“สหรัฐประกาศคว่ำบาตรไข่มุกเมียนมาเช่นเดียวกับทับทิมและหยกที่ถูกห้ามซื้อขายไปก่อนหน้านี้”
เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา สำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศ (Office of Foreign Assets Control: OFAC) ของกระทรวงการคลังสหรัฐได้ประกาศคว่ำบาตรบริษัท Myanmar Pearl Enterprise (MPE) บริษัทผู้ผลิตมุกซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจากเมียนมา
MPE จะอยู่ในบัญชีผู้ที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ (Specially Designated Nationals List) ของ OFAC ซึ่งหมายความว่าบริษัทในสหรัฐจะไม่สามารถทำธุรกิจกับ MPE ได้ และทรัพย์สินของ MPE ในสหรัฐจะถูกอายัดไว้
รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ทำการคว่ำบาตรกิจการที่เกี่ยวข้องกับกองทัพเมียนมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบริษัทผู้ผลิตทับทิมและหยกซึ่งเป็นสินค้าอันมีชื่อเสียงของเมียนมา หลังจากเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กองทัพเมียนมาได้ก่อรัฐประหารล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้นถูกประนามจากหลายฝ่าย
OFAC ระบุว่าที่ต้องดำเนินการกับบริษัทดังกล่าวโดยเฉพาะเนื่องจากเป็นกิจการแบบรัฐวิสาหกิจ MPE ดำเนินกิจการด้านการเก็บหอยมุก การผสมเทียมหอยมุก การเพาะและการเก็บไข่มุก รวมถึงการขายไข่มุกผ่านงาน Myanmar Pearl Event นอกจากนี้ MPE ยังเป็นผู้อนุมัติสัมปทานในการเก็บหอยมุก การเก็บและขายเปลือกมุก ตลอดจนการลงทะเบียนเรือสำหรับการดำน้ำเก็บหอยมุก รวมถึงการลงทะเบียนผู้เชี่ยวชาญด้านไข่มุกและหอยมุก จากบทบาทในการกำกับควบคุมดังกล่าว MPE จึงเป็นผู้สร้างรายได้หลักให้แก่รัฐบาลเมียนมา โดยการค้ามุกสร้างรายได้ราว 100 ล้านเหรียญสหรัฐให้แก่เมียนมาตามข้อมูลจาก Nikkei Asia แต่ก็ยังน้อยกว่ารายได้จากหยกอยู่มาก ซึ่งหยกก็เป็นสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐเช่นกัน
เมียนมาเป็นผู้ผลิตมุกมาตั้งแต่ยุคศตวรรษ 1800 แต่ธุรกิจเพิ่งเริ่มเป็นรูปเป็นร่างเมื่อผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่นเข้ามาในช่วงทศวรรษ 1950 การรัฐประหารครั้งแรกโดยกองทัพเมียนมาในปี 1962 ทำให้ธุรกิจดังกล่าวต้องหยุดชะงัก แม้ว่าการปฏิรูปประชาธิปไตยในระยะหลังได้ช่วยให้ธุรกิจกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
แต่ปัจจุบันไข่มุกเมียนมารวมอยู่ในรายชื่อสินค้าที่ห้ามทำการซื้อขายของสหรัฐเช่นเดียวกับอัญมณีอื่นๆ จากเมียนมา หลังจากที่สหรัฐได้คว่ำบาตรบริษัท Myanmar Ruby Enterprise, Myanmar Imperial Jade Co., Cancri (Gems and Jewelry) Co. และ Myanmar Gems Enterprise ไปแล้วก่อนหน้านี้ซึ่งส่งผลให้การค้าทับทิม หยก และอัญมณีอื่นๆ จากเมียนมาส่วนใหญ่ถูกห้ามนำเข้าไปยังสหรัฐด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการบริหารของ Cultured Pearl Association of America กล่าวว่า สถานการณ์ในเมียนมาร์ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดสหรัฐเนื่องจากยังมีแหล่งมุกเซาท์ซีที่เชื่อถือได้อีกมากจากประเทศอื่นๆ ที่สหรัฐนำเข้าอยู่แล้ว
ข้อมูลอ้างอิง
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที