ดูหนังเรื่องนี้แล้ว ทำให้นึกถึงคำว่า นัตถิปัญญาสมาอาภา ไม่มีแสงใดสว่างเท่าปัญญา
ปัญญา หรือ ความรู้ เป็นอาวุธอย่างหนึ่ง ถ้าใช้ไปในทางที่ถูกต้อง ย่อมเป็นคุณอนันต์ และถ้าใช้ไปในทางที่ผิด ย่อมเป็นโทษมหันต์
เผอิญว่า ตัวเอกในเรื่องนี้นำปัญญาไปใช้ในทางที่ผิด
หนังแนววิทยาศาสตร์มีหลายเรื่องที่นิยมทำแนวล่องหนหายตัว มันเป็นเรื่องที่อาจจะเป็นไปได้ในอนาคต เพราะสสารแปลงเป็นพลังงานได้ จากสมาการของไอสไตล์ E = mc2 และตอนนี้มีการวิจัยแปลงพลังงานเป็นสสารอยู่
สำหรับเนื้อหาของหนังเรื่องนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อกำหนดที่
ในตอนที่ทีมนักวิทยาศาสตร์ประสบปัญหาที่หัวหน้าทีมไม่สามารถคืนสภาพร่างสภาพเดิมได้นั้น ทีมงานได้มีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การควบคุมตัวไว้เพื่อป้องกันอันตราย ทำหนังหน้าเทียม และถุงมือเทียมให้ใส่ เพื่อจะได้เห็นตัว และในขณะเดียวกันช่วยกันวิเคราะห์หาแนวทางแก้ไขที่รากของปัญหาโดยการตรวจสอบวิธีการทำปฏิกิริยาและสารเคมีที่ใช้ทำปฏิกิริยาในการล่องหน โดยจำลองวิธีการแก้ไขในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยให้พระเอกคืนสภาพร่างได้ แต่ยังขาดวิธีการป้องกันไม่ให้พระเอกเอาผลประโยชน์ของการล่องหนไปใช้ในทางที่ผิด
ในระหว่างกระบวนการผลิต บ่อยครั้งที่เราตรวจพบข้อบกพร่องของชิ้นงานที่ผลิตขึ้นมา ในระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 กำหนดให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ
ข้อ 8.3 c ต้องป้องกันไม่ให้มีการนำของเสียไปใช้งาน ให้คัดแยกไว้ เหมือนกับที่ทีมงานทำถุงมือและหน้ากากหนังให้พระเอกเพื่อจะได้รู้ว่าเค้าอยู่ไหน
ข้อ 8.5.2 การปฏิบัติการแก้ไข ต้องดำเนินการดังนี้
ทบทวนข้อบกพร่องที่เกิดขึ้น
ค้นหาสาเหตุของข้อบกพร่อง
ประเมินความจำเป็นในการแก้ไขหรือการป้องกันการเกิดซ้ำของข้อบกพร่องนั้น
ถ้าเห็นว่าจำเป็นต้องทำการแก้ไขและป้องกันให้หามาตรการแก้ไขและป้องกัน
ทำการบันทึกผลลัพธ์ของการแก้ไขและป้องกันนั้นไว้เป็นหลักฐาน
ทำการทบทวนผลของการแก้ไขและป้องกันการเกิดซ้ำที่ทำไปแล้วโดยรวมว่ามีประสิทธิผลและมีปัญหากลับมาเกิดใหม่หรือไม่
สรุปความหมายได้ว่า
เมื่อเกิดข้อบกพร่องในการผลิต จนเกิดผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดขึ้นมา ต้องมีการจัดการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อหยุดการเกิดข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์ในระหว่างการผลิตในขณะนั้น ซึ่งในทางปฏิบัติ ฝ่ายผลิตจะต้องรีบดำเนินการ และแจ้งปัญหาให้ฝ่ายควบคุมคุณภาพรับทราบ
2. ฝ่ายควบคุมคุณภาพเมื่อได้รับทราบแล้วจะต้องแยกและกักของเสียออกจากสายการผลิต และทำป้ายชี้บ่งสถานะไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกนำไปใช้ และก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีก และนำเสนอให้ผู้บริหารตัดสินใจดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งกับผลิตภัณฑ์ที่มีความบกพร่องเหล่านั้น
3. ฝ่ายควบคุมคุณภาพต้องตรวจสอบดูว่า ปัญหานั้นเป็นปัญหาที่รุนแรงหรือเกิดซ้ำ ๆ สร้างความเสียหายให้กับกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์หรือไม่ ถ้าใช่ ต้องคิดหามาตรการแก้ไขและป้องกันไม่ให้กลับมาเกิดซ้ำอีก ด้วยการออกใบคำร้องข้อให้ฝ่ายผลิตทำการแก้ไข
4. ฝ่ายผลิตต้องนำปัญหานั้นมาทำการวิเคราะห์ถึงสาเหตุ แล้วค้นหามาตรการแก้ไขและป้องกันการเกิดซ้ำ
5. นำมาตรการนั้นไปปฏิบัติแล้วตรวจสอบผลว่าได้ผลหรือไม่ ถ้าไม่ได้ผลจะต้องแก้ไขอย่างไรต่อไป เพื่อให้นั้นลุล่วงไป โดยมีฝ่ายควบคุมคุณภาพทำการติดตามผล
นี่เป็นตัวอย่างของขั้นตอนการดำเนินการแก้ไขและป้องกัน บางหน่วยงานอาจจะมีวิธีการที่แตกต่างไปจากนี้ได้
ทุกครั้งที่กล่าวถึงเรื่องการแก้ไขและป้องกัน ทำให้ต้องนึกถึงอริยสัจ 4 ประการ
o ทุกข์ คือ อาการที่เป็นปัญหา หรือ เรื่องที่เราต้องการจะแก้ไข
o สมุทัย คือ สาเหตุแห่งทุกข์ หรือ สาเหตุของปัญหา
o นิโรธ คือ แนวทางปฏิบัติให้พ้นทุกข์ หรือ การค้นหามาตรการตอบโต้เพื่อกำจัดสาเหตุของปัญหา
o มรรค คือ การปฏิบัติให้พ้นทุกข์ หรือ การนำมาตรการตอบโต้ไปปฏิบัติ ถ้าได้ผลดี เราจะปฏิบัติอย่างนั้นซ้ำ ๆ ต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหากลับมาเกิดใหม่ หรือ ถ้าไม่ได้ผล เราต้องกลับไปที่ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรคใหม่
วงจรเดมมิ่ง
o P = Plan คือขั้นตอนการค้นหาปัญหา สาเหตุ มาตรการตอบโต้ และวางแผนในการปฏิบัติการตอบโต้
o D = Do คือขั้นตอนทดลองปฏิบัติตามมาตรการตอบโต้
o C = Check คือขั้นตอนการตรวจสอบผลของมาตรการตอบโต้ เทียบกับเป้าหมายที่เราตั้งไว้
o A = Act คือขั้นตอนสรุปผล ถ้ามาตรการตอบโต้นั้นใช้ได้ผลให้ประกาศเป็นมาตรฐานการปฏิบัติ หรือ ถ้าไม่ได้ผลให้ Action กลับไปขั้นตอน P D C A ใหม่ เพื่อหาแนวทางแก้ไขให้ปัญหานั้นลุล่วงไปให้ได้
เปรียบเทียบ อริยสัจ 4 กับ วงจรเดมมิ่ง
o ทุกข์ สมุทัย นิโรธ อยู่ในขั้นตอน P ( Plan )
o มรรค อยู่ในขั้นตอน D (Do) , C (Check) , A (Act)
นอกจากนี้ยังมีหลายครั้งที่ผู้รับผิดชอบในการแก้ไข สับสนกับการระบุว่าอะไรเป็นปัญหา อะไรเป็นสาเหตุ รวมไปถึง อะไรเป็นวิธีการแก้ไข และอะไรเป็นวิธีการป้องกัน ให้ลองนึกถึงตัวอย่างนี้
ตารางที่ 1
ปัญหา |
สาเหตุ |
การแก้ไข |
การป้องกัน |
เป็นไข้หวัด |
ติดเชื้อ |
กินยาฆ่าเชื้อ |
ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ |
กับตารางที่ 2
ปัญหา |
สาเหตุ |
การแก้ไข |
การป้องกัน |
เป็นไข้หวัด |
ร่างกายอ่อนแอ |
ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ |
- |
กับตารางที่ 3
ปัญหา |
สาเหตุ |
การแก้ไข |
การป้องกัน |
ติดเชื้อ |
ร่างกายอ่อนแอ |
กินวิตามินบำรุงร่างกาย |
ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ |
กับตารางที่ 4
ปัญหา |
สาเหตุ |
การแก้ไข |
การป้องกัน |
ร่างกายอ่อนแอ |
ไม่ได้ออกกำลังกาย |
ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ |
กินวิตามินบำรุงร่างกาย |
ท่านคิดว่าตารางไหนที่เป็นการวิเคราะห์ปัญหา สาเหตุ แนวทางแก้ไขและแนวทางป้องกันที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง
ลองดูตารางที่ 2 เป็นไข้หวัดแต่กลับคิดว่าเกิดจากร่างกายอ่อนแอ ต้องไปออกกำลังกาย ถ้าป่วยนอนซมอยู่จะไปออกกำลังกายได้อย่างไร อาการป่วยก็หายช้า แถมยังทำให้นึกมาตรการป้องกันไม่ได้ด้วย
ลองดูตารางที่ 3 ปัญหาคิดว่าเกิดการติดเชื้อ แต่การติดเชื้อแท้จริงคือสาเหตุมากกว่า ดังนั้นพอระบุตัวปัญหาผิด เลยมีผลทำให้ระบุสาเหตุ การแก้ไข การป้องกันผิดไปด้วย ไปหลงกินยาบำรุง อาการเป็นไข้ก็เลยไม่หาย ไม่กินยาฆ่าเชื้อ จะหายไข้ได้อย่างไรกัน
ตารางที่ 1 และ 4 เป็นตารางที่ถูกต้อง ถ้าปัญหาอยู่ที่ตรงไหนให้แก้ไขที่ตรงนั้น บางครั้งการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาอยากให้ลองใช้
o M = Method วิธีการ
o M = Man คนที่ปฏิบัติงาน
o M = Method วิธีการปฏิบัติงาน
o M = Machine เครื่องจักร
o M = Measurement การวัด
o E = Environment สภาพแวดล้อมในขณะนั้น
ลองสังเกตว่าเกิดจากสาเหตุใดในตัวเลือกที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เช่น ถ้าเป็นที่ MAN ก็แก้ที่ MAN เป็นต้น
การแก้ไขปัญหาให้หายขาด ต้องเกาให้ถูกทีคัน
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที