ถ้าท่านกำลังอ่านบทความนี้อยู่ อย่างน้อยคิดว่าท่านน่าจะเป็นคนไทย
อยากเชิญให้ท่านลองถามตัวเองว่า มีมารยาทสังคมไทย ๆ ใดบ้าง ที่ท่านได้พบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วท่านรู้สึกประทับใจ
ประทับใจถึงขนาดที่ท่านเองจะตั้งอกตั้งใจทำให้ดีที่สุดด้วย เพื่อที่จะรักษามารยาทนั้นให้ยืนยงคงต่อสืบไป เหมือนที่บรรรพบุรุษไทยได้รักษาไว้ถึงทุกวันนี้
ติ๊ก...ต็อก...ติ๊ก...ต็อก...ติ๊ก...ต็อก.....
หมดเวลา!
ท่านนึกอะไรได้บ้าง? กรุณาเขียนใส่ไว้ในคอมเม้นท์ด้านล่าง เพื่อเราจะได้มาคุยกันต่อไป
สิ่งที่ฉันอยากจะมาเล่าวันนี้ คือ ความประทับใจบางอย่างในมารยาทสังคมที่ญี่ปุ่น
ที่บอกว่าบางอย่าง ก็เพราะว่ามีหลายอย่าง อาจจะต้องมาเขียนเพิ่มวันหลัง
แต่นี่เป็นเรื่องแรกที่นึกได้ จึงนำมาเล่าก่อน
เรื่องมีอยู่ว่า ฉันอยากจะเข้าใจจิตวิญญาณของซามูไรยุคโตกุกาว่าได้ดียิ่งขึ้น เพื่อจะได้นำไปใช้ในการเขียนวิทยานิพนธ์ในเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ฉันก็ได้เรียนวิชาดาบซามูไรจากในประเทศไทย และได้ไปเรียนต่อในสำนักเครือเดียวกันที่ญี่ปุ่นด้วย ระหว่างที่รับทุนวิจัยเมื่อช่วงสามเดือนที่ผ่านมานี้
ในวันแรกหลังจากที่ฝึกวิชาดาบซามูไรสารพัดชนิดจากสำนักดาบที่ชิบูย่า ในกรุงโตเกียวเสร็จ
ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว พวกเราทั้ง ๓ คนกำลังเดินไปที่สถานีรถไฟชิบูย่า
ในสามคนนั้น นอกจากฉันแล้วก็มี ทาบูจิเซนเซ ผู้เป็นเจ้าสำนัก และ รุ่นพี่ผู้ชายชาวญี่ปุ่นสูงยาวเข่าดีคนหนึ่ง
ฉันจะขอเรียกเขาว่า เซมปัย ซึ่งแปลว่า ศิษย์ผู้พี่
โดยเฉพาะในโดโจ (สำนัก) เซมปัยที่เซนเซสั่งให้มาดูแลเรา จะเสียสละการฝึกของตัวเองในวันนั้น ๆ มาประกบศิษย์ผู้น้องคนใหม่ หรือที่เรียกว่า โคฮัย
เซมปัย จะดูแลทุกอย่างตั้งแต่การใส่ชุดและเครื่องป้องกันให้ถูกต้องไปจนถึงเทคนิคการใช้ดาบเบื้องต้น
ถ้าใครดูภาพยนตร์เรื่อง The Last Samurai คงจะจำฉากหนึ่งได้ที่แม่ทัพหนุ่มคนหนึ่งเดินมาตรวจดูทอม ครูซ ในวันที่จะออกรบครั้งสุดท้ายว่า ใส่ชุดเกราะถูกต้องแน่นหนาหรือไม่
นั่นก็คืออารมณ์เดียวกัน เพราะวิชาดาบซามูไร จะละเอียดมาก ไม่เฉพาะเรื่องความปลอดภัย
ว่ากันว่า เราสามารถบอกระดับของนักดาบได้จากวิธีการแต่งตัวและใส่เครื่องป้องกันของเขาด้วย
ซึ่งฉันว่ามันคือเรื่องของการเจริญสติ วิปัสสนาหรือ ที่ฝรั่งทั่วโลกเห่อกันมากว่า ๒๐ ปีแล้วในชื่อของ mindfulness meditation บ้าง หรือ insight meditation บ้าง นั่นเอง
เมื่อเดินมาถึงสถานี เซนเซหันกลับมากล่าวให้โอวาทครั้งสุดท้ายสองสามคำ
คนญี่ปุ่นโดยเฉพาะครูบาอาจารย์มักจะพูดคำว่า Gambatte อยู่เสมอ
ความหมายแปลคร่าว ๆ ก็คล้ายกับว่าให้เรามีความเพียรพยายามให้มากเข้าไว้นะ ก่อนที่ท่านจะหันกลับเดินจากไป
พวกเราทั้งสองคน เซมปัย และ โคฮัย ก็โค้งรับคำท่าน และโค้งลาตั้งแต่ก่อนเซนเซหันหลังกลับแล้วคนละหลายที
พอเซนเซหันหลังเดินไป ฉันก็หันข้างจะเดินเข้าสถานีด้วย เพราะเซนเซเดินออกไปด้านข้างที่ท่านจอดจักรยานไว้
ปรากฏว่าเซมปัยของฉัน กึ่งคว้า กึ่งกระชากแขนฉันมับแล้วบอกให้กลับมาก่อนแล้วให้ยืนรอส่งเซนเซ ฉันทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก
เซมปัยฉันยืนตัวตรงเหมือนนายทหาร แล้วบอกฉันอย่างหน้านิ่งเรียบ และเสียงเข้มเหมือนทหารด้วย คือเน้นเป็นคำ ๆ ว่า "...นี่เป็นธรรมเนียมญี่ปุ่น!..."
ตายละวา ไม่รู้นี่นา ฉันก็เลยต้องยืนตรงกับเขาด้วย และหางตาก็ชำเลืองดูพยายามเลียนแบบเซมปัย เหมือนกับที่ฉันทำมาตลอดการเรียนในวันนั้น
เซมปัยฉันมองตรงไปข้างหน้าในทิศที่เซนเซเดินไป ฉันก็เลยมองไปด้วย
และก็จริงด้วย ไกลออกไป ฉันเห็นเซนเซหันกลับมามองและโบกมือให้พวกเรา
เซมปัยฉันโบกกลับแล้วโค้งด้วย ฉันก็ทำบ้าง
เป็นอย่างนี้สักพัก เพราะเซนเซจะหันกลับมามองเป็นระยะ ๆ แล้วก็ทำอย่างนี้เป็นระยะ ๆ
จนกระทั่งลับตาไป และพวกเรามองไม่เห็นเซนเซอีก
เซมปัยของฉันมองให้แน่ใจว่าเซนเซออกไปจากสายตาของพวกเราแล้ว ถึงหันมาบอกด้วยสุ้มเสียงที่ดูเหมือนจะอ่อนโยนขึ้นแกมโล่งอกว่า
"...เอาล่ะ...พวกเราไปกันได้แล้ว..." ฉันถึงกล้าขยับแตกแถวออกมา
หลังจากนั้น หลังการฝึกทุกครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่พวกเราจะมีจำนวนกันมากกว่านั้น ฉันก็จะได้ร่วมยืนส่งเซนเซกับบรรดาเซมปัยทั้งหลาย
ในครั้งแรกนั้น ฉันจำได้ว่าฉันเกิดความรู้สึกขึ้นมาสองอย่างพร้อม ๆ กัน
อย่างแรกคือ "....โอ้โฮ....นี่ฉันอยู่ในกลางกรุงโตเกียวในศตวรรษที่ ๒๑ หรือเปล่านี่..."
เพราะอารมณ์มันสุดแสนจะเป็นศตวรรษที่ ๑๗ มากเลย คือ ยุคโตกุกาว่าที่ฉันต้องทำวิทยานิพนธ์นี่แหละ โดยเฉพาะเมื่อนึกว่าต่างคนต่างพกดาบกันมาด้วยเนี่ยนะ ถึงแม้จะแพ็คในกระเป๋าอย่างมิดชิดก็เถอะ
แถมเซนเซยังใส่ชุดแบบญี่ปุ่นของท่านอีก
แต่อย่างที่สองนั้น ฉันกลับรู้สึกประทับใจในการให้ความเคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์อย่างสูงสุดของคนญี่ปุ่น
เพราะทุกครั้งที่ฉันยืนตรงเป็นนายทหารอยู่กับบรรดาเซมปัยทั้งหลายนั้น ใจของฉันสัมผัสได้ถึงภาษาของร่างกาย หน้าตา สีหน้า แววตา
และอะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่มันทำให้ฉันรู้ได้ว่า เขาไม่ได้ทำไปเพียงกิริยา และไม่ได้ทำไปเพียงเพราะมันเป็น "มารยาทสังคม" แต่ด้วยความเคารพจากใจจริง ๆ
แต่ก็นั่นแหละ ฉันอาจจะโชคดีได้เรียนกับครูบาอาจารย์ที่เป็นครูโดยจิตวิญญาณเนื้อแท้ มีความเมตตากรุณาต่อลูกศิษย์
อีกทั้งฉันอาจโชคดีได้เรียนกับผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทิตาธรรมกันทั้งหมดก็ได้ ฉันเคยคิดอย่างนั้น
แต่เมื่ออยู่ ๆ ญี่ปุ่นไป ฉันได้มีโอกาสสังเกตุ scene ลักษณะเดียวกันนี้อีกบ่อยมากอย่างนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งตามสถานีรถไฟ และตามร้านอาหาร
กล่าวคือ เวลาที่ผู้ใหญ่จะกลับไปก่อน และกลุ่มผู้น้อยจะพากันพรวดลุกขึ้นยืนระวังตรง
คอยส่งท่านเป็นหมู่คณะจนลับสายตาไปด้วยความเคารพ
จะไม่มีใครหลุกหลิก แตกแถว หรือแม้แต่ละสายตาไปจากที่อื่นเลย
จนกระทั่งท่านลับสายตาไปจริง ๆ แล้วนั่นแหละ
นอกจากนี้ มารยาทอื่น ๆ ที่ฉันสังเกตุอีกก็คือ
รวมทั้งในร้านอาหารด้วย เพราะถือว่าเป็นการรบกวนผู้อื่น เขาจะส่งแต่ข้อความกันเท่านั้น
และถ้าใครบ้าจี้จะใช้จริง ๆ ในรถไฟจะมีประกาศขอความร่วมมือให้ทำเป็นแบบเงียบ ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องประกาศก็ได้เพราะไม่มีใครทำอยู่แล้ว นอกจากคนต่างชาติมั้ง
และรู้ไหมว่า ระบบสั่น หรือ เงียบ ของมือถือในญี่ปุ่นเรียกว่าอะไร? เรียกว่า ระบบมารยาท ครับท่าน!! (Manner Mode) (マナーモダ)
คนที่ใช้เลนขวาไม่มีใครหยุดยืนเฉย ๆ เลย ทุกคนรีบเดินหมด หรือไม่ก็ปล่อยว่างไว้ ฉันชอบระบบนี้มาก ทุกคนควบคุมตัวเอง อย่างมีระเบียบรู้ตัวทั่วพร้อมในทุกย่างก้าวดีจริง ๆ
ความจริงมีอีกเยอะ แต่วันนี้ขอนำเสนอแค่นี้พอเป็นการเปิดประเด็นคุยกัน
ส่วนตัวแล้วฉันอยากให้นำกม.การใช้มือถือและบันไดเลื่อนมาใช้เมืองไทยด้วย
ท่านคิดว่าคนไทยจะทำได้ไหม?
ว่าแล้วก็ขอฟังความเห็นท่านทั้งหลายเรื่องมารยาทสังคมของคนไทยที่ท่านพบเห็นในชีวิตประจำวันและประทับใจด้วย
เช่น เวลาท่านเห็นคนไทยไหว้ทำความเคารพกัน กับเห็นคนญี่ปุ่นโค้งกันนั้น ท่านรู้สึกเหมือนกันหรือไม่? เพราะเหตุใด?
ท่านรู้สึกเหมือนฉันไหมว่า บางครั้งคนไทยยกมือไหว้เป็นมารยาทสังคม แต่คนญี่ปุ่นตั้งใจโค้งจริง ๆ เพราะมันมาจากใจเขา
ไม่ต้องอะไรเลย การโค้งของเขามีหลายองศามาก ซึ่งจะยึดถือเป็นแบบอย่างที่ค่อนข้างสตริ๊คท์
มีตั้งแต่ ๑๕ องศา ๓๐ องศา ๔๕ องศา ๙๐ องศา ไปจนถึง ๑๘๐ องศา คือ เวลานั่งแล้วโค้งแบบหมอบกราบไปกับพื้น
ดังนั้น ก่อนจะโค้ง เขาต้อง "ตั้งสติ" กันก่อน ว่านี่จะโค้งให้ใคร ในบริบทไหน
และการโค้งให้นอบน้อมและถูกต้อง มันต้องมาจากใจจริง ๆ
ไม่ช้าเกินไป ไม่เร็วเกินไป หลังต้องตรงไม่งอโค้งเป็นกุ้งแบบเวลาคนไทยค้อมตัวเดินผ่านผู้ใหญ่
การโค้งต้องโค้งจากตรงเอวลงมาเท่านั้น แล้วโค้งอย่างไรล่ะที่หลังตรงเป๊ะแต่ว่านุ่มนวลและสง่างามและถูกจังหวะจะโคน?
ตัวอย่างที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิงก็เห็นจะเป็นองค์พระจักรพรรดินี เชิญไปอ่านบทความที่ฉันเขียนเรื่องไปเข้าเฝ้าถวายพระพรตอนต้นปีนี้ได้
สำหรับผู้ชายก็คงต้องดูองอาจผึ่งผายเป็นซามูไรยุคใหม่หน่อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันต้องมาจากใจก่อนทั้งนั้น
นี่แค่เป็นเรื่องโค้งเรื่องเดียวเท่านั้นเองนะนี่
จริง ๆ แล้ว ที่เริ่มเขียนเรื่องมารยาท เพราะสิ่งที่สังเกตชัดมากอย่างหนึ่งระหว่างมารยาทไทยกับญี่ปุ่นก็คือ ภายนอกเผิน ๆ ดูเหมือนจะนุ่มนวล เรียบร้อยและขี้เกรงใจพอกัน โดยญี่ปุ่นอาจจะแซงเราไปด้วยซ้ำเรื่องความเกรงใจ (โปรดติดตามอ่านตอนหน้าเรื่องความเกรงใจของคนญี่ปุ่น)
แต่สิ่งที่คนไทยแพ้คนญี่ปุ่นตั้งแต่ยังไม่ออกสต๊าร์ทเลยด้วยซ้ำ ก็คือ เราไม่ค่อยจะมีจิตสำนึกทางสังคม หรือ จิตสำนึกสาธารณะเหมือนเขาเลยนั่นเอง
ตรงนี้แหละ ที่เป็นแก่นสำคัญ เป็นตัวหล่อหลอม และเป็นกระบวนทัศน์ในการคิด ในการตัดสินใจทุก ๆ อย่างในการทำงานของคนญี่ปุ่นเสมอ ไม่เชื่อเชิญท่านไปถามเพื่อนร่วมงานของท่านได้
การนึกถึงส่วนรวมก่อนเสมอนี้ เป็น second nature ของคนญี่ปุ่นอย่างแท้จริง นั่นก็คือ เขาไม่ต้องหยุดคิดหรือฝืนใจตนเองเลยในการทำอะไรเพื่อส่วนรวม แต่ทั้งหมด ล้วนทำไปโดยธรรมชาติ เพราะไม่อยากให้สังคมต้องมาเดือดร้อนเพราะตนเพียงคนเดียว เขารู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ ไม่ได้เสแสร้ง
ซึ่งค่อนข้างจะตรงกันข้ามกับแนวคิดที่เราได้ยินกันมาเสมอว่า "ทำอะไรตามใจ คือไทยแท้" พอสมควร ใช่ไหม?
แต่ที่เขียนนี้ ไม่ใช่ว่าเชิดชู ชมเชย ญี่ปุ่น แล้วว่าไทยไม่ดี เพียงแต่ว่านี่เป็นสิ่งที่สะท้อนความสบายในสภาพภูมิประเทศและประวัติศาสตร์ของชาติเรามาโดยตลอดต่างหาก เราไม่เคยต้องแก่งแย่งทรัพยากร หรืออยู่อย่างแร้นแค้น ปากกัด ตีนถีบ เราอยู่ด้วยความ "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" กันแต่ไหนแต่ไร ภัยธรรมชาติก็ไม่ค่อยจะเคยมี ดังนั้น เราจึงค่อนข้างจะทำตัวตามสบายกันจนเคยชินนั่นเอง
ตรงกันข้ามกับญี่ปุ่น ที่ต้องขยันขันแข็ง เพื่อเอาตัวรอดให้ได้ตลอดทั้ง ๔ ฤดู นั่นหมายถึง ต้องเก็บเกี่ยวอาหารเอาไว้ในยามที่ไม่มีผลผลิต และยามมีภัยธรรมชาติ อีกทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นก็มีพลเมืองมากมาย ต้องแย่งกันอยู่อาศัยในพื้นที่คับแคบเมื่อเทียบกับประชากร ยื่นเท้าออกไปหน่อยไม่ระวังก็เหยียบเท้าคนอื่นได้แล้ว ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะคิด จะทำ จะพูด จึงต้องระมัดระวังมาก ไม่เช่นนั้น ทรัพยากรของส่วนรวมจะเสียหาย และคนอื่นจะลำบากกันหมด
นอกจากนั้น ความที่เราอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขภายใต้พระบรมโพธิสมภารของบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุก ๆ พระองค์มาโดยตลอดนั้น ทำให้เราไม่ต้องเผชิญภัยสงครามกลางเมืองมากเหมือนญี่ปุ่นนัก ประเทศที่มีการรบพุ่งกันในแต่ละแคว้นมาเป็นเวลาร่วมพันปีอย่างญี่ปุ่น ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จิตวิญญาณของสำนึกหน้าที่รับผิดชอบต่อ "หน่วยที่ตนสังกัด" คือ บ้าน ชุมชน และ เมือง นั้น ๆ ก็ย่อมเข้มข้นไปด้วย พูดง่าย ๆ ว่า อิทธิพลของวัฒนธรรมทหารร่วมพันปีนั้น ย่อมทำให้ทุกคนมีความเสียสละต่อหมู่คณะเป็นที่ตั้งนั่นเอง
แต่กระนั้นก็ดี ความคล้ายกันก็มีอยู่
ฉันชอบตั้งข้อสังเกตกับเพื่อน ๆ อย่างติดตลกเสมอว่า ดูประเทศไทยกับญี่ปุ่นซิ อยู่เอเชียเหมือนกัน มีวัฒนธรรมข้าวเหมือนกัน ได้อิทธิพลจากพุทธศาสนาเหมือนกัน มีการปกครองโดยกษัตริย์/องค์จักรพรรดิที่เป็น "สมมติเทพ" คล้าย ๆ กัน แถมจะว่าไปแล้ว เรากับญี่ปุ่นก็รับการพัฒนาอุตสาหกรรมแบบตะวันตกมาพร้อม ๆ กันอีกด้วย คือ สมัยล้นเกล้าฯ ร. ๕ กับ องค์จักรพรรดิเมจิ เผลอ ๆ เริ่มมีรถไฟครั้งแรกปีใกล้เคียงกันด้วย แล้วดูความแตกต่างของญี่ปุ่นกับไทยเดี๋ยวนี้ซิ ไม่ต้องเอาอะไรเป็นตัวชี้วัดมาก เอาแค่รถไฟอย่างเดียวก็ได้ เพราะเหตุใด?
ส่วนตัวฉันคิดว่า เพราะจิตสำนึกสาธารณะของคนญี่ปุ่นนั่นเอง ที่เริ่มง่าย ๆ จากสิ่งใกล้ตัวที่ท่านเองก็สามารถสังเกตเห็นในรูปแบบของวัฒนธรรมญี่ปุ่น นั่นก็คือ มารยาทสังคมของชาวญี่ปุ่น มันมีที่มาอย่างนี้ มันอยู่ที่จิตวิญญาณของเขา มันไม่ใช่ "ปมมุมานะ" หรือ "ความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี" หรือ "ความสามารถในการสร้างหุ่นยนต์ ฯลฯ หรือ อุตสหากรรม ฯลฯ" หากท่านคิดอย่างนั้น ท่านกำลังหลงทาง เพราะสิ่งที่ทำให้ญี่ปุ่นผงาดขึ้นมาแตกต่างจากคนอื่นที่แท้จริงแล้ว คือ จิตวิญญาณญี่ปุ่น ที่ไม่มีใครมาสอนท่าน เพราะมันได้รับการเพาะบ่มอยู่ในสายเลือดเขาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ซึ่งเขาก็ได้สืบต่อกันมาด้วยการสังเกต
ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของเราท่าน ที่จะต้องคอยสังเกตด้วยความตั้งใจ ด้วยสติ ด้วยความรอบคอบต่อไป ถึงมารยาทสังคมที่มีที่มาจากจิตสำนึกทางสังคมของชาวญี่ปุ่น เพื่อที่ว่า นอกจากท่านจะสามารถเสริมสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานของท่านได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว ท่านและเขาจะยังสามารถช่วยให้องค์กรของท่านเติบโตขึ้นไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนอีกด้วย
อันจะนำมาสู่ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งของประเทศญี่ปุ่น และ ราชอาณาจักรไทย ดังที่เคยเป็นไปมาแล้วในประวัติศาสตร์ อันนานแสนนานนี้
ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่แวะมาอ่าน
どうもありがと ございました!
(Doumo arigato Gozaimashita!)
การฝึกการกราบแบบสติปัฏฐาน ๔ ทำให้ผู้เขียนระลึกรู้ได้ว่า การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ของไทย กับการโค้งคำนับของญี่ปุ่นในลักษณะท่านั่งหน้าผากจรดพื้นในจังหวะสุดท้ายตามภาพประกอบด้านบนแทบจะไม่ต่างกัน ทั้งตอนขึ้น และ ตอนลง สถานที่: มูลนิธิศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่ ศูนย์ ๒ ภาพ: นิตยสาร Positioning เมื่อครั้งไปสัมภาษณ์ผู้เขียนเมื่อหลายปีที่แล้ว
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที