DBZ

ผู้เขียน : DBZ

อัพเดท: 29 ก.ค. 2007 01.16 น. บทความนี้มีผู้ชม: 21640 ครั้ง

กาลเวลา
เปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่าง
มีหลายคนพยายามที่จะรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้
พวกเราก็เช่นกัน... ถึงจะไม่อาจบังคับกาลเวลาได้ แต่เราก็จะพยายามให้มากที่สุด


ที่มาของภาพถ่าย

                ตะวันเปล่งแสงพ้นขอบฟ้าเปลี่ยนคืนที่มืดมิดให้เป็นเช้าที่สว่างไสว ขณะเดียวกันก็วาดเงาของตึกและอาคารบ้านเรือนลงกับผืนดินราวกับจิตกรสร้างผลงานชิ้นเอก เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ผมตื่นนอนและเตรียมตัวไปทริปอย่างที่เมื่อวานได้ตัดสินใจไว้ ชีวิตในช่วงเช้าของวันอาทิตย์แบบนี้ ไม่ต้องเร่งรีบเหมือนกับวันธรรมดา ตื่นนอน เก็บที่นอน แปรงฟัน อาบน้ำ และมีขนมปังกับนมหนึ่งแก้วเป็นมื้อแรกของวัน


               
ผมเตรียมกล่องบันทึกความทรงจำลงกระเป๋าแล้วแบกมันออกจากห้องพัก แสงอาทิตย์ในวันนี้สดใส ร้อนแรง สมกับเป็นแสงตะวันแห่งแดนอาทิตย์อุทัย จุดนัดพบของผมในวันนี้ เป็นลานจอดรถแห่งหนึ่ง เหตุท
ี่ต้องนัดพบกันที่นี่เพราะว่า หลายคนจะนำรถส่วนตัวไปกันเอง งานนี้คงมีรถไปร่วมกันหลายคันทีเดียว ผมใช้เวลาประมาณสี่สิบห้านาทีก็มาถึงยังจุดหมาย และสำเนียงแรกที่ผมได้ยิน

 

“โอฮาโย่ (おはよう)” 

 

ใช่แล้ว!!! ผมเลือกที่จะไปกับชาวญี่ปุ่น ไม่รู้เพราะว่าผมอยากฝึกภาษาญี่ปุ่นหรือว่าอยากเล่นซอฟท์บอลกันแน่ และผมก็ยังไม่รู้ด้วยว่าเราจะได้อะไรจากการตัดสินใจเลือกในครั้งนี้



 

“คุณครู” ผู้ที่สอนความรู้ในการทำงานต่างๆให้กับผมไม่ได้มาร่วมทริปในครั้งนี้ เนื่องจากติดธุระทางบ้าน ผมกับเพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นอีกสองคนจึงนั่งรถคันเดียวกัน โดยที่ชายคนแรกเป็นผู้ขับ ชายคนที่สองเป็นผู้นำทางอยู่ข้างๆ และมีผมเป็นผู้ให้กำลังใจอยู่ด้านหลัง นี่คือกรณีของการนั่งรถอย่างมีแบบแผนของชาวญี่ปุ่น คือ ผู้ขับมีหน้าที่ขับรถอย่างระมัดระวัง  ผู้นั่งด้านข้างจะชี้นำทาง   ให้คำแนะนำ คอยระวัง  ดั่งเนวิเกเตอร์ และผู้โดยสารอีกหนึ่งคนคอยดูแลความเรียบร้อยด้านหลังรถ เช่นพวกสัมภาระต่างๆ ถ้าทำได้ตามนี้แล้ว จะทำให้เรามั่นใจในความปลอดภัยของการโดยสารครั้งนี้ได้
 


ระหว่างทางผมพยายามใช้ความรู้ภาษาญี่ปุ่นที่ผมมี สร้างบทสนทนากับเขาให้เข้าใจมากที่สุด ชายหนุ่มทั้งสองก็พยายามสื่อสารกับผมอย่างไม่รังเกียจหรือมีอาการรำคาญแต่อย่างใด บางครั้งอาจจะต้องใช้การวาดภาพประกอบ แต่ก็ไม่ได้ทำให้การสนทนาของเราทั้งสามคนลื่นไหลมากนัก และนั่นเองทำให้ผมคิดอยู่ในใจลึกๆว่า ผมคิดถูกหรือคิดผิดที่ตัดสินใจมาเล่นซอฟท์บอล

 

ประมาณสามสิบนาที เจ้ายานพาหนะสี่ล้อมันก็พาชายหนุ่มสามคนมาถึงลานซอฟท์บอล ผมรีบลงจากรถแล้ววิ่งไปสุดทางเดิน ต่อจากปลายทางเดินนั้นเป็นบันไดคอนกรีตที่จะพาทุกคนลงไปยังสนามซอฟท์บอล ณ ที่นั้นเอง สายตาของผมก็ได้ยลโฉมกับสนามซอฟท์บอลกลางแจ้งที่กว้างขวางที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดไอจิ พื้นทรายสีน้ำตาลอมส้มที่พาดด้วยลายเส้นสีขาวของปูนขาวบอกให้เรารู้ว่ามันคือสนามสำหรับกีฬาชนิดหนึ่ง เสาขนาดใหญ่สี่เสาที่ปลายยอดเต็มไปด้วยสปอร์ทไลท์ราวกับต้นไม้สูงชะลูดที่มีดอกผลเต็มต้น ตั้งตระหง่านอยู่ทั้งสี่ด้านของสนามซอฟท์บอล สิ่งนี้มีไว้ใช้ในยามค่ำคืนอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งหมดนั้นทำให้ผมดูตัวเล็กลงไปถนัดตา
 


 

ผมรีบกลับมาที่ลานจอดรถ เพื่อช่วยขนสัมภาระที่จำเป็นต่างๆไปยังสนามซอฟท์บอล ไม่กี่นาทีต่อมา รถคันอื่นก็มาถึง รวมผู้ที่มาร่วมทริปครั้งนี้กว่ายี่สิบคน ทุกคนต่างร่วมมือร่วมใจโดยไม่ต้องบอกกล่าว ขนสัมภาระที่จำเป็นลงสู่สนามซอฟท์บอล เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว ก็แบ่งทีมออกเป็นสองทีม คือ ทีมแสง และ ทีมเงา เวลานั้นผมรู้สึกสงสัยกับการตั้งชื่อทีมของเขาจริงๆ ว่ามันมีความหมายว่าอย่างไร ครั้นจะถามพวกเขา ก็เกรงว่าจะต้องคุยกันยาวด้วยภาษาที่ยังไม่ชำนาญ ผมจึงได้แต่ซ่อนความสงสัยนั้นเอาไว้ ถ้าให้ผมตั้งชื่อทีมคงไม่ต้องคิดมาก ตั้งชื่อทีมเอ กับทีมบี หรือไม่ก็ชื่อที่ดูเก๋ๆ แนวฝรั่งๆ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะนี่ก็คือการเล่นเพื่อมาพบปะพูดคุยหากิจกรรมทำร่วมกันมากกว่า
 


 

คนไม่เคยเล่นซอฟท์บอลครั้งแรกอย่างผม คงไม่ได้เป็นมือแรกๆในการตีแน่ ผมจึงนำช่วงเวลาในการรอคิวตีลูก มาใช้ให้เป็นประโยชน์ ผมหยิบเจ้ากล้องดิจิตอลตัวน้อยของผมขึ้นมาบันทึกภาพความสนุกสนานนี้ลงไป

 

19715_Softball_Play.jpg


 

สักพักใหญ่ๆก็ถึงคิวผมตีลูก ผมฝากกล้องคู่ใจไว้กับเพื่อนร่วมงานของผมทั้งยังวานให้เขาช่วยถ่ายภาพให้ผมอีกด้วย ผมเดินไปหยุดอยู่ในตำแหน่งแบทเตอร์(ผู้ตีลูก)เพื่อรอการขว้างลูกจากพิชเชอร์ (ผู้ขว้างลูก) พิชเชอร์คนนี้เป็นผู้หญิงที่ยังดูวัยรุ่น และยังดูเป็นมิตรอีกด้วยถึงแม้ว่าจะอยู่คนละทีมกัน เธอเหวี่ยงแขนไปข้างหลังวาดเป็นวงกลมจากล่างขึ้นบน ลูกบอลถูกขว้างออกมา ไม่เบาหรือแรงเกินไป มันตรงเข้าใกล้ผมมากขึ้นทุกทีๆ ผมตัดสินใจเหวี่ยงแขนทั้งสองข้างที่กำไม้ซอฟท์บอลหวดเข้าไปที่ลูก

 

ฟึ่บ!!!   เสียงจากลูกบอลที่โลดแล่นเข้าสู่ถุงมือของแคชเชอร์(ผู้รับลูกจากพิชเชอร์)ที่อยู่เยื้องผมไปทางด้านหลัง

 

ผมพลาด... ไม้ซอฟท์บอลที่ผมหวดออกไปนั้นโดนแต่อากาศที่อยู่รอบตัว มันเริ่มจะไม่ง่ายอย่างที่ผมเคยคิดซะแล้ว แต่ผมยังไม่ละความพยายาม ยังเหลือโอกาสให้ผมอีกสองครั้ง ครั้งที่สอง ลูกบอลยังคงลอยมาตามวิถีโค้งเดิมราวกับก็อปปี้วงโคจรมาจากการขว้างลูกครั้งที่แล้ว เช่นเดียวกัน ไม้ซอฟท์บอลในมือผมก็เหวี่ยงไปในทิศทางเดิมไม่มีผิด
 

โอกาสครั้งสุดท้าย ผมพยายามตั้งสติ รวบรวมสมาธิ มือทั้งสองข้างจับไม้ซอฟท์บอลให้แน่นขึ้น ขาปักลงบนพื้นอย่างมั่นคง ลูกบอลถูกขว้างออกมาเป็นครั้งที่สาม ครั้งนี้มันพุ่งตรงมายังผม แรงและเร็วกว่าเดิม มันหมุนรอบตัวเองและใกล้ผมเข้ามาทุกทีๆ ถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่างในตอนนี้ ผมได้ไปนั่งเล่นกล้องอยู่ข้างสนามต่อแน่ๆ ผมไม่คิดถึงอะไรอีกและเหวี่ยงไม้ซอฟท์บอลออกไปอย่างแรง

 

“กึ๊ง !!!” ครั้งแรกที่ไม้ซอฟท์บอลของผมทักทายอย่างใกล้ชิดที่สุดกับลูกบอล

 

หลังจากเจ้าไม้ซอฟท์บอลกระทบกับลูกบอลแล้วมันก็ถูกทิ้งลงบนพื้นทรายตรงนั้น ลูกบอลวาดเป็นวงโค้งลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า มันอาาจจะไม่เป็นวงสวยงามดั่งสายรุ้ง แต่มันก็ดีพอที่ไปตกในพื้นที่ที่ไกลออกไป ทำให้ผมมีเวลาวิ่งไปยังเบสแรก

 

หลังจากนั้น ผมมีหน้าที่สังเกตว่าผู้ตีลูกคนต่อไปจะตีลูกได้หรือไม่ ถ้าตีได้สิ่งที่ผมต้องทำคือวิ่งไปยังเบสต่อไป ผมพยายามมองไปรอบๆเพื่อสังเกตเพื่อนอีกคนที่ครอบครองเบสที่สองอยู่ และคนอื่นๆที่คอยควบคุมเกมอยู่ข้างสนาม

 

เมื่อบอลลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง เพื่อนร่วมทีมผมบ้างก็พยักหน้า บ้างก็โบกมือ เป็นการส่งสัญญาณให้ผมวิ่งเพื่อทำคะแนน เสียงโห่ร้องและเสียงเชียร์ดังก้องอยู่ในหูของผมราวกับมีผู้คนมากมายมานั่งอยู่ภายใน ผมรีบวิ่งไปยังเบสต่อไป สมองสั่งการให้ไปหยุดอยู่ที่เบสต่อไปนั้น แต่สัญญาณจากเพื่อนร่วมทีมบ่งบอกให้ผมรู้ว่าไม่ต้องหยุด เพราะว่ามันคือ

 

“โฮมรัน”

 

เพื่อนทุกคนต่างส่งเสียงร้องเรียกและเสียงเชียร์ ชายทั้งสี่คนวิ่งกลับมายังจุดตีลูก ซึ่งเป็นจุดที่บอกทุกคนให้รู้ว่าเข้าสู่โฮมได้แล้ว และคะแนนของทีมก็ตามมา เพื่อนร่วมทีมที่นั่งอยู่ข้างสนามวิ่งเข้ามาแสดงความดีใจ ผู้เล่นแต่ละคนวิ่ง  สัมผัสมือซึ่งกันและกันอย่างแรงพร้อมกับเสียงร้องแห่งความดีใจไปจนครบทุกคนในทีม เป็นภาพความสามัคคี ที่เกิดขึ้นง่ายๆจากกิจกรรมในยามว่างของชาวญี่ปุ่น
 


 

ได้ออกกำลังกายแล้ว แต่ผมยังไม่ค่อยจะได้สัมผัสถึงเหงื่อที่น่าจะไหลออกมาตั้งแต่วิ่งครบรอบสนาม คงเป็นเพราะความหนาวเย็นแห่งฤดูใบไม้ร่วงถือป้ายห้ามไม่ให้เหงื่อไคลวิ่งเล่นแถวนี้เป็นแน่

 

เมื่อเล่นไปได้ซักพักใหญ่ๆ แม้เหงื่อไคลจะไม่มีหรือมีไม่มาก มันก็ทำให้พวกเราหอบได้เหมือนกัน เสียงหอบนี้เองเป็นเสมือนกระดิ่งที่สั่นเพื่อบอกเวลาอาหาร ผมพยายามมองไปรอบๆเพื่อหาร้านอาหารหรือร้านขายของชำ โดยหวังว่าจะได้รับประทานอาหารกลางวันแล้วดื่มด่ำบรรยากาศท่ามกลางสนามที่โล่งกว้างกับท้องนภาอันกว้างใหญ่ แต่รอบด้านมีเพียงรั้วกับถนนที่ไม่มีรถผ่านไปมามากนัก ไม่มีร้านให้เห็นเลยแม้สักร้านเดียว แล้วหิวแบบนี้ ผมจะกินอะไรดีล่ะ...

 

To be continued…


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที