ณัชร

ผู้เขียน : ณัชร

อัพเดท: 23 พ.ค. 2007 11.36 น. บทความนี้มีผู้ชม: 5602 ครั้ง

เหมือนฉันนั่งไทม์แมชชีนไปสู่อนาคตของเมืองไทย


คุณเคยได้ธรรมะสอนใจจากสังคมญี่ปุ่นไหม?

 (หมายเหตุ บทความนี้นำมาจากไดอารี่เก่าของผู้เขียน ที่เขียนเมื่อคืนวันขึ้นปีใหม่ ที่ญี่ปุ่น และภาพประกอบได้ถ่ายด้วยตนเองทั้งหมด)







ภาพ Meiji Jingu หรือ Meiji Shrine นั่นเอง
ในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนไปแล้วย่างเข้ีาปีใหม่
กับคนนับล้านในสายตาฉัน (จริง ๆ คงแค่ร่วมแสน)
แต่เป็นคลื่นมนุษย์ที่ไหลไม่หยุดทั้งคืน

วันนี้เป็นวันแรกของปี  แต่กว่าจะอัพโหลดบล็อกก็คงเข้าไปวันที่ ๒ แล้ว
ปีนี้มารับทุนวิจัยอยู่ญี่ปุ่นเลยจำต้องกัดฟันฝ่าลมหนาวออกไปสัมผัส
สภาพสังคมญี่ปุ่นแบบตัวต่อตัวจริง ๆ
  เสียหน่อย ตอนเที่ยงคืนวันที่ ๓๑ ธค.
ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้ชื่อว่ารับทุนวิจัยสายสังคมศาสตร์

เพราะจริง ๆ แล้ว  สาเหตุที่เขาให้ทุน  ก็เพราะว่า เขาต้องการให้ได้มาอยู่
ได้มาสัมผัสสังคมของเขาด้วยตนเองจริง ๆ นั่่นเอง
  เพราะการอ่านหนังสือ
มากสักเพียงใดก็ไม่เท่ากับการได้มาเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้สัมผัส
ได้ลิ้มรส ได้อยู่อาศัย ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนและสังคมที่่นี่ี่จริง ๆ

สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น  สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ  ทำนองนั้น

แต่สิ่งที่ได้เห็น  และสิ่งที่ได้สัมผัส  คือการเบียดเสียดกับผู้คน
ไม่ว่าจะเป็นตอนเที่ยงคืนที่่
ศาลเจ้าเมจิ หรือตอนบ่ายอีกวัน
ที่วัดอาซะกุสะนั้น กลับทำให้รู้สึกเหมือนได้เข้าไปปฏิบัติธรรมอีกครั้ง
นั่นคือ มีอะไรให้ได้กำหนดและปลงสังเวชไม่น้อย

เพราะไม่ว่าจะมองไปทางใดก็ได้เห็นแต่ความเสื่อมไปของ
พระพุทธศาสนา หรือการเข้าถึงการฝึกปรือทางจิตวิญญาณ
ที่จะว่าไปแล้ว เคยเป็นจุดแข็งของญี่ปุ่นเมื่อหลายร้อยปีก่อน
ดังที่เราเคยได้อ่านกันในเรื่องราวร้อยพันของพระเซนและ
เหล่าซามูไร นักรบผู้กล้าทั้งหลาย


การไปวัด หรือ ศาลเจ้าในคืนปีใหม่ ได้กลายเป็นเพียง
 "พิธีกรรม" หรือ "พิธีการ" สั้น ๆ ที่ประกอบไปด้วย
การทำทานแบบไม่ได้ประณีตอะไร คือ โยนเหรียญลงไปในกล่อง
แล้วก็อธิษฐานอ้อนวอน แล้วก็อาจจะมีซื้อเครื่องรางของขลัง
ไปคุ้มครองที่บ้าน เหมือนลงยันต์กันผี และเสี่ยงเซียมซี ทำนองนั้น

จากนั้น ก็จะเป็นงานรื่นเริงของวัด ก็เหมือนงานวัดเราดี ๆ นี่เอง
คือ มีอาหารสารพัด มีการออกร้านต่าง ๆ มีตู้ให้โยนลูกบาสลงห่วง
และสารพัดเกมที่หน้าตาเหมือนกันทั่วโลก
 

แม้นแต่เมืองคามาคูระที่มี "หลวงพ่อโต" หรือ ไดบุทสุที่คุ้นตาชาวโลกนั้น
ในแผ่นปลิวแนะนำวัด เขาบอกเพียงเป็นสิ่้งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรม
และนักท่องเที่ยวก็ไปแค่ไปถ่ายรูปด้วยเท่านั้น อย่างเก่งก็ซื้อของที่ระลึก
กลับบ้าน ซึ่ีงหนีไม่พ้นเครื่องราง ของขลังอยู่ดี

ความจริงเครื่องรางของขลัง นั้นถ้ามีการอธิบายที่มาที่ไปของการ
สวดมนต์ภาวนา ตอนที่่เขาทำให้มัน
"ขลัง" นั้นหน่อยว่า การสวดมนต์นั้น
มีอานิสงส์อย่างไรบ้าง ก็ยังดี

เช่น สวดแบบไม่รู้ความหมายเลยก็ยังได้ฝึกสมาธิ
สวดแบบรู้ความหมายก็อาจได้ศรัทธา นับเป็นกุศลทั้งคู่
แล้วต่อให้ฝึกเจริญสติไปในระหว่างที่สวดคือรู้ัตามความเป็นจริงใน
การสวดออกเสียง ก็ได้กุศลอีก เพราะสติเป็นเจตสิกฝ่ายกุศล
อย่างนี้เป็นต้น


นอกจากนี้ ก็มีเรื่องผลของการสวดแผ่เมตตาลงไปในสิ่งต่าง ๆ
ก็มีบทวิจัยยืนยันอยู่ ถ้ามีการให้ความรู้คนเช่นนี้ควบคู่กันไปบ้าง
อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่า ยังอิงอรรถ อิงธรรม

แต่นี่่ ที่วัดหลวงพ่อโต ที่ีคามาคูระ ไม่มีทั้งปริยัติ และปฏิบัติ
ไม่มีการสอนทำสมาธิ ไม่มีการสอนการเจริญสติ
คงแต่มีภาพนักท่องเที่ยวไปถ่ายภาพกับ "สิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรม" ขนาดใหญ่เท่านั้น
 

แล้วจะไม่ให้ฉันสลดใจได้อย่างไร? 

 

 

 

Daibutsu, Kamakura อีกหนึ่งในบทพิสูจน์ถึงความเสื่อมของพุทธศาสนาในญี่ปุ่น

แต่นั่นก็คือ ความเสื่อมไปเป็นธรรมดาของสรรพสิ่งไม่ใช่หรือ? 
ในเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว จะสลดโศกเศร้าไปไยเล่า?

คงเป็นเพราะว่าฉันรู้สึกเหมือนนี่เหมือนเป็นการนั่่งไทม์ แมชชีน ล่วงหน้า
มาประเทศไทยในอนาคตนั่นเอง
   และเป็นธรรมดา 
ฉันก็ย่อมอดห่วงบ้านเมืองตนเองไม่ได้

หลายเดือนที่มาอยู่ที่ญี่ปุ่นนี้  ทำให้ตระหนักว่า 
ที่พระพุทธองค์ทรงทำนายไว้ เรื่องความเสื่อมไป
ของพระพุทธศาสนานั้น เป็นเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
 

แต่ที่น่าตระหนกก็คือ  ไม่นึกว่าจะเร็วขนาดนี้  หรือ
ไม่นึกว่า จะได้ทันเห็นในช่วงชีวิตนี้
 

ก็คงได้แต่น้อมนำสิ่งที่เห็นเหล่านี้มาเตือนสติ
  และ
เร่งสร้างความเพียรต่อไป
 

เพราะมีแต่ตนเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งแห่งตนได้
 

ทุกครั้งที่ฉันมองไปรอบข้างสิ่งต่าง ๆ แล้วฉันสรุปลงที่เรื่อง
ความเสื่อมไปของสรรพสิ่ง
  ฉันก็มักจะนึกถึงประโยคนี้
ของพระพุทธพจน์
 
ที่ี่อาจารย์มักอัญเชิญมาเตือนสติ
พวกเราในคอร์สพัฒนาจิตเพื่อให้เกิดปัญญาและสันติสุขเสมอ

"...วันคืนล่วงไป ล่วงไป...เธอกำลังทำอะไรอยู่...."


ท่านล่ะ? ......กำลังทำอะไรอยู่?


....ท่านรู้วิธีที่จะทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้วหรือยัง?.....


ไปญี่ปุ่นหนหน้า  ขอท้าให้ท่านมองไปรอบ ๆ 
แล้วท่านก็จะเห็นสัญญาณเตือน ของความเสื่อมอย่างที่
พระพุทธองค์ทรงทำนายไว้  อย่างที่ฉันเห็น


ว่าแล้วก็ต้องเร่งเจริญสติต่อไป  
เพราะดูเหมือนจะปล่อยให้เวลาล่วงไป ล่วงไป อยู่อย่างนี้
.......มานานเกินพอแล้ว


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที