โดย ดร. ธนัยวงศ์ กีรติวานิชย์
แนวคิดเกี่ยวกับการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพถือเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันต่างก็ให้ความสนใจกันค่อนข้างมาก ทั้งนี้ก็เพราะ ร่างกาย และจิตใจของคนเรานั้นเปรียบเหมือนกับเครื่องจักรที่พอถูกใช้งานไปนานๆ ก็ย่อมที่จะมีวันสึกหรอ หรือทรุดโทรมลงได้ ยิ่งถ้าถูกใช้งานอย่างไม่บันยะบันยัง และขาดซึ่งการเอาใจใส่ดูแล โดยหากปล่อยให้สุขภาพกาย และใจของเราทรุดโทรมลงไปเรื่อยๆ แล้ว ในที่สุดเมื่อถึงเวลาที่ต้องทำการแก้ไขก็อาจจะไม่ทันการณ์ หรือสายเกินกว่าที่จะเยียวยาก็เป็นได้
แน่นอนว่า เราต่างก็อยากจะมีสุขภาพที่ดีกันทุกคน โดยการมีสุขภาพที่ดีนั้น มีความหมายถึง ภาวะที่เรามีความสุข มีจิตใจแจ่มใส อารมณ์เบิกบาน มีสมรรถภาพร่างกายที่ดี ตลอดจนสามารถดำรงชีวิตอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมต่างๆ ได้โดยไม่เจ็บไข้ได้ป่วย หรือถ้ามีก็สามารถควบคุมป้องกันได้นั่นเอง อย่างไรก็ตาม การที่เราจะทราบได้ว่า ตนเองมีสุขภาพดี หรือไม่นั้น ก็ต้องไปเข้ารับบริการตรวจสุขภาพร่างกาย และจิตใจจากสถานพยาบาลอย่างเป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งการตรวจสุขภาพนี้ถือว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะทำให้ทราบได้ว่า การทำงานทุกส่วนในร่างกาย ตลอดจนจิตใจของเรามีความสมบูรณ์ครบถ้วน หรือไม่เพียงใด และหากมีสิ่งใดที่ผิดปกติเกิดขึ้น ก็สามารถที่จะเข้ารับการบำบัดรักษาได้อย่างทันท่วงที เพื่อป้องกัน หรือลดความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นนั้นๆ นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยลดการสูญเสียเงินทองเป็นจำนวนมากๆ ไปกับการพักฟื้นรักษาตัวอีกด้วย
เช่นเดียวกันกับเรื่องของการดูแลรักษาสุขภาพทางการเงินซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพราะเรื่องเงินๆ ทองๆ เป็นสิ่งที่ใกล้ตัว และเกี่ยวข้องกับเราแทบทุกวี่ทุกวัน จนกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิตของคนเรากันไปแล้ว หากลองคิดกันดูเล่นๆ ว่า ถ้าไม่มีเงิน ตัวเรา และครอบครัวจะจับจ่ายใช้สอยซื้ออาหาร ตลอดจนสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่เราจำเป็น และต้องการได้อย่างไร หรือถ้าอยากไปเที่ยวที่ไหนๆ หากไม่มีเงินก็คงทำได้ยาก ในทางกลับกัน หากเรามีเงิน อยากจะได้อะไร หรือทำอะไรก็ย่อมที่จะสามารถหาซื้อได้ เงินจึงถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่า และมีประโยชน์มากทีเดียว อย่างไรก็ตาม เงินกลับเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างจำกัด และไม่ใช่ว่าจะสามารถหามาได้อย่างง่ายๆ หากเราเอาแต่นอนอยู่เฉยๆ โดยหวังเพียงแต่ว่าเงินจะวิ่งเข้ามาหาเราเอง อย่างนี้ก็คงได้แต่ร้องเพลง รอ ของวง Clash กันต่อไป ทั้งนี้ก็เพราะว่า ธรรมชาติของเงินจะวิ่งเข้าหาคนที่รู้จักขวนขวายหามันเท่านั้น และคงไม่มีใครในโลกที่บ้าพอที่จะเอาเงินมาประเคนให้เราใช้ฟรีๆ เป็นแน่
นอกจากนี้ เงินยังมีลักษณะพิเศษตรงที่มันมักจะวิ่งหนีไปจากคนที่ไม่รู้จักคุณค่า และขาดการดูแลรักษาเอาใจใส่มัน หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ หากเราไม่รู้จักการเก็บออมเงิน และไม่รู้จักกับวิธีการจับจ่ายใช้สอยเงินทองอย่างถูกต้อง โดยที่การใช้จ่ายนั้นเป็นการกระทำไปอย่างไม่ได้ยั้งคิด ก็ย่อมที่จะก่อให้เกิดนิสัยฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย หรือมือเติบขึ้น แน่นอนว่า เงินทองที่หามาได้นั้นไม่ว่าจะมากน้อยเพียงใด ในที่สุดก็ย่อมที่จะสึกหรอ หรือมีโอกาสหมดลงไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย แต่มีรสนิยมสูง ชอบซื้อสิ่งของเครื่องใช้แบรนด์เนมต่างๆ ซึ่งมีราคาแพงๆ จนทำให้ประสบกับปัญหารายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ชักหน้าไม่ถึงหลัง ต้องไปก่อหนี้ยืมสินมาเพื่อใช้สนองตอบการดำรงชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อของตน และก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพทางการเงินที่ย่ำแย่ขึ้นในที่สุดนั่นเอง
ดังนั้น เราทุกคนจึงควรเอาใจใส่ดูแลรักษาสุขภาพทางการเงินของตนเองให้เหมือนกับการเอาใจใส่ดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย และจิตใจของตนจนดีพร้อม แข็งแรง และปราศจากโรคภัยทั้งหลายทั้งปวง โดยหมั่นตรวจสอบสุขภาพทางการเงินอย่างเป็นประจำสม่ำเสมอ จากการลองสำรวจตนเองในประเด็นที่สำคัญต่างๆ เช่น เป้าหมายทางการเงินของเราคืออะไร มีเงินออมสำรองไว้เผื่อยามฉุกเฉินหรือไม่ พฤติกรรมการใช้จ่ายของเราเป็นอย่างไรบ้าง มีรายได้อื่นๆ นอกเหนือจากอาชีพหลักที่ทำอยู่หรือไม่ เป็นต้น และอาจทดลองทำแบบฟอร์มการตรวจสอบสุขภาพทางการเงินที่หลายๆ หน่วยงานได้จัดทำขึ้นดูก็ได้ (ยกตัวอย่างเช่น ที่เวปไซด์: www.mfcwebactivity1.com/latirelire02/saving/p24.html) แน่นอนว่า การมีสุขภาพทางการเงินที่ดีในวันนี้ย่อมนำมาซึ่งความมั่นคงในชีวิต ตลอดจนนำไปสู่ความมั่งคั่งในอนาคตที่ยั่งยืนของเราทุกคนครับผม!
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที
