เรื่องสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรเรียนรู้นั่นคือ วิธีชงนมผงสำหรับเด็กน้อย ซึ่งใครหลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องง่ายดายคล้ายกับการชงกาแฟ ทว่าความเชื่อเช่นนั้นอาจทำให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง เพราะอย่าลืมว่าระบบย่อยอาหารของลูกน้อยยังไม่สมบูรณ์แข็งแรง โดยหากเราไม่ใส่ใจทุกขั้นตอนการชงนมอย่างพิถีพิถัน ก็อาจทำให้ลูกน้อยเกิดอาการท้องอืด ไม่สบายท้อง และร้องไห้ไม่หยุด
ดังนั้น ในวันนี้เราจึงจะมาแนะนำ 4 วิธีชงนมผงที่ถูกต้อง สำหรับให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่นำไปปฏิบัติตาม เพื่อป้องกันอาการท้องอืดในเด็กหลังจากการดื่มนม โดยถ้าทุกคนพร้อมแล้ว เอาเป็นว่า เราไปดูขั้นตอนชงนมอย่างถูกวิธีกันได้เลย
1.ใส่น้ำต้มสุกก่อนใส่นมผงแบบก้อน
คุณพ่อคุณแม่มือใหม่หลายคนอาจคิดว่า การใส่นมผงหรือน้ำต้มสุกก่อน-หลังก็ไม่ต่างอะไรกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราควรใส่น้ำต้มสุกลงไปในขวดผสมก่อนนมก้อน ด้วยเหตุที่ว่า การวัดปริมาณน้ำที่ใช้ในการผสมจึงทำได้ยาก ซึ่งส่งผลให้ลูกน้อยได้รับนมในปริมาณที่เข้มข้นมากไป จนเกิดอาการท้องอืดหรือท้องผูกตามมาในภายหลัง
2.ใช้น้ำต้มสุกในการชงนม
ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้ใช้น้ำต้มสุกแทนน้ำร้อน เนื่องจากนมจะติดกันเป็นก้อน รวมถึงสารอาหารสำคัญบางตัวก็จะถูกทำลายไป ดังนั้น น้ำที่เหมาะกับนมผงชงสะดวกมากที่สุดคือ น้ำต้มสุก ที่นำไปพักจนมีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิห้อง โดยน้ำต้มสุกควรบรรจุอยู่ภาชนะแก้ว และสามารถนำมาผสมกับน้ำร้อนได้ในอัตรา 1 ต่อ 3 (น้ำต้มสุก 3, น้ำร้อน 1)
3.ไม่เขย่าบรรจุภัณฑ์นมผงขึ้น-ลงแรง ๆ
เนื่องจากการกระทำเช่นนี้จะส่งผลให้นมเกิดฟองอากาศได้ง่าย ซึ่งเมื่อเรานำนมก้อน ละลายน้ำ แล้วให้ลูกดื่มเข้าไป ก็จะกระตุ้นการเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร ตลอดจนเกิดอาการท้องอืด หรือรู้สึกไม่สบายท้องนั่นเอง
4.ให้ลูกดื่มนมในปริมาณเหมาะสม
หากคุณพ่อคุณแม่เผลอชงนมมากเกินไปจนลูกดื่มไม่หมด เราสามารถนำนมที่เหลือเก็บในตู้เย็นได้ในระยะเวลา 1 ชั่วโมง เพราะหากให้ลูกดื่มหลังเลยเวลาที่กำหนด อาจทำให้ลูกท้องอืด และหนักสุดอาจถึงขั้นท้องเสียเลยก็มี นอกจากนี้การดื่มนมมากไปยังเสี่ยงต่อภาวะโอเวอร์ฟีดดิ้ง (Overfeeding) ด้วยเช่นกัน ฉะนั้น คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรระวังเรื่องนี้กันให้ดี
เป็นอย่างไรบ้างกับ 4 วิธีชงนมผงที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ โดยคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรใส่ใจทุกขั้นตอนอย่างพิถีพิถัน เพราะไม่เช่นนั้นลูกน้อยอาจเกิดอาหารท้องอืด ไม่สบายท้อง หรือร้ายที่สุดถึงขั้นท้องเสียได้เลยทีเดียว ฉะนั้น จึงพูดได้ว่าเรื่องนี้มีส่วนสำคัญต่อสุขภาพของลูกน้อยอย่างยิ่งยวดนั่นเอง
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที
