หัวหน้าก็เป็นเช่นครูอาจารย์
วิกูล โพธิ์นาง
๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๐
มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ เป็นสำนวนไทยที่ตำหนิและบอกลักษณะของผู้ที่ไม่สนใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ครั้นเมื่อมีผู้มาทำเขาก็เข้าไปขัดขวางถ่วงความเจริญ ทำให้ความก้าวหน้าของงานไปได้อย่างล่าช้าเหนื่อยผู้ที่ทำทั้งวี่ทั้งวัน
เช่นเดียวกับการพายเรือคนที่พายก็พายไปคนที่นั่งมาด้วยพายมีแต่ไม่ช่วยพายกลับนำเท้าลงไปราน้ำ ทำให้เรือช้าลง เหตุการณ์แบบนี้มีทางเลือกหลายวิธี ไม่พายก็นั่งเฉยๆ ลงเรือไปซะไร้ประโยชน์ ถ้าจะให้ดีก็ช่วยกันพายอุปกรณ์พายไม่มีก็ใช้มือหรือเท้าก็ได้แต่ให้ออกมาในลักษณะพาย
เมื่อมีความพยายามอย่างนั้นแล้วจะทำให้คนพายมีกำลังใจมากขึ้น การทำงานก็เช่นเดียวกันหากทำไม่ได้ไม่อยากทำก็ควรให้กำลังใจส่งเสริมมิใช่จะมาดึงรั้งให้เสียการเสียงาน
ยกสำนวนไทยขึ้นมาเป็นบทนำและสาธยายเปรียบเทียบให้ทราบในวรรคแรกๆนั้นก็เพื่อโยงให้เห็นถึงการเอาเท้าราน้ำของผู้เป็นหัวหน้าที่คอยขัดขวางความเจริญขององค์กร โดยเฉพาะพนักงานที่มีความมุ่งมั่นไฝ่รู้เรียนเสริมด้วยตนเองเพราะผู้บังคับบัญชาไม่ส่งเสริม
เมื่อไม่ส่งเสริมก็ขัดขวางซะด้วยคงจะคิดว่าเขาให้มาทำงานไม่ได้ให้มาเรียนลักษณะแบบนี้มีอยู่มากในองค์กรที่ไม่มีการพัฒนาหรือแม้แต่ที่กำลังพัฒนาบางคราวก็หลงมาในองค์กรที่ได้ชื่อว่าพัฒนาแล้วก็ยังมี หากคิดดังที่กล่าวมาก็เท่ากับว่าหัวหน้าผู้นั้นเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์เหมือนม้าลำปาง วิสัยทัศน์แคบมากๆ
ถูกต้องที่เกือบทุกแห่งทุกองค์กรรับพนักงานเจ้าหน้าทีเข้ามาเพื่อทำงานไม่ว่าตำแหน่งไหนก็ทำงาน จะไม่ดีกว่าหรือถ้าเขาเหล่านั้นไฝ่รู้ก็ควรส่งเสริม ส่งเสริมเพื่ออะไร? ก็เพื่อให้ได้มาซึ่ง PQCDSMEE ที่สมบูรณ์นั่นเองเมื่อได้มาผลสรุปก็คือประสิทธิภาพประสิทธิผล
การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลให้กับองค์กรนั้นสามารถทำได้ใหญ่ ๒ ประการคือ การเพิ่มที่ทุน และการเพิ่มที่คน
การเพิ่มที่ทุนคือการลงทุนให้น้อยผลตอบแทนให้มากๆ ไม่ว่าจะนำกิจกรรมใดๆมาก็ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในต้นทุนได้ไม่ว่าจะเป็น ๕ส. Safety Kaizen Qcc TQC TQM TPM เป็นอาทิ
แต่หัวหน้า ผู้บริหารทุกระดับต้องไม่ลืมว่าการเพิ่มผลผลิตขององค์กรต้องบริหารจัดการปัจจัยการผลิตให้เหมาะสม ( คน เครื่อง วัตถุดิบ วิธีการ ) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า 4 Ms การบริหารจัดการก็ต้องอาศัยปัจจัยอีก ๔ ประการ ( คน วัตถุดิบ เงิน การบริหาร ) นี่ก็เรียกว่า 4 Ms จะเห็นได้ว่าปัจจัยทั้งการผลิตและบริหารขาดไม่ได้คือ คน
ดังนั้นการเพิ่มประสิทธิภาพประสิทธิผลเพิ่มที่คนนั่นแหละดีที่สุด โดยจะต้องทำให้คนได้พัฒนาการพัฒนาคนดีที่สุดคืออารอบรมส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ยิ่งพนักงานสนใจเรียนรู้เองยิ่งต้องส่งเสริมเพราะเป็นจะทำให้การเรียนรู้นั้นประสบผลได้มากเพราะประกอบไปด้วยฉันทะของเขาเอง เมื่อคนพัฒนาคนั่นแหละจะมาพัฒนาองค์กรเอง หัวหน้าก็ไม่ต้องเหนื่อยด้วยซ้ำไป จึงเท่ากับว่าผู้ใดขัดขวางการเรียนรู้ของพนักงานในองค์กรก็เท่ากับขัดขางการเจริญเติบโตขององค์กรเช่นกัน
รู้ไว้เถิดว่าการที่ได้มาเป็นหัวหน้านับได้ว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ใช้อำนาจสร้างความดีเป็นหัวหน้าก็เป็นเช่นครูอาจารย์ของลูกน้องการให้การศึกษากับลูกน้องก็เท่ากับว่าได้ทำหน้าที่ครูอาจารย์ตามที่พุทธศาสนาได้สอนเอาไว้เกี่ยวกับหน้าที่ครูอาจารย์ดังนี้
แนะนำดี - แนะ... (บอกให้รู้) นำ...(ทำให้ดู)
ให้เล่าเรียนดี - พร่ำสอนเพื่อผลศิษย์ตนได้ดี
บอกศิลปวิทยาให้สิ้นเชิง - ไม่หวงหรือปิดบังอำพรางวิชา
ยกย่องให้ปรากฎในชมชน - ยกย่องเชิดชูเกียร์ติคุณศิษย์ให้ประจักษ์แก่สังคม
ป้องกันภัยในทิศทั้งหลาย - ให้ความคุ้มครองป้องกันภัยแก่ศิษย์
ลองตรองดูว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ได้สมบูรณ์มากน้อยเพียงใดหากปฏิบัติอยู่แล้วก็ขออนุโมทนาสาธุว่าท่านคือผู้ที่มีคุณประโยชน์ต่อองค์กรมิได้เป็นผู้ประเภท มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ หากยังขึงขังยืนยันเป็นมั่นเหมาะเอาให้หนักหน่อยก็เข้าทำนองกระต่ายขาเดียวว่าไม่ได้ มาทำงานก็ทำงานไม่ได้มาเรียน ที่นี่ไม่ใช่มหาวิทยาลัยหรือโรงเรียน ความคิดแบบนี้มีด้วยหรือ (ไม่แน่) ถ้าอย่างนั้นก็มามองทางด้านข้อกฎหมายกรมแรงงานเกี่ยวกับสิทธิของลูกจ้างพนักงานดูบ้างเกี่ยวกับฝึกอบรมในส่วนของการลาดังนี้
การลาเพื่อฝึกอบรมหรือพัฒนาความรู้
พนักงานมีสิทธิลาเพื่อการฝึกอบรม หรือพัฒนาความรู้ความสามารถได้ตามหลัก
เกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
การลาเพื่อการฝึกอบรมหรือพัฒนาความรู้ความสามารถ ให้พนักงานแจ้งให้บริษัททราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๗ วันก่อนวันลา โดยระบุถึงสาเหตุการลาโดยชัดแจ้ง
การสอบวัดผลทางการศึกษาที่ทางราชการจัดหรืออนุญาตให้จัดขึ้นแต่ไม่รวมถึงการลาไปศึกษาต่อ
แจ้งให้บริษัทฯทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน ก่อนวันลา โดยระบุถึงสาเหตุที่ลาโดยชัดแจ้ง
ในกรณีพนักงานลาเพื่อการฝึกอบรมหรือพัฒนาความรู้ความสามารถ บริษัทฯจะไม่อนุญาตให้ลาได้ในกรณีได้รับอนุญาตให้ลาเพื่อการฝึกอบรมหรือพัฒนาความรู้ความสามารถมาแล้ว ในปีนั้นสามสิบวันหรือสามครั้ง หรือการลานั้นต้องไม่เกิดความเสียหายแก่การประกอบธุรกิจของบริษัทฯ
เมื่อได้ทราบแล้วทั้งส่วนที่เป็นหน้าที่และสิทธิอันพึงปฏิบัติของหัวหน้าในฐานะเป็นครูอาจารย์ของผู้ใต้บังคับบัญชาคงไม่มีอาจารย์ท่านใดไม่อยากเห็นความก้าวหน้าของศิษย์ ผลพลอยได้ที่จะกลับมาก็คือการประกาศเกียรติคุณอาจารย์ด้วยเช่นกันที่สร้างคนเพื่อให้คนสร้างองค์กร.
<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<O>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที