‘ภูมิแพ้’ คือหนึ่งในอาการป่วยที่น่ารำคาญและน่ากวนใจมากที่สุดอาการหนึ่ง ที่ถึงแม้โดยทั่วไปแล้วมันจะไม่ได้ร้ายแรงมาก เพียงแต่สร้างความรำคาญเท่านั้น ดังนั้นการรับประทานยาแก้แพ้จึงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ผู้คนนิยมใช้กัน อย่างไรก็ตามสำหรับคนท้องที่ร่างกายต้องได้รับการดูแลมากกว่าคนทั่วไป อาจเกิดความสงสัยว่าคนท้องกินยาแก้แพ้ได้ไหม?
บทความนี้จะหยิบยกเอกสารทางการแพทย์เพื่อมาประกอบการอธิบายว่าและตอบคำถามว่าคนท้องกินยาแก้แพ้ได้ไหม ใครที่กำลังสงสัยเรื่องนี้ ติดตามได้เลย
จากเอกสารทางการแพทย์ที่ตีพิมพ์กับ American College of Obstetricians and Gynecologists (ACOG)ตอบคำถามว่าคนท้องกินยาแก้แพ้ได้ไหมด้วยการระบุว่าอาจมีการใช้ยาแก้แพ้ที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์ (OTC) หลายชนิดในระหว่างตั้งครรภ์ โดยแต่ละชนิดส่งผลดังนี้
ยาต้านฮีสตามีนรุ่นเก่ากว่าสามารถรับประทานได้ แต่อาจทำให้ง่วงซึมได้
ยาแก้แพ้รุ่นที่ใหม่กว่าก็สามารถนำมาใช้ได้และมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการง่วงนอนน้อยลง
นอกจากนั้นมีหนึ่งข้อควรระวังที่ระบุไว้ว่าควรหลีกเลี่ยงยาแก้คัดจมูกในช่องปากในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์
โดยอาการแพ้ หวัด และผื่นผิวหนังที่แพ้อาจเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ การได้รับการรักษาระหว่างการตั้งครรภ์อาจพิจารณาถึงประโยชน์และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาอย่างรอบคอบเป็นพิเศษ
จากข้อมูลของ ACOG ช่วยตอบคำถามว่าคนท้องกินยาแก้แพ้ได้ไหมได้เป็นอย่างดี โดยยาแก้แพ้ดั้งเดิมที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับสตรีมีครรภ์คือ:
คลอเฟนิรามีน
เดกซ์คลอเฟนิรามีน
ในขณะที่ American College of Allergy, Asthma และ Immunology (ACAAI) แนะนำ Chlor-Trimeton (chlorpheniramine) เป็นตัวเลือกแรกสำหรับคนท้องกินยาแก้แพ้ โดย ACAAI แนะนำให้ใช้ คนท้องกินยาแก้แพ้รุ่นที่ได้รับการพัฒนาแล้ว อาการง่วงซึมหลังจากกินน้อยลง:
คลาริติน (ลอราทาดีน)
ไซเทค (เซทิริซีน)
ทั้ง ACOG และ ACAAI บอกว่าควรหลีกเลี่ยง OTC Decongestants ในช่องปากในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์เนื่องจากความเสี่ยงที่เป็นไปได้ของการเกิดข้อบกพร่องของผนังหน้าท้อง เหล่านี้รวมถึงยาระงับความรู้สึก Sudafed (pseudoephedrine) และสารคัดหลั่งอื่น ๆ เช่น phenylephrine และ phenylpropanolamine
สเปรย์ฉีดจมูกสำหรับโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง สเปรย์ฉีดจมูกที่บรรเทาอาการคัดจมูก เช่น Afrin และ Neo-Synephrine ดูเหมือนจะปลอดภัยในการตั้งครรภ์ แต่อาจทำให้คัดจมูกกลับมาได้หากใช้มากกว่าหนึ่งหรือสองวัน สเตียรอยด์พ่นจมูกอาจมีประสิทธิภาพมากกว่า ACAAI แนะนำให้เริ่มต้นด้วย Rhinocort® (budesonide)
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที
