ทั้งนี้ นับตั้งแต่สหรัฐฯ ยกเลิกกฎหมาย Jade Act 20084 ในเดือนตุลาคม 2559 การค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย-เมียนมาก็เพิ่มสูงขึ้น โดยไทยนำเข้าสินค้าหลักคือ พลอยสีจากเมียนมาเพิ่มขึ้นมาโดยตลอดก่อนจะเริ่มลดลงในปี 2563 เนื่องจากดีมานต์พลอยสีของตลาดโลกลดลงจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ตาม พบว่าในไตรมาสแรกของปี 2564 ไทยนำเข้าพลอยสีจากเมียนมาเพิ่มขึ้นถึง 106% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เฉพาะเดือนมีนาคมปีนี้นำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 296% คาดว่าเพื่อสต๊อกเก็บไว้ ด้วยเกรงว่าอาจนำเข้าได้ยากขึ้นหากเหตุการณ์ในเมียนมายังคงรุนแรงต่อไป
ด้านการส่งออกนั้นพบว่า สินค้าส่งออกสำคัญจากไทยไปเมียนมาคือ ทองคำ ในปี 2562-2563 มูลค่าการส่งออกเพิ่มสูงขึ้นมากจากการส่งออกทองคำฯ ในสัดส่วนถึง 98% เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนจากผลกระทบของการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า ชาวเมียนมาจึงต้องการเก็บสะสมทองคำไว้ในฐานะทรัพย์สินที่มีความปลอดภัยสูงและมีเสถียรภาพกว่าเงินสด และไตรมาสแรกปี 2564 ไทยส่งออกไปยังเมียนมาได้ลดลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาทั้งจากผลกระทบของโควิด-19 และปัจจัยซ้ำเติมจากการรัฐประหาร ส่งผลให้กำลังซื้อของชาวเมียนมาปรับลดลงตามไปด้วย
จากเหตุประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่ยังคงปะทุอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กิจการห้างร้านต้องปิดชั่วคราว แรงงานหยุดงานในหลายพื้นที่ การขนส่งไม่คล่องตัว รวมถึงสถาบันการเงินมีการกำหนดเงื่อนไขในการเบิกจ่าย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกองทัพเมียนมายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือออกมาตรการจำกัดการนำเข้าส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับระหว่างไทย-เมียนมา5 แต่อย่างใด ดังนั้น การค้าอัญมณีและเครื่องประดับระหว่างไทยกับเมียนมา จึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ อย่างมีนัยสำคัญในขณะนี้
“ปัจจุบันกองทัพเมียนมายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือออกมาตรการจำกัด
การนำเข้าส่งออก การค้าอัญมณีและเครื่องประดับระหว่างไทย-เมียนมา จึงยังไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ”
การค้าพลอยสีหลังรัฐประหารในเมียนมา
เป็นเวลากว่า 3 เดือนแล้วที่สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรประกาศคว่ำบาตรไม่ทำธุรกรรมการค้ากับบริษัทอัญมณีและหยกของเมียนมา หากแต่ธุรกรรมการค้าเหล่านี้ของเมียนมาก็ยังคงดำเนินต่อไปได้ตามปกติ ดังจะเห็นได้จากการที่บริษัท Myanmar Gem Enterprise ของรัฐบาลทหารยังคงจัดงานประมูล Myanmar Gems Emporium ขึ้นในช่วงวันที่ 1 – 10 เมษายน 2564 ณ กรุงเนปิดอว์ และได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าโดยเฉพาะชาวจีนซึ่งเดินทางมาร่วมประมูลถึง 3,000 คน โดยจีนถือเป็นประเทศคู่ค้าหยกรายใหญ่ที่สุดของ
เมียนมา ราว 99% ของหยกเมียนมาถูกจำหน่ายเข้าไปยังตลาดจีนซึ่งมีกำลังซื้อสูงและนิยมบริโภคหยกมากที่สุดในโลก และเนื่องจากรัฐบาลจีนไม่มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อเหตุการณ์ในประเทศเมียนมาด้วยแล้ว การค้าอัญมณีและหยกระหว่างจีนและเมียนมาจึงเป็นไปอย่างราบรื่น
ในส่วนของพลอยสีนั้น เนื่องจากเมียนมาเป็นแหล่งผลิตพลอยสีหลากหลายชนิดรายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก แต่เหตุการณ์ความไม่แน่นอนในขณะนี้ ทำให้ผู้ค้าพลอยสีทั่วโลกต่างคาดว่าปริมาณพลอยสีจากเมียนมาอาจจะออกมาสู่ตลาดโลกน้อยลง โดยเฉพาะทับทิมสีเลือดนกและทับทิมที่ไม่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพ ซึ่งจะส่งผลให้ทับทิมจากเมียนมายิ่งมีราคาสูงมากขึ้น อีกทั้งเกรงว่าสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปอาจออกมาตรการห้ามนำเข้าพลอยสีจากเมียนมาในทุกกรณีในอนาคต หลายประเทศจึงได้เร่งนำเข้าจากพลอยสีจากเมียนมาเพื่อเก็บสต๊อกไว้ จากสถิติ Global Trade Atlas ในไตรมาสแรกปี 2564 พบว่า เมียนมาส่งออกพลอยสีไปยัง 5 ตลาดหลัก ได้แก่ ฮ่องกง จีน สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และไทย ด้วยมูลค่าเพิ่มสูงถึง 816%, 720%, 31.33%, 9.34% และ 106% ตามลำดับ
https://www.mmtimes.com
แต่ขณะเดียวกันผู้ค้าในหลายประเทศอาจยังมีกำลังซื้อจำกัด เพราะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวจากผลกระทบของการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า จึงอาจหันไปนำเข้าพลอยสีที่มีคุณภาพดีแต่ราคาต่ำกว่าจากแหล่งอื่นแทนอย่างประเทศในแถบแอฟริกา เช่น มาดากัสการ์ แทนซาเนีย เป็นต้น และอาจผลักดันให้พลอยสีจากแหล่งผลิตสำคัญในทวีปแอฟริกามีราคาสูงขึ้นได้
สำหรับประเทศไทยนั้น ปัจจุบันพลอยก้อนของเมียนมายังคงไหลเข้ามาในไทยได้ตามปกติ เพราะไทยเป็นศูนย์กลางการปรับปรุงคุณภาพและเจียระไนพลอยสีที่สำคัญของโลก และแม้ว่าไทยจะไม่สามารถส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป6 ได้ แต่มีความเป็นไปได้สูงที่พ่อค้าจากตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงและนิยมทับทิมจากเมียนมาก็พร้อมที่จะรับซื้อพลอยสำเร็จเหล่านี้เข้าประเทศ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยอาจมีภาระเพิ่มเติมด้านเอกสารหลักฐานที่ต้องแสดงเพื่อยืนยันถึงแหล่งที่มาของอัญมณีกรณีที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ซึ่งน่าจะมีการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้น
“เหตุการณ์ความไม่แน่นอนในเมียนมาขณะนี้ ทับทิมสีเลือดนกและทับทิมที่ไม่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพ อาจออกสู่ตลาดโลกน้อยลง และจะส่งผลให้ราคาพุ่งสูงขึ้นมาก”
ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันการทำเหมืองอัญมณีในเมียนมายังห่างไกลจากมาตรฐานสากล แรงงานขาดคุณภาพชีวิตที่ดี อีกทั้งจากเหตุการณ์รัฐประหาร ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงกระแสในปัจจุบันที่เรียกร้องให้ธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Sourcing) ด้วยการคำนึงถึงจริยธรรม สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามแนวทาง RJC (Responsible Jewelry Council) ซึ่งหลายประเทศมีแนวโน้มในการเข้าสู่แนวทางดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างกว้างขวาง จึงอาจถือเป็นปัจจัยเร่งที่กระตุ้นให้ประชาคมอัญมณีและเครื่องประดับโลกหันมาให้ความสำคัญต่อกระแสนี้กันมากขึ้น และเร่งแสดงเจตจำนงในการปฏิบัติตามแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมและความโปร่งใส อันจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน