DBZ

ผู้เขียน : DBZ

อัพเดท: 29 ส.ค. 2007 23.07 น. บทความนี้มีผู้ชม: 18647 ครั้ง

มีหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่เหมือนเราจะรู้จัก
แต่จริงๆแล้วอาจจะยังไม่รู้จัก


รถ รถ รถ...รถเมล์

ผมพยายามเดินมองอย่างถี่ถ้วนอยู่หลายรอบ ก็ไปสะดุดตาเข้ากับกล่องสูงๆใบหนึ่ง มีรูปทรงคล้ายๆตึกขนาดย่อม ทำจากกระจก ภายในมีตัวเลข และป้ายวงกลมแสดงสัญลักษณ์ต่างๆ อะไรที่มีลักษณะเช่นนี้มาตั้งอยู่อย่างถาวรบนทางเท้าข้างถนน พร้อมกับมีตัวเลขบอก มันก็ต้องเป็น...



 

“ป้ายรถเมล์ !!!”



 

ไม่น่าเชื่อเลยว่า มันจะเป็นป้ายรถเมล์ ที่นั่งก็ไม่มี หลังคาก็ไม่มี มีแต่ป้ายกลมๆที่อยู่ในตู้นั่นบอกว่า รถสายต่อไปจะเป็นสายอะไร ไม่ว่ารูปทรงมันจะประหลาดเพียงใดยังไงมันก็คือป้ายรถเมล์ ผมจำเป็นต้องรอรถเมล์ที่นี่ ผู้คนที่จะมารอตรงนี้ก็มีไม่มากนัก บางเวลาไม่มีคนเลยด้วยซ้ำ นี่ถ้าเพื่อนผมไม่บอกว่าป้ายรถเมล์อยู่แถวนี้ ผมคงไม่มีทางหาเจอ

 

19715_BusStop.jpg

 

รถเมล์สายที่ผมรอ คือ สาย 207 ผมยืนคอยและมองอะไรเพลินๆไปได้ไม่นานนัก เจ้ารถปรับอากาศคันใหญ่ก็ตรงมาเพื่อจะจอดเทียบกับป้ายรถเมล์นั้น ประตูมีสองทาง ด้านหน้ารถและด้านหลังรถ คล้ายๆกับรถเมล์บ้านเรา ต่างกันตรงที่ด้านนอกของรถ มีปุ่มกดอยู่ด้วย ปุ่มนี้มีไว้สำหรับให้ผู้โดยสารกดจากภายนอก หากประตูรถปิดอยู่และรถยังไม่ถึงเวลาออกจากป้าย เพื่อเป็นการส่งสัญญาณบอกคนขับให้รู้ว่ามีผู้โดยสารต้องการจะขึ้นรถ



               

                ขณะที่ผมยังเพลิดเพลินกับการยลโฉมภายนอกของรถเมล์คันนั้น มันก็มาจอดนิ่งๆอยู่ข้างๆป้ายรถเมล์แล้ว



 

            ฟู่ !!!



 

                หลังจากเสียงนั้น ด้านซ้ายของรถก็ถูกลดระดับลงด้วยระบบไฮดรอลิก รถดูเอียงไปเล็กน้อยเพื่อให้บันไดทางขึ้นอยู่ไม่สูงจากทางเท้ามากนัก เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ จะได้เดินขึ้นรถอย่างปลอดภัย เรียกได้ว่าเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้รับบริการอย่างเต็มที่



 

                ผมเดินขึ้นรถทางประตูด้านหลังและรับกระดาษแผ่นเล็กๆจากเครื่องผลิตกระดาษที่ติดอยู่ข้างทางขึ้น ซึ่งกระดาษแผ่นนั้นคงเป็นอะไรไม่ได้นอกจาก “ตั๋วโดยสาร” มันมีหมายเลขพิมพ์อยู่ให้เห็นได้ชัดเจน หมายเลข ‘1’ จากนั้นผมก็เข้ามานั่งบนเบาะอันอ่อนนุ่ม ช่วงเวลาที่อยู่ในรถ ผมสังเกตบอร์ดเรืองแสงที่ติดอยู่ด้านหน้ารถเหนือพนักงานขับรถขึ้นไป ที่คอลัมน์หมายเลข1 มีตัวเลขเรืองแสงเขียนไว้ว่า 190 ซึ่งมันหมายความว่า ผู้ที่มีตั๋วโดยสารที่พิมพ์หมายเลข1 ไว้ ให้มองที่คอลัมน์หมายเลข1 จะต้องจ่ายเงินเมื่อจะลงจากรถจำนวน 190 เยน ตราบเท่าที่ตัวเลข190ไม่เปลี่ยนเป็นเลขอื่น เมื่อรถวิ่งผ่านป้ายมากขึ้นเรื่อยๆ เลข 190 จะเลื่อนไปยังคอลัมน์หมายเลข2 ซึ่งตอนแรกไม่ปรากฏเลขใดๆ



 

                ผมพยายามนับป้ายให้ครบตามที่เพื่อนผมบอก เมื่อสมองสั่งการว่ากำลังจะครบสามป้าย ผมก็เดินออกไปยังประตูด้านหน้า เพื่อจ่ายเงินก่อนจะลงจากรถ ผมก้มลงเช็คหมายเลขที่พิมพ์บนตั๋ว มันคือหมายเลข ‘1’ จากนั้นก็มองไปยังบอร์ดเรืองแสงเหนือคนขับว่าคอลัมน์หมายเลข ‘1’ จำนวนเงินเป็นเท่าใด ตอนนี้มีตัวเลขเรืองแสงคือ 220 นั่นคือ ผมต้องจ่ายเงิน 220 เยนเป็นค่าโดยสาร



 

                ผมลงจากรถมาอยู่บนทางเท้าซึ่งมีตึกแถวที่ผันตัวเองเป็นร้านอาหารเปิดเรียงรายกันอยู่มากมาย  ราเมน สเต็ก ข้าวหน้าหมู ฯลฯ มันทำให้ท้องผมร้อง ผมรู้สึกหิวขึ้นมาทันทีและตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยงแล้วด้วย ก่อนที่ผมจะก้าวเท้าเข้าร้านใดร้านหนึ่ง สมองผมก็มาหยุดคิดได้ว่า เรามาที่นี่ก็เพราะว่าจะมาทานข้าวกับเพื่อน ดังนั้นต้องยับยั้งชั่งใจไว้ก่อน เจอเพื่อนแล้วค่อยว่ากัน



 

                ผมยังคงยืนอยู่บริเวณทางเท้านั้นและหยิบกระดาษที่จดข้อมูลการเดินทางออกมาจากกระเป๋าเสื้อ จากจุดนี้สิ่งที่ผมต้องทำคือ โทรหาเพื่อนผม แล้วเพื่อนผมจะเดินออกมารับ เป็นอันจบกระบวนการเดินทางจากอิรินากะสู่โกะคุไซเซ็นเตอร์



 

                ผมล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงด้านขวาเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแต่...



 

            ไร้ซึ่งมวลสารใดๆ!!!



 

                ปกติผมจะใส่โทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋ากางเกงด้านขวาเสมอ เนื่องจากเคยมีประสบการณ์โทรศัพท์มือถือหายจากการล้วงกระเป๋าเป้ ถ้ามันไม่อยู่ในกระเป๋ากางเกง เป็นไปได้ว่ามันอาจจะหาย  ผมรู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาทันที ท่ามกลางเมืองที่ไม่รู้จัก กับการติดต่อที่สื่อสารไม่ได้ มันดูราวกับนักเดินทางที่เดินทางโดยไร้เข็มทิศ ผมพยายามหาที่กระเป๋าซ้าย กระเป๋าขวาหลัง ซ้ายหลัง กระเป๋าเสื้อ สิ่งที่ผมเจอมีแต่เพียง “ความว่างเปล่า”



 

                ผมคว้ากระเป๋าเป้ออกมาค้นทุกซอกทุกมุม แล้วความพยายามของผมก็สำเร็จ โทรศัพท์มือถือของผมมันวางอยู่ในกระเป๋าเป้นั่นเอง ผมมานึกได้ว่า ตอนที่ผมหยิบมันใส่ลงไปก็เพราะว่า ประเทศนี้ไร้ซึ่งโจรขโมย ถึงผมจะใส่มันไว้ในกระเป๋าเป้ คงไม่โดนล้วงไปได้ง่ายๆ



 

                “มาถึงแล้วนะ ออกมารับได้แล้วล่ะ” ประโยคแรกหลังจากไม่ได้พูดกับใครมาตลอดการเดินทาง



 

                “จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ อยู่ที่ไหนเหรอ”  เสียงจากปลายสายที่กำลังจะเดินมาหาผม

 

                “ป้ายรถเมล์สิ มีร้านราเมน...อือ...อ่านว่าอะไรนะ   ตรงที่มีร้านอาหารเยอะๆน่ะ”

 

                “ร้านอาหารเยอะๆ แถวนี้ไม่ค่อยมีนะ นายลงผิดป้ายรึเปล่านี่”

               

                “ว่าไงนะ!!!!!!!!!!!!!!!!” ผมพูดได้แค่นั้น ความเงียบก็บังเกิด

 

            แบตหมด!!!

 

                To be continued…


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที