จากตอนที่แล้ว เราได้กล่าวว่า JIT หมายถึง การปฏิบัติงานให้เป็นไปตาม Takt Time ของลูกค้า ดังนั้นถ้าเราไม่รู้จักหรือเข้าใจเกี่ยวกับ Takt Time อย่างถูกต้องแล้ว เราคงไม่สามารถนำ JIT ไปใช้ได้อย่างสัมฤทธิ์ผลแน่นอน
ตามที่รู้กันโดยทั่วไปว่า Takt Time (TT) สามารถหาได้จาก เวลาที่กำหนดต่อชิ้นงานที่ต้องการในเวลาที่กำหนด เช่น ในเวลา 400 นาที เราต้องการชิ้นงาน 400 ชิ้น (ในการใช้งานจริงจะเป็นตัวเลขเวลาทำงานทั้งเดือนของเราหารด้วย Forecast ประจำเดือนของลูกค้า) TT จะเท่ากับ 1 นาทีต่อชิ้น เป็นต้น ดังนั้นเราอาจกล่าวได้ว่า TT หมายถึง อัตราความเร็วในการจ่ายงานที่ลูกค้าต้องการนั้นเอง
ตอนนี้จากนิยามข้างต้น เราจะขยายผลการใช้ TT ไปยังระบบ Logistics ทั้งหมดในโรงงาน โดยเริ่มจากการรับข้อมูลจากลูกค้า ไปจนถึงการส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้า โดยสมมุติให้ ไลน์การผลิตนั้นผลิตชิ้นงานเพียง 1 แบบ และส่งชิ้นงานแบบเดียวในทุกรอบส่ง (ใช้รหัสสินค้าเพียงรหัสเดียว)
ตัวอย่าง กำหนดให้ระบบการทำงานเป็นแบบ Made to Order ฝ่ายการตลาดใช้เวลารับและส่งข้อมูลให้ฝ่ายวางแผน 1/2 วัน ฝ่ายวางแผนทำการวางแผนผลิตใช้เวลา 1/2 วัน ฝ่ายผลิตดำเนินการผลิตใช้เวลา 1 วัน ฝ่ายคลังสินค้าทำการเก็บสินค้าไว้ 1/2 วัน ฝ่ายจัดส่งดำเนินการเบิกสินค้ามาจัดเตรียมล่วงหน้า เริ่ม Load สินค้าขึ้นรถบรรทุก และออกไปถึงลูกค้าใช้เวลา 1/2 วัน
โดยสรุปแล้ว เราใช้เวลา 3 วัน ในการดำเนินการทั้งหมด นั้นหมายถึง ลูกค้าต้องสั่งเราล่วงหน้าถึง 3 วันจึงจะได้สินค้าตามเวลาที่ต้องการ (Lead time 3 วันนั้นเอง) ถ้าลูกค้าสั่งสินค้า 300 ชิ้น และให้ส่งสินค้า 1 รอบส่ง TT จะเป็นเท่าไหร่
โดยทั่วไปเราคงนำ 3 วัน ตั้งแล้วหารด้วย 300 นั้นคือ 0.01 วันต่อชิ้น ผู้อ่านคิดว่าคำตอบนี้ถูกต้องเสมอหรือไม่ ???????
คำตอบคือ ไม่ใช่ เรื่องนี้อธิบายได้จากตอนที่แล้ว เรากล่าวว่า JIT ถูกมองในแง่ของระบบ Logistics ถ้าเราพิจารณาในมุมมองของทั้งระบบ TT จะเท่ากับ 3 วันต่อสินค้า 1 รอบส่ง หรือ ที่เรารู้จักกันในชื่อของ Lead Time ดังนั้นเราจึงสามารถนิยาม TT ใหม่ ได้ว่า คือ Lead Time ที่ใช้ในการทำงานต่อ หนึ่ง หน่วยที่เราสนใจ เช่น ต่อชิ้นงาน, ต่อคัมบัง, ต่อบรรจุภัณฑ์ หรือต่อรอบส่ง เป็นต้น
กรณีที่ Lead Time เราเป็น 3 วัน แต่ลูกค้าสั่งล่วงหน้ามา 4 วัน นั้นหมายถึง เรามี มุดะเกิดขึ้น 1 วัน โดยหลัก JIT หรือทันเวลาพอดีแล้ว เราต้องปรับลดความสามารถในการทำงาน (หรือการลดคนลง อาจลดคนในฝ่ายผลิตเพื่อให้เวลาผลิตจาก 1 วัน เพิ่มเป็น 2 วัน) เพื่อให้เวลาในการทำงานทั้งระบบของเราเปลี่ยนเป็น 4 วัน ซึ่งนี้เป็นการลดต้นทุนอย่างหนึ่งที่เกิดจากการนำ JIT มาใช้อย่างสมบูรณ์
จากตัวอย่างเราพบว่า Lead Time ที่เกิดขึ้นจากระบบ Made To Order นั้นจะยาวนานเกินไป ซึ่งความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันสั้นลงมาก โดยเฉพาะกรณีที่มี Order เร่งด่วนเข้ามาในโรงงาน (แบบสั่งซื้อตอน 8.00 น ต้องส่งสินค้า 13.00 น เราจะมี TT 5 ชั่วโมงเท่านั้น) เพื่อแก้ปัญหานี้ เราจึงจำเป็นต้องมีสินค้าคงคลัง (Made To Stock) ขึ้นในระบบเพื่อตัดเวลาบางส่วนออกไป ทำให้การทำงานที่เหลือจะมีลำดับดังนี้ คือ ฝ่ายจัดส่งรับข้อมูลจากลูกค้าโดยตรง และเบิกสินค้าจากคลังเพื่อส่งให้ลูกค้า ใช้เวลา 1/2 วัน จากจุดนี้ในการตกลงเจรจาค้าขายกับทางลูกค้าจะต้องมีการกำหนด Lead Time ขั้นต่ำสุดที่ลูกค้าต้องการ และที่เราสามารถดำเนินการได้ทัน ซึ่งการกำหนดเวลานี้เราพิจารณาจากขั้นตอนการปฏิบัติงานและเวลามาตรฐานการปฏิบัติงาน (ได้จากการจับเวลาหน้างานจริง ในภาษา JIT คือ การทำงานตามมาตรฐานนั้นเอง) ซึ่งงานมาตรฐานสำหรับกระบวนการจัดเตรียมและจัดส่งสินค้าเป็นดังนี้
1. รับข้อมูลการส่งสินค้าจากทางลูกค้า 10-20 นาที
2. จัดเตรียมและคัดแยกเอกสารการส่งสินค้าตามรอบส่ง 10-20 นาที
3. นำรายการสินค้าที่ต้องส่งไปเบิกจากคลังสินค้า 10-30 นาที
4. นำมาจัดเตรียมที่ พื้นที่ ท่ารถบรรทุก 20-30 นาที
5. นำสินค้าที่จัดเตรียมขึ้นรถบรรทุก 10-20 นาที
6. เวลาที่รถบรรทุกใช้ส่งสินค้า ขึ้นกับระยะทาง
รวมเวลาตั้งแต่รับคำสั่งส่งสินค้าจนสินค้าขึ้นรถบรรทุกพร้อมส่งใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง ซึ่งเมื่อรวมกับเวลาบนถนนแล้วจะเป็น Lead Time ในการสั่งซื้อที่ตกลงกับทางลูกค้า ซึ่งก็คือ TT ของการจัดส่งนั้นเอง (ถ้าเราสามารถตกลงกับลูกค้าได้มากกว่านั้นเช่น 6 ชั่วโมง เราก็ควรจะปรับ เวลาของงานมาตรฐานของเราให้เท่ากับ TT โดยการลดคนทำงานลง ซึ่งเป็นตามหลักการของ JIT)
ข้อสังเกตจากขั้นตอนที่ 1 6 ถ้าเรานำมาเขียน แผนผังการไหลของข้อมูลและชิ้นงานเราจะพบลักษณะที่เป็น Cycle คือ จากลูกค้าถึงลูกค้า และอยู่ในส่วนของ Delivery ดังนั้นเราจึงเรียกการหมุนวนแบบนี้ว่า Delivery
มาถึงตรงนี้หลายคนคงเริ่มสงสัยว่า แล้วส่วนของการสั่งผลิตสินค้าจะดำเนินการอย่างไร ให้ลองสังเกตขั้นตอนที่ 3 ของการจัดเตรียมสินค้าจะมีการดึง (Pulling System) สินค้าเกิดขึ้น ซึ่งเราถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสั่งผลิตนั้นเอง สำหรับเวลาในการผลิตนั้นจะต้องผลิตชิ้นงานให้หมดก่อนที่จะเกิดการดึงสินค้าในรอบต่อไปขึ้น (ในกรณีนี้เราไม่มีการปรับเรียบการผลิต) เช่น เวลาจัดเตรียมสินค้า รอบที่ 1 เวลา 9.00 น. รอบที่ 2 เวลา 11.00 น. รอบที่ 3 เวลา 13.00 น. ดังนั้นเรามีเวลาผลิตเพื่อเติมเต็มคลังสินค้าเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น และ 2 ชั่วโมงนั้น ถ้าเรานำมาหารด้วยปริมาณสินค้าที่ส่งเราจะได้ TT ที่ไลน์การผลิตต้องผลิตชิ้นงานได้
เมื่อเราตรวจสอบกำลังการผลิตเราจะนำ Cycle Time max (CT max) มาเปรียบเทียบกับ TT ซึ่งเราต้องปรับปรุงให้ CT เท่ากับ TT เสมอ (ใช้ Yamazumi Chart ในการจัดทำ Line Balancing เพื่อลดคนลงให้เหมาะสมกับงาน) แต่ในความเป็นจริงรอบเวลาต่างๆ ไม่ได้มาอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องพื่งการมีสินค้าคงคลังบางส่วนและการสั่งผลิตแบบปรับเรียบ ซึ่งจะอธิบายวิธีการในตอนต่อๆไป
จากที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นตัวอย่างของ Line การผลิตที่ผลิตสินค้าเพียงแบบเดียว แล้วในกรณีที่มีสินค้า 3 แบบที่ CT ไม่เท่ากันเราจะหา TT อย่างไรนั้น
ในกรณีนี้เราจำเป็นต้องใช้ ค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของ TT แต่ละแบบออกมาแล้วเทียบกับ CT แต่ละตัวเพื่อตรวจสอบกำลังการผลิต
ส่วนในการทำ Line Balancing เรานำ Order ทั้งหมดมาหาค่า TT เฉลี่ย และใช้ CT สูงสุดในการปรับปรุง
สำหรับการผลิตในไลน์เราต้องใช้การปรับเรียบการผลิตเพื่อแปลงคำสั่งผลิตที่มาแบบไม่ราบเรียบให้ราบเรียบโดยอาศัย TT ของไลน์การผลิตมาเป็นตัวกำหนด ซึ่งจะอธิบายอย่างละเอียดในตอนต่อๆ ไป
โปรดติดตาม ตอนที่ 3 เริ่ม JIT จากการปรับปรุงฝ่ายจัดส่ง
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที