ฟิลเลอร์ 10 ข้อต้องรู้ ก่อนฉีดฟิลเลอร์ อัปเดต 2022
ฟิลเลอร์ (Filler) ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยเเก้ไขปัญหารูปหน้าได้ดี เนื่องจากการ ฉีดฟิลเลอร์ คือเติมเต็มสาร Hyaluronic เข้าผิวหน้าในส่วนที่หายไปให้กลับมาดูละมุน ดูอ่อนเยาว์ ดูสดใสยิ่งขึ้น แต่หลาย ๆ คนก็อาจจะมีข้อสงสัยหรือคำถามเกิดขึ้นมาในหัวมากมาย ควรฉีดกี่ซีซีถึงจะดี กี่วันถึงจะเห็นผล อยู่ได้นานแค่ไหน หรือใครบ้างที่ไม่ควรฉีด เพราะทุกวันนี้เราก็เห็นข่าวมากมายเกี่ยวกับอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ว่าจะเป็นฟิลเลอร์ของปลอม ฟิลเลอร์แข็ง ฟิลเลอร์เป็นก้อน ฟิลเลอร์ไหล บางคนโชคร้ายเกิดเลือกหมอผิดชีวิตเปลี่ยน ไปฉีดกับหมอกระเป๋าหรือคลินิกความงามที่ไม่สะอาด ไม่ได้มาตรฐาน แพทย์ไม่มีความชำนาญ ฉีดฟิลเลอร์ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง จนตาบอดกันมาแล้วก็มี ดังนั้นวันนี้เรามาทำความเข้าใจและตอบคำถามเกี่ยวกับข้อสงสัยเรื่องฟิลเลอร์ ไปพร้อมๆกันเลยค่ะ
ฟิลเลอร์ เติมเต็มจุดไหนดี? ช่วยเรื่องอะไร?
- คาง ปัญหาคางสั้น คางตัด เป็นสาเหตุทำให้ใบหน้าเราดูกลม ไม่มีมิติ เมื่อเติมเต็มฟิลเลอร์เข้าไป รูปหน้าจะดูเรียว V-shape ได้สัดส่วนที่ดีมากขึ้น ซึ่งผลลัพธ์ดีไม่เเพ้การผ่าตัดเสริมคางเลยทีเดียว
- ปาก ปัญหาปากบาง ปากไม่มีกระจับ ปากไม่เป็นทรง ทาลิปไม่สวย เมื่อเติมเต็มฟิลเลอร์เข้าไป หลังทำเสร็จทันที ปากจะดูอวบอิ่ม กระจับชัด มุมปากยก หน้าเราก็จะดูหวาน เวลายิ้มมีเสน่ห์มากขึ้น
- ใต้ตา อายุที่เพิ่มมากขึ้น หรือปัจจัยต่างๆในการใช้ชีวิต เช่น การนอนดึก การเป็นภูมิแพ้ เป็นสาเหตุทำให้กระดูกใต้ตายุบตัวลง เนื้อบริเวณใต้ตาจะมีความหย่อนคล้อย ความหมองคล้ำ หน้าโทรมดูเหนื่อย เมื่อเติมเต็มฟิลเลอร์เข้าไป ใต้ตาจะอิ่มฟูขึ้นทันที หน้าดูสดใส ดูเด็กลงอีกด้วย
- ขมับ ขมับตอบ เป็นสาเหตุทำให้หน้าดูแก่ ดูโทรม เมื่อเติมเต็มฟิลเลอร์เข้าไปสัดส่วนของรูปหน้าจะดูละมุนมากขึ้น ถือเป็นจุดเสริมโหงวเฮ้งด้านการค้าขาย การงานได้อย่างดีเยี่ยม
- ร่องแก้ม ร่องแก้มลึกเป็นสาเหตุทำให้เราดูแก่กว่าวัย เมื่อเติมเต็มฟิลเลอร์เข้าไป นอกจากจะได้ความหน้าอิ่มฟู ยังได้ความหน้าเด็กเพิ่มมากอีกด้วย
- เเก้มส้ม ปัญหาหน้าเเบน ไม่มีเเก้ม หน้าไม่มีมิติ เมื่อเติมเต็มฟิลเลอร์เข้าไปบริเวณหน้าเเก้มจะสามารถปรับเปลี่ยนจุดกระทบของเเสงที่ตกลงบริเวณโหนกแก้ม ให้เเสงเปลี่ยนมาตกกระทบลงที่หน้าแก้มหรือครึ่งกลางตา ซึ่งจะทำให้หน้าดูละมุน ดูเกาหลีมากยิ่งขึ้น
- แก้มตอบ ส่งผลให้หน้าโทรม ดูแก่กว่าวัยเพราะเนื้อบริเวณเเก้มยุบตัวลง เมื่อเติมเต็มฟิลเลอร์เข้าไป จะช่วยให้ใบหน้าเราดูเอิบอิ่ม สดใส ผิวไม่หย่อนคล้อย เเถมช่วยลดความเด่นของโหนกเเก้มได้อีกด้วย
- กรอบหน้า เมื่อเติมเต็มฟิลเลอร์เข้าไป ใบหน้าของเราจะได้รูปมากขึ้น กรอบหน้าชัดได้สัดส่วนที่ดีขึ้น เเละยังช่วยเรื่องกระชับผิวที่หย่อนคล้อยบริเวณกรอบหน้าให้กลับมาดูเต่งตึง
- ผิวหน้า หรือ Skin Radian ปัญหาผิวหน้าโทรม ผิวขาดน้ำ หน้าไม่มีมิติ เมื่อเติมเต็มฟิลเลอร์ผิว ใบหน้าจะดูเปล่งประกาย ออร่า ผิวโกลด์ ฉ่ำวาว มี hilight ธรรมชาติ เเบบไม่ต้องเสียเวลาเเต่งหน้านานๆ
ฟิลเลอร์ เติมจุดไหนยี่ห้ออะไร? กี่ซีซีดี?
1. ฟิลเลอร์ใต้ตา
ควรฉีดยี่ห้อ BELOTERO FILLER SOFT คุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์ที่มีสารอุ้มน้ำช่วยทดเเทนคอลลาเจนบนใบหน้าที่หายไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะที่จะใช้เติมใต้ตาจะทำให้ใต้ตาไม่แข็ง ไม่เป็นก้อน เนียนละมุน กลืนเข้ากับผิวได้เร็ว โดยปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 1-2 cc
2. ฟิลเลอร์ขมับ
ควรฉีดยี่ห้อ Juvederm Voluma เนื่องจากลักษณะโมเลกุลมีความคงตัว จึงเหมาะที่จะนำมาเติมบริเวณที่แข็งๆ โดยปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 1-4 cc
3. ฟิลเลอร์ร่องแก้ม
ควรฉีดยี่ห้อ Juvederm Ultra Plus เนื่องจากลักษณะโมเลกุลมีความนุ่ม ฟู สามารถเติมเต็มร่องต่างๆ ได้ดี ซึ่งจะทำให้ใบหน้าเต็มอิ่มมากยิ่งขึ้น โดยปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 1-4 cc
4. ฟิลเลอร์แก้มส้ม
ควรฉีดยี่ห้อ Juvederm Ultra Plus เนื่องจากลักษณะโมเลกุลมีความนุ่ม ฟู สามารถเติมเต็มแก้มให้อิ่มเต็มขึ้น จะช่วยแก้ปัญหาแก้มตอบ หรือใบหน้าไม่มีมิติได้ โดยปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 2-4 cc
5. ฟิลเลอร์ปาก
ควรฉีดยี่ห้อ BELOTERO FILLER INTENSE คุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์ที่มีสารอุ้มน้ำช่วยทดเเทนคอลลาเจนบนใบหน้าที่หายไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะที่จะใช้เติมปากให้อิ่มสวย ได้รูปทรงที่ต้องการ จะทำให้ปากไม่ดูแข็ง ไม่เป็นก้อน อวบอิ่มกำลังดี โดยปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 1-2 cc
6. ฟิลเลอร์คาง
ควรฉีดยี่ห้อ Juvederm Voluma เนื่องจากลักษณะโมเลกุลมีความคงตัว สามารถปั้นคางให้เป็นทรงต่างๆ ตามความเหมาะสมได้ จึงเหมาะที่จะนำมาเติมบริเวณที่แข็งๆ โดยปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 1-2 cc
ฟิลเลอร์ กี่วันถึงเห็นผล? อยู่ได้นานแค่ไหน?
ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์นั้นจะเห็นได้ทันทีหลังฉีด โดยฟิลเลอร์จะอิ่มเต็มที่เมื่อครบ 2 สัปดาห์ ส่วนเรื่องระยะเวลาที่เห็นผลนั้นจะขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีดของคนไข้ และที่สำคัญคือยี่ห้อที่ใช้ฉีด ดังนี้
- Juvederm เป็นฟิลเลอร์จากอเมริกา ที่หลายๆคนรู้จักกันและนิยมใช้กัน จะอยู่ได้นาน 1-2 ปี
- Belotero เป็นฟิลเลอร์จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ราคาไม่แพง จะอยู่ได้นาน 1-2 ปี
- Neuramis เป็นฟิลเลอร์จากเกาหลี จะอยู่ได้นาน 4-6 เดือน โดยทางคลินิกเลือกใช้ คือ รุ่น Deep
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
- ควรหยุดการใช้ยาแก้ปวด ยาแอสไพริน ยากลุ่มต้านการอักเสบ NSAIDS ได้แก่ Ibruprofen, Naproxen อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการฉีด เพื่อป้องการอาการฟกช้ำ
- งดวิตามินที่ทำให้เลือดหยุดไหลยาก เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา น้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส สารสกัดจากโสม ขิง กระเทียม ใบแปะก๊วย เป็นเวลา 2 สัปดาห์
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1-3 วัน ก่อนการฉีด
- สุขภาพร่างกายอยู่ในสภาพปกติดี ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรง ไม่ได้อยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่
- หากเป็นไปได้ในวันฉีดควรล้างเครื่องสำอางหรือทำความสะอาดใบหน้าก่อนพบแพทย์
การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์
- งดการออกกำลังกายหนักๆ รวมถึงการให้ใบหน้าโดนความร้อนโดยตรงเช่น การอบซาวน่า, แช่น้ำอุ่น การนวดหน้าด้วยความร้อน เป็นเวลส 2 สัปดาห์
- งดการบีบ นวด กด ใบหน้าแรงๆ โดยเฉพาะบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ไปจะทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ไปผิดรูปได้ ทั้งนี้การปั้นฟิลเลอร์นั้นจะมีเพียงแพทย์ที่ทำการฉีดเป็นผู้ปั้นทรงให้ได้เท่านั้น
- ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เป็นเวลา 3-7 วัน
- ควรดื่มน้ำเปล่าให้มากกว่าปกติ จะช่วยให้ฟิลเลอร์อิ่มฟูยิ่งขึ้นและอยู่ได้นานมากขึ้น โดยเฉพาะใน 3 วันแรกหลังฉีดไปจนถึง 2 สัปดาห์หลังฉีด
ฟิลเลอร์กับโบท็อกซ์ต่างกันยังไง?
ทั้ง 2 สิ่งนี้อยู่คู่กับสาวๆมานาน แต่สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่เข้าใจในความแตกต่างของ โบท็อกซ์ และ ฟิลเลอร์ วันนี้เราจะมาเรียนรู้ไปพร้อมๆกันค่ะ
- ผลลัพธ์ ซึ่งผลลัพธ์ของ โบท็อกซ์ และ ฟิลเลอร์ มีความแตกต่างกัน อย่างที่กล่าวมาคือโบท็อกซ์จะช่วยในการลดขนาดกล้ามเนื้อให้เล็กลง และช่วยคลายกล้ามเนื้อที่หดย่น ให้กลับมาเรียบเนียนตึงได้อีกครั้ง โบท็อกซ์จึงเปรียบเสมือนเตารีด ส่วนการฉีดฟิลเลอร์เปรียบเสมือนการสร้างบ้าน และเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปให้ดูสมส่วนและมีมิติยิ่งขึ้น
- ตำแหน่งที่ฉีด โบท็อกซ์สามารถฉีดได้หลายจุด ดังนี้
- ลดกราม
- ลิฟท์กรอบหน้า
- ลดน่อง
- ลดริ้วรอยย่นบริเวณหน้าผาก ตีนกา หางตา ระหว่างคิ้ว
- ผิวหนังบริเวณคอ มือที่เหี่ยว
- บริเวณใต้วงแขนเพื่อลดกลิ่นกาย
รีวิวโบท็อกซ์ริ้วรอย
รีวิวโบท็อกซ์ลดกราม
รีวิวโบท็อกซ์ริ้วรอย
รีวิว FILLER ใต้ตา
รีวิว FILLER คาง
รีวิว FILLER ร่องแก้ม
รีวิว FILLER ขมับ
รีวิว FILLER ปาก
ฟิลเลอร์คาง หรือเสริมคาง แบบไหนดีกว่ากัน?
ก่อนที่เราจะตัดสินใจเลือกฉีดฟิลเลอร์หรือการเสริมคางซิลิโคนนั้น เราจะต้องประเมินรูปหน้าของตัวเองเสียก่อน จะได้รู้ว่าเราควรเหมาะกับอะไรกันแน่ค่ะ โดยสัดส่วนของใบหน้าที่สวยงามได้รูปจะต้องแบ่งสัดส่วนออกได้เป็น 1 : 1 : 1 ดังนี้ค่ะ
- จากหน้าผาก ถึงหว่างคิ้ว 1 ส่วน
- จากหว่างคิ้ว ถึงปลายจมูก 1 ส่วน
- จากปลายจมูก ถึงคาง 1 ส่วน
ฟิลเลอร์คางเหมาะสำหรับเคสที่มีปัญหาคางบุ๋ม คางตัด คางไม่ได้รูปสวย และเคสที่มีคางสั้นเล็กน้อย (มีส่วนต่างของส่วนที่ 3 น้อยกว่า 1 ซม.) เพราะฟิลเลอร์สามารถเพิ่มความยาวของคางได้ 0.5 ซม. – 1 ซม. หากยาวกว่านี้จะทำให้เกิดปัญหาคางเบี้ยวเอียงได้ สำหรับเคสที่มีคางสั้นมากๆ (มีส่วนต่างของส่วนที่ 3 มากกว่า 1 ซม.) จึงแนะนำให้ศัลยกรรมเสริมคาง
ฉีดฟิลเลอร์คาง
ข้อดี
• เป็นการปรับรูปทรงคางเล็กน้อย หลังทำจึงเป็นธรรมชาติ
• มีอาการบวมเล็กน้อย แต่ไม่ต้องพักฟื้น สามารถทำงานได้ตามปกติ
ข้อเสีย
• มีระยะเวลาที่ตัวฟิลเลอร์จะสลายไปได้ใน 1-2 ปี
เสริมคาง
ข้อดี
• เป็นการเสริมซิลิโคนจึงอยู่ได้ตลอดชีวิต
ข้อเสีย
• เป็นการผ่าตัด จึงมีอาการบวมช้ำหลังทำและมีเวลาในการพักฟื้น
หากเลือกซิลิโคนไม่เหมาะสม คางจะดูยาวหรือยื่นมากจนเกินไป
ฟิลเลอร์กับฉีดไขมัน ทำอะไรดี?
อีกประเด็นหนึ่งที่หลายคนกำลังลังเลใจว่า ควรเติมเต็มใบหน้าด้วยฟิลเลอร์ หรือควรเติมด้วยการฉีดไขมันดีกว่ากัน วันนี้เรามีข้อดี และข้อเสียของทั้ง 2 อย่างมาให้ดูกันค่ะ
ฉีดฟิลเลอร์
ข้อดี
• หลังทำเสร็จสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้น
• การดูแลตัวเองหลังฉีดไม่ยุ่งยากเท่าการฉีดไขมัน
• ราคาไม่สูงเท่าการฉีดไขมัน
• หลังฉีดทันทีปริมาณไม่ลดลงจากร่างกายที่เข้ามาทำลาย แพทย์จึงสามารถประเมินปริมาณได้อย่างถูกต้อง
ข้อเสีย
• ฟิลเลอร์ของแท้จะต้องมีระยะเวลาในการสลายไปตามธรรมชาติ แต่หากใช้ฟิลเลอร์ของปลอมไม่ได้มาตรฐาน หรือใช้สารเหลวอื่นที่ไม่ใช่ฟิลเลอร์จะไม่ย่อยสลายและตกค้างในร่างกาย
ฉีดไขมัน
ข้อดี
• เนื่องจากเป็นการใช้ไขมันของตัวเราเองในการฉีดเติมเต็ม สามารถอยู่ได้นาน
• ไม่มีข้อจำกัดเรื่องปริมาณที่ใช้เติม เนื่องจากเป็นไขมันของเราเอง ขึ้นอยู่กับจำนวนไขมันที่แพทย์ดูดได้
ข้อเสีย
• การผ่าตัดใหญ่ มีการวางยาสลบและจะต้องผ่าตัดดูดไขมันส่วนเกินจากร่างกาย เช่น แขน ขา หรือหน้าท้องจะทำให้เกิดรอยแผลเป็นเล็กๆ ประมาณ 1-2 ซม. หลังดูดไขมัน
• เมื่อดูดไขมันแล้วจากนั้นจะใช้เติมเต็มใบหน้า ดังนั้นคนไข้จะต้องมีแผลและเจ็บตัวมากกว่า 2 ที่
• การเติมไขมัน ไม่สามารถคำนวณปริมาณที่จะเติมเต็มได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากการดูดไขมัน 100 cc จะสามารถอยู่รอดได้เพียง 20-30 cc ของที่เติมได้ ทำให้แพทย์จำเป็นต้องเติมปริมาณให้มากที่สุด เพื่อให้ไขมันที่อยู่รอดมีปริมาณมากพอ
• หากเติมในปริมาณที่มากเกินไปจะทำให้ใบหน้าบวมไม่เป็นธรรมชาติ (Overfilled syndrome)
• การดูแลตัวเองหลังทำจะต้องมีอาการพักฟื้นเพื่อให้เข้าที่
• มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
อันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ ไม่อยากพลาดต้องรู้!!
แม้ว่าฟิลเลอร์จะเป็นที่ยอมรับจากวงการความสวยความงาม และอยู่คู่สาวไทยกันมานาน แต่ฟิลเลอร์ก็สามารถกลายมาเป็นภัยร้ายได้มากกว่าการเป็นเครื่องมือที่จะเสกความสวยให้เราได้เหมือนกัน
1. ฟิลเลอร์ปลอม ส่วนใหญ่มักเจอจากการฉีดกับหมอกระเป๋า หรือหมอที่ไม่ชำนาญด้านการฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ทราบวิธีการตรวจฟิลเลอร์ของปลอม หากฉีดฟิลเลอร์ปลอมหลังฉีดแรกๆจะรู้สึกเหมือนปกติ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะพบว่าฟิลเลอร์ไม่สลาย และจะจับเป็นก้อน กลายเป็นซิลิโคนเหลวที่เกาะแน่นกับกระดูก หรืออาจจะไหลไปมาบนใบหน้า ทำให้ใบหน้าเสียรูปไปเลยก็ได้ หากต้องการสลายจะต้องใช้วิธีการผ่าตัดขูดซิลิโคนออกเท่านั้น
2. ติดเชื้อจากการฉีดฟิลเลอร์ จากการใช้อุปกรณ์และเครื่องมือการแพทย์ที่ไม่สะอาด เลือกคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน จะมีการทำให้อักเสบ บวมแดง และเขียวช้ำมากกว่าปกติ
3. ฉีดฟิลเลอร์ผิดจุด หากแพทย์ไม่มีความชำนาญพอและฉีดฟิลเลอร์ตื้นเกินไป จะทำให้ฟิลเลอร์เป็นก้อน ผิวไม่สม่ำเสมอ ไม่สวยงามและไม่เป็นธรรมชาติ
4. เลือกฟิลเลอร์ผิด อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าในแต่ละจุดที่เราจะฉีดฟิลเลอร์นั้น จะเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่แตกต่างกัน เนื่องจากจะต้องเติมเต็มฟิลเลอร์ในโมเลกุลที่มีความแตกต่างกัน
ใครบ้างไม่ควรฉีดฟิลเลอร์?
- คนที่แพ้สาร Hyaluronic Acid
- คนที่มีโรคประจำตัวต้องรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- คุณแม่ที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร
- คนที่มีอาการแพ้ยาชา
- คนที่มีประวัติเป็นแผลคียลอยด์ง่าย