วิกูล

ผู้เขียน : วิกูล

อัพเดท: 26 มิ.ย. 2007 21.28 น. บทความนี้มีผู้ชม: 5063 ครั้ง

ทุกวาจาที่ออกจากปากของหัวหน้างาน ควรล้วนมีคุณค่าที่สร้างคุณค่าและประโยชน์ทั้งต่องานและสมาชิกในองค์กร หากไม่เป็นเช่นนั้นทุกวาจาก็ไร้ค่าหรือเรียกว่า "โมฆะวาจา"


โมฆะวาจา

โมฆะวาจา

วิกูล    โพธิ์นาง

๒๓   มิถุนายน    ๒๕๕๐

pd_wikulp@hotmail.com

 

            ทันทีที่เสียงสัญญาณพักเที่ยงดังขึ้นทุกคนพละจากงานที่ทำมาทั้งสี่ชั่วโมงบ้างไปรับประทานอาหารบ้างก็เข้าไปทำธุระที่ห้องสุขา เชนกับจุกเลือกที่จะไปที่ห้องสุขาก่อน

          “แม้วันนี้หัวหน้าให้พรแต่เช้าเลยเซ็ง เซ็งมากๆ” เชนรำพึงออกมาขณะปลดปล่อยทุกข์ส่วนตัวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

                “พรก็ดีซิ” จุกเย้าในใจก็คิดว่าพรที่ว่าต้องเป็นคำด่าแน่ๆ และเชนคงต้องไปทำผิดมาอีกเป็นแน่

                ละก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อได้ยินคำตอบจากเชนด้วยน้ำเสียงกระชับปนมากับความขัดข้องใจ

          “ก็เมื่อวานขาดงานนะซิ”

          “เออสมควรแล้ว โทรมาลาพี่เขาหรือเปล่าละ” จุกซักต่อ

          “เปล่า” นี้คือคำตอบสั้นๆเข้าใจง่ายๆ จุกคิดในใจ โถ...ช่างตอบอย่างภูมิใจเหลือเกินนะ แต่ไม่ได้พูดอะไร ทำธุระของตนเองไปพร้อมกับฟังเชนสาธยายต่อ

“จะโทรมาลาได้อย่างไร เมื่อวานตอนรอรถอยู่พระท่านมาบิณฑบาตโดนมอร์เตอร์ไซค์รับจ้างเชี่ยวล้มบาดเจ็บสาหัส จนบาตรกลิ้งรถสิบล้อทับแบนเลย เราพาไปโรงพยาบาล กว่าโยมท่านจะมาเราก็เฝ้าอยู่จนเย็นสงสารท่านนะ”

จุก นึกอนุโมทนาสาธุในใจ มาถึงขณะนี้หน้าของเชนเริ่มมีแววแห่งความปีติยินดี ผิดกับที่เข้าห้องน้ำมาใหม่ๆ จุกทำธุระเสร็จรู้สึกโล่งกายโล่งใจที่ทนมาเกือบครึ่งวันสมกับที่เป็น “ห้องสุขา” จริงๆ หันไปมองหน้าเชนก็ยังเห็นรัศมีแห่งความปีติอยู่เต็มใบหน้าไม่เหือดหาย

          “เช้ามาก็น่าจะไปลาพี่เขาก่อนนะ” จุกแนะนำย้อนหลัง

          “ลานะลาแล้วแต่ก่อนจะได้พูดอะไรพี่แกให้พรซะก่อน แถมให้เป็นชุดๆต่อหน้าธารกำนัลเลยนะเพื่อนแย่จริงๆ” เมื่อออกจากห้องสุขาแล้ว ทั้งสองสนทนากันต่อไปเรื่อยจนถึงโรงอาหาร

คำให้พรที่ว่านั้นเป็นอย่างไรไม่ทราบแต่ก็คงเป็นคำพูดที่ไม่ดี เชนถึงได้มีอารมณ์มาระบายในห้องน้ำ บัดนี้ก็ได้ระบายไปแล้ว  ทั้งยังได้ความอิ่มใจแห่งบุญมาเป็นกำไรชีวิต  จุกรู้ว่าเชนไปทำอะไรมาหัวหน้าจะรู้หรือเปล่ายังไม่มีคำตอบ

                ทั้งเชนและจุกได้รับรู้ความเป็นจริงกันในห้องสุขารู้กันสองคนและอิ่มใจกันทั้งสองคนห้องสุขาแคบๆนั้นช่างสมชื่อเสียจริงๆ “ห้องสุขา” ที่ให้ได้ทั้งความสุขกายและสุขใจ

                แต่ทำไมนะในที่ทำงานกว้างๆและผู้เป็นหัวหน้าก็มีปัญญาระดับหนึ่งจึงไม่รู้ความเป็นจริงของมวลสมาชิกในที่ทำงานเดียวกัน แทนที่จะมีความสุขดังกล่าวบางแห่งกลับคละคลุ้งไปด้วยทุกข์แห่งความขัดข้อง ขัดแย้งในใจ อันเป็นผลมาจาก “คำด่า”

                “พร” แปลว่า ประเสริฐ สิ่งที่หัวหน้าให้กับเชนเมื่อเช้านี้ไม่ถือว่าเป็นพร   เพราะไม่ได้นำมาซึ่งความเจริญกับลูกน้องเลยแม้แต่น้อย ความเจริญที่เชนได้คือได้ทำความดีพาพระคุณเจ้าไปโรงพยาบาล จุกก็ได้พรคือความเจริญในใจที่ใจได้อนุโมทนาสาธุให้กับเพื่อนที่ทำความดี

                “หัวหน้า” ได้ร่ำเรียนมาสรรพวิชามีทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ มีสิ่งดีๆในตัวตนของผู้เป็นหัวหน้ามากมายทำไมไม่นำสิ่งนั้นมาแบ่งปันเติมเต็มให้ลูกน้องแทนคำด่า

                “ด่า” คำด่านั้นไม่ได้ร่ำเรียนมาไม่มีสถาบันใดในประเทศหรือต่างประเทศที่เปิดสอนที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะคำด่าเป็น “โมฆะวาจา” หรือวาจา คำพูดที่หาประโยชน์แก่นสารอะไรไม่ได้เลย หากพูดบ่อยๆจนเป็นนิสัย ท่านจะกลายเป็น “โมฆะบุรุษ” โดยไม่รู้ตัว

                 เหตุไฉนหัวหน้าบางคนจึงมีความสามารถถ่ายถอดคำด่า  วาจาอันเป็นโทษนั้นให้กับผู้อื่นโดยเฉพาะลูกน้องที่ด้อยยศด้อยวัยกว่าให้ช้ำอกช้ำใจ หดหู่ เก็บกด แทบจะเป็นประสาท บางรายฆ่าตัวตายจากสาเหตุวาจาอันเป็นโทษของหัวหน้าตนเองก็มี

                 หากยิ่งด่ามากก็เท่ากับนำเชื้อโรคไปบ่มเพาะในใจให้กับลูกน้อง ให้กับคนรอบข้างและตัวท่านเอง ปากที่พูดกับหูของท่านนั้นใกล้กันมากขณะที่ด่าออกไป ทำให้เกิดสนิมในใจด้วยว่าเมื่อท่านจะด่าต้องมีมูลเหตุมาจากความโกรธ “ความโกรธเป็นดังสนิมในใจ”สนิมนั้นก็เกิดกับผู้ได้ยินคำด่าของหัวหน้านั้นเช่นกัน

                เรามาแปลงด่าเป็นทุนปัญญาดีกว่าไหม  เมื่อไรคิดจะด่าก็ให้พิจารณาดังนี้

                                ด่าใคร

                   ด่าด้วยเรื่องอะไร

                                ด่าทำไม

                                ทำไมต้องด่า

                                ไม่ด่าได้ไหม

                                ถ้าไม่ด่าจะทำอย่างไร

                ถ้าไม่ด่าก็เปลี่ยนคำด่าเป็น “พร” คือสิ่งประเสริฐที่ออกมาจากปากของเรา เปลี่ยนสิ่งที่จะด่าเป็นความรู้ คำสอน คำเตือน ประกอบด้วยใจรักและเมตตา หากเป็นเช่นนี้ก็จะเป็นหัวหน้าที่เป็นพรหม เพราะได้ประกอบธรรมของพรหมคือ “เมตตตา” ลูกน้องจะรักและบูชาหัวหน้าจากใจจริงและมีมิตรเพิ่มขึ้นอย่างมากทีเดียวสุนทรภู่ท่านยังสอนไว้ว่า

                “ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์

                มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต

                แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร

                จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจาฯ”

          ขอเป็นกำลังใจให้กับหัวหน้าทุกคนที่จะเปลี่ยนคำด่ามาเป็นมธุรสวาจา คำให้พร คำสอนโดยกุศโลบายที่แยบยลเชื่อมั่นว่าในหน่วยงานจะมีแต่ความรักสดชื่น ส่วนลูกน้องก็ต้องทำตัวให้รู้จักหน้าที่ของตนเอง หากไม่ละก็ หัวหน้าก็อย่าลืมคตินี้

“รักวัวให้ผูกรักลูกน้องให้ตี” แต่ต้องตีด้วยสติและปัญญาอย่างอารยะชน


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที