ติดเชื้อจะยังไม่แสดงอาการให้เห็น แต่หากผ่านไปประมาณ 1-3 สัปดาห์ จะแสดงอาการที่แตกต่างกันออกไปตามเพศ คือ ผู้ชายจะมีมูกใสหรือขุ่นไหลออกมาจากปลายองคชาติ ที่ไม่ใช่อสุจิหรือปัสสาวะ เจ็บและแสบเวลาปัสสาวะ ปวดบวมที่ลูกอัณฑะ และหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศเกิดการอักเสบ ส่วนผู้หญิงจะเกิดการตกขาวผิดปกติ มีกลิ่นเหม็น ปวดท้องน้อยมากเวลามีเพศสัมพันธ์หรือมีรอบเดือน เจ็บและแสบเวลาปัสสาวะเหมือนกับผู้ชาย หนองในเทียม สามารถรักษาได้โดยการรับประทานยาปฏิชีวนะ เพื่อช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของแบคทีเรีย ซึ่งจะมีอาการดีขึ้นภายในระยะเวลาประมาณ 7-14 วันแต่หากยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดยาเข้าเส้นเลือดเพิ่ม
 
หนองในแท้
 
หนองในแท้ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเช่นกันกับหนองในเทียม แต่คนละชื่อ คือ Neisseria Gonorrhoeae (ไนซีเรีย โกโนเรีย) หนองในแท้จะมีอาการที่คล้ายคลึงกับหนองในเทียม เพียงแต่จะมีความรุนแรงที่แตกต่างกัน รวมไปถึงขั้นตอนการเลือกใช้ยาสำหรับรักษาหนองในแท้ก็เป็นคนละตัวยากัน สิ่งสำคัญ คือการเก็บตัวอย่างและตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ผู้รักษาโรค ว่าสามารถแยกออกเป็นหนองในจากแบคทีเรียชนิดใดกันแน่ เพื่อที่กระบวนการ การรักษาที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประเด็นสำคัญ คือผู้ติดเชื้อต้องหมั่นสังเกตอาการที่ผิดปกติของตัวเอง อีกทั้งไม่ควรซื้อยามาทานเอง เพราะมีความอันตรายจากการใช้ยาผิดที่อาจเกิดขึ้นได้ภายหลัง
 
เริมที่อวัยวะเพศ
 
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า Herpes Simplex Virus (เฮอร์พีส์ ซิมเพล็ก ไวรัส) หรือเรียกย่อๆ ว่า HSV เชื้อเริมนี้มีความแปลกประหลาดกว่าเชื้อชนิดอื่น เพราะจะเข้าไปฝังตัวบริเวณรากประสาทใกล้กับไขสันหลัง ทำให้เชื้อยังอยู่ในร่างกายได้ตลอดเวลา แม้อยู่ในระยะที่อาการของโรคสงบลงแล้ว โรคเริมที่อวัยวะเพศ จึงไม่อาจรักษาให้หายขาด ทำได้เพียงควบคุมอาการด้วยการทานยาต้านไวรัส เพื่อไม่ให้กำเริบ  โดยจะมีตุ่มน้ำบริเวณอวัยวะเพศ เจ็บขณะปัสสาวะ และมีอาการบวมแดงในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย อย่างไรก็ตาม อาการจะกลับมาแสดงให้เห็นได้อีก เมื่อมีความเครียด เจ็บป่วย มีประจำเดือน และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายลดต่ำลง
 
พยาธิในช่องคลอด
 
โรคพยาธิในช่องคลอดของเพศหญิง เกิดจากการติดเชื้อปรสิตชนิดโปรโตซัว ที่มีชื่อว่า Trichomonas Vaginalis (ทริโคโมแนส วาจินาลิส) ผู้ที่ติดเชื้อแทบไม่มีอาการใดๆ แสดงให้เห็นเลย หรืออาจมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น มีตกขาวเป็นสีเหลืองหรือเขียว มีกลิ่นเหม็น รู้สึกคันและแสบในช่องคลอด ปัสสาวะขัด และเจ็บมากเวลามีเพศสัมพันธ์ หากไม่ได้รับการตรวจและรักษา เชื้อปรสิตนี้จะแฝงตัวอยู่ในร่างกายได้นานนับปี และถ่ายทอดเชื้อให้กับคู่นอนของคุณได้ ซึ่งโรคพยาธิในช่องคลอดนี้จะทำการรักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ และเมื่อหายแล้วควรกลับไปตรวจซ้ำภายใน 90 วัน เพราะมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้อีก
 
หากกลัวที่จะติดโรคเหล่านี้ ก็ควรต้องศึกษาวิธีการป้องกันที่ถูกต้องควบคู่กันไป เช่น การสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ไม่ว่ากับใครก็ตาม การทานยาต้านไวรัสเอชไอวีก่อนสัมผัสเชื้อ หรือที่เรียกว่า ยาเพร็พ (PrEP) ต่อเนื่องทุกวัน ที่สำคัญ ใครที่มีความสัมพันธ์แบบนี้ก็ควรหมั่นไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัสเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคุณจะมีสุขภาพที่ดี ปราศจากโรคร้ายได้ตลอดไปครับ
 
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จากhttps://buddyplus.org

บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที