การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเน้นความคิดสร้างสรรค์
บทเรียนจากเวียดนาม
โดย ผศ. ไตรสิทธิ์ เบญจบุณยสิทธิ์
กล่าวกันว่าเวียดนามเป็นประเทศคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับเมืองไทย คำกล่าวนี้คงไม่เกินจริงไปนัก ถ้าเราลองมองย้อนกลับไปดูความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามที่ผ่านมา จะพบว่าเวียดนามมีอัตราการเพิ่มของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศสูงกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคนี้รวมทั้งไทยด้วย ค่าเฉลี่ยอัตราการเพิ่มของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศระหว่างปี 2000 ถึง 2004 ของเวียดนามเท่ากับ 7.1% ในขณะที่ของไทยอยู่ที่ 5.1% และตัวเลขในปี 2005 และ 2006 ของเวียดนามเติบโตขึ้นเท่ากับ 7.5% และ 8.2% ตามลำดับ แต่ตัวเลขของไทยเรากลับลดลงอยู่ที่ 4.5% และ 5.0% เราจะมาดูกันว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เวียดนามประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจนั้นคือนโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมที่เรียกว่านโยบายโด่ยเหมย ( Doi Moi ) ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ทำการค้าโดยอิสระเสรีมากขึ้น แต่นอกเหนือจากนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจนี้ซึ่งเริ่มในปี 1986 แล้ว ต้องยอมรับว่าชาวเวียดนามเป็นคนที่ขยันขันแข็งใฝ่รู้ พยายามพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าตลอดเวลา และรัฐบาลเวียดนามก็ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาอย่างต่อเนื่องดังจะเห็นได้จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปี 2549-2553 ซึ่งระบุถึงเป้าหมายและทิศทางของการพัฒนาประเทศในช่วง 5 ปีข้างหน้าดังนี้
1. ดำเนินการตามนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ ( Doi Moi )
2. สร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจการตลาดแบบสังคมนิยม
3. พัฒนา Knowledge based Economy
4. ปรับปรุงคุณภาพการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเร่งรัดพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้น เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผู้เขียนได้เดินทางไปดูงาน ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนามร่วมกับคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของสถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้มีโอกาสได้พบผู้เชี่ยวชาญ TRIZ ชาวเวียดนาม ชื่อ Duong Xuan Bao และได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งมีหลายประเด็นที่น่าสนใจ จึงขอนำมาฝากไว้ ณ ที่นี้
Mr. Duong Xuan Bao เป็นผู้หนึ่งในจำนวนนักศึกษาเวียดนามทั้งหมด 6 คน ที่ได้ไปศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับ TRIZ และความคิดสร้างสรรค์กับอัลต์ชูลเลอร์โดยตรงที่ Public Institute Inventive Creativity ในเมืองบาคู ประเทศรัสเซียในช่วงระหว่างสงครามเวียดนาม TRIZ เป็นชื่อย่อในภาษารัสเซียซึ่งหมายถึงแนวคิดในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาและสร้างสรรค์นวัตกรรม
หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาได้กลับมาเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ TRIZ และความคิดสร้างสรรค์ในเมืองฮานอยตั้งแต่ปี 1977 โดยเปิดหลักสูตร Creativity Methodology (CM) ซึ่งมีผู้สนใจมาเรียนกับเขามากกว่า 12,000 คน
Mr. Duong Xuan Bao ได้ทำงานที่แผนกการประดิษฐ์ของกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ก่อนที่จะออกมาตั้งมูลนิธิเพื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของนครฮานอย เขาได้ให้แง่คิดดีๆเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ไว้ว่า
ยังไม่มีวิชาใดที่เหมือนวิชานี้ ระบบมหาวิทยาลัยของเราเน้นทางด้านวิทยาศาสตร์กับสังคมศาสตร์มากไป ทั้งที่วิทยากรทางด้านความคิดสร้างสรรค์จะเป็นสิ่งที่นำพาเราไปสู่โลกในศตวรรษหน้า..
..การศึกษาในเวียดนามติดอยู่ในกรอบไม่ยืดหยุ่น และไม่ส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ความคิดสร้างสรรค์จะเป็นอาวุธสำคัญ แต่กลับปรากฏว่ามีบริษัทเวียดนามเป็นจำนวนมากผลิตสินค้าอย่างเดียวกับที่ผลิตในที่อื่นๆ พวกเขาต้องฝึกใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาสินค้าให้มีรูปแบบที่แตกต่างหรือมีไอเดียใหม่ๆมากกว่านี้..
ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ค้นพบว่ามนุษย์เราจะมีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดเมื่อตอนอายุ 14 ปี หลังจากนั้น คนเรามักคิดอยู่ในกรอบความคิดแบบเดิมๆ ทั้งที่จริงๆแล้วความคิดสร้างสรรค์สามารถฝึกฝนและเรียนรู้กันได้
Duong Xuan Bao เคยคิดที่จะฝึกสอนนักธุรกิจให้มีความคิดสร้างสรรค์ และให้คำปรึกษาแก่บริษัทต่างๆ ในการแก้ปัญหาทางธุรกิจ แต่เขาเปลี่ยนใจมาทุ่มเทให้กับการพัฒนาครูและนักเรียนให้รู้จักพัฒนาตนเองให้มีความคิดสร้างสรรค์และสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้
นอกจาก Duong Xuan Bao แล้ว เพื่อนของเขาอีกคนหนึ่งที่ไปเรียนกับอัลต์ชูลเลอร์มาด้วยกัน ชื่อ Phan Dung ได้ตั้งศูนย์ความคิดสร้างสรรค์เชิงเทคนิคและวิทยาศาสตร์ขึ้นที่
เขาทั้งสองมีความเชื่อที่ตรงกันอย่างหนึ่งว่าคลื่นลูกใหม่ต่อจากนี้ไปจะเป็นคลื่นแห่งความคิดสร้างสรรค์ เหมือนคลื่นลูกก่อน ๆ ที่เป็นคลื่นแห่งเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และข้อมูลข่าวสาร
Phan Dung ได้ฝากคำคมไว้อย่างน่าสนใจว่า เราได้ตกรถไฟแห่งยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม และเราพลาดรถไฟแห่งยุคข้อมูลข่าวสารไปหลายขบวน ถ้าเราไม่ร่วมมือกันทำอะไรบางอย่างลงไป เราจะตกขบวนรถไฟแห่งยุคความคิดสร้างสรรค์ด้วยเช่นกัน
We missed the industrialization train, and to some extent , the information train. If we do not get our act together, we will miss the creativity train as well.
คำคมนี้คงจะใช้ได้ดีไม่ใช่เฉพาะสำหรับเวียดนามเวียดนามเท่านั้น แต่ยังน่าคิดสำหรับเมืองไทยอีกด้วย ถ้าเรายังไม่ตื่นตัวในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยเน้นความคิดสร้างสรรค์อย่างเป็นระบบแล้ว เราไม่เพียงจะตกรถไฟเท่านั้น แต่ยังอาจถูกรถไฟแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่มีเวียดนามนั่งอยู่นี้ ทับเอาจนโงหัวไม่ขึ้นและสายเกินกว่าที่จะตามทันได้
เอกสารอ้างอิง
1. Time to get creative , Vietnam Investment Review , 30 April 2007
2.
21 August 2004
3. GDP Growth Comparison , www.mekongcapital.com ,etc
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที