"กรี๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ตึก โครม !!!"
เสียงแรกของวันจากนาฬิกาปลุกตัวโปรดของผม ที่ผมปัดมันลงไปกองกับพื้น กระตุ้นทุกเซลล์ในร่างกายให้ตื่นขึ้นเพื่อยิ้มรับวันใหม่อีกครั้ง ผมได้นอนพักผ่อนหลายชั่วโมง หลังจากปล่อยให้ร่างกายทำงานหนักติดต่อกันมาหลายวัน วันนี้ผมมีนัดกับเพื่อนๆ ความจริงแล้วถ้าเป็นไปได้ผมอยากนอนหยอกล้อกับความขี้เกียจบนที่นอนอันอบอุ่นในวันว่างแบบนี้มากกว่า แต่เพื่อนผมนัดกันครบทุกคนแบบนี้ การที่ผมไม่ไป ก็ออกจะไม่ให้ความร่วมมือไปสักหน่อย ผมพยายามลุกขึ้นจากตรงนั้น แล้วเตรียมตัวไปยังที่นัดหมาย นัดหมายในวันนี้จุดประสงค์คือโยนทุกอย่างเกี่ยวกับงานไว้เบื้องหลังและให้ใบหน้าได้ยลโฉมทุกอณูแห่งความบันเทิงเสียบ้าง ทุกคนจึงได้ลงความเห็นว่าจะไปดูภาพยนตร์กัน
เที่ยงตรงของวันอาทิตย์ที่ท้องฟ้าสดใส พร้อมกับไอแดดอุ่นๆ ชายเจ็ดคนเดินทางมายังโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพมหานครเพื่อซื้อตั๋วเข้าชมภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ที่โด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก
ทุกคนจับจองที่นั่งและสายตาจับจ้องที่จอภาพแบบไม่กระพริบตาราวกับกลัวว่ามันจะหายไป ภาพยนตร์ยังคงถูกฉายไปเรื่อยๆ ความสนุกของมันทำให้ทุกคนไม่ขยับเขยื้อนไปไหนดั่งต้องมนต์
"อยากเป็นพระเอกแบบนั้นบ้าง มันช่างเท่ห์จริงๆ"
เพื่อนผมคนหนึ่งเปล่งเสียงออกมาดังพอที่คนนั่งข้างๆเค้าจะได้ยิน
ผมก็เคยคิด แต่ไม่ใช่แค่คิด เพราะ...ผมก็เคยแสดงแบบนั้นมาแล้ว!!!
ทั้งเสียง และคอมพิวเตอร์กราฟฟิกอันตระการตาประกอบกับคำพูดประโยคนั้นนั่นเองที่ทำให้ผมนึกถึง สิ่งๆนั้นอีกครั้ง...
หนึ่งปีก่อน ...
ผมมีโอกาสได้มาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น "นาโงย่า" (Nagoya City, 名古屋市) ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในจังหวัด "ไอจิ" (Aichi Prefecture, 愛知県 Aichi-ken) ช่วงเวลานั้นเองที่ทั่วโลกให้ความสนใจกับมหกรรมงานแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีครั้งยิ่งใหญ่และหลายประเทศจากทุกมุมโลกก็เข้าร่วมงานแสดงในครั้งนี้ด้วย Aichi Expo 2005
ลักษณะโดยทั่วไปของงานจะเป็นการแสดงเทคโนโลยีที่แปลกตาหลอมรวมกับธรรมชาติเพื่อให้เข้ากับคอนเซปท์ของงานในครั้งนี้คือ Nature's Wisdom ราวกับจะประกาศให้ดาวเคราะห์กลมๆใบนี้รับรู้ว่า มนุษยชาติจะเดินก้าวไปบนบันไดวิทยาศาสตร์ด้วยเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ
ห้องนั้นมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก กำแพงและเพดานเป็นสีดำทำให้มองดูลึกลับยิ่งนัก ทั้งสองด้านของกำแพงห้องมีตู้คล้ายกับตู้ฝากเงินของธนาคารเรียงอยู่ด้านละสามเครื่อง ตู้นี้ไม่ได้มีไว้ฝากเงินธนาคารหากแต่เป็นการฝาก ใบหน้า ของเราเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ผมได้แต่คิดว่าเขาคงจะเก็บข้อมูลของผู้เยี่ยมชมไว้เป็นสถิติ ผมก้าวขึ้นไปบนบันไดที่วางตรงหน้าตู้นั้น ที่ตู้มีช่องรูปวงรีซึ่งขนาดของมันใหญ่พอจะให้ผมยื่นศีรษะเข้าไปได้ หลังจากที่ผมยื่นศีรษะเข้าไป วงกลมวงเล็กๆที่เปรียบเสมือนกล้องที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับแสงที่สแกนผ่านหน้าของผมทำให้ผมรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ไม่มีอะไรต้องวิตกเมื่อพนักงานควบคุมผู้มีใบหน้ายิ้มแย้มและคอยดูแลอยู่ตลอดบอกว่า ทุกอย่างเรียบร้อยและขอให้ทุกคนเตรียมตัวเข้าสู่ห้องถัดไป
สมาชิกสิบกว่าคนที่เข้ามาในรอบเดียวกับผมเดินเรียงหนึ่งผ่านประตูไปยังห้องถัดไปซึ่งขนาดไม่ได้ใหญ่ไปกว่าห้องที่แล้วทั้งยังสลัวและดูอึมครึมด้วย ภายในมีเบาะนุ่มๆเป็นแถวให้นั่งเรียงลงไปเป็นชั้นๆ กำแพงสีดำตรงหน้ามีผืนผ้าใบสีเทาขนาดใหญ่ติดอยู่บ่งบอกให้รู้ว่าห้องนี้ไม่ต่างอะไรจากโรงภาพยนตร์ขนาดย่อมเลย
ไม่นานนักแสงสว่างสีขาวก็ถูกฉาบลงบนผืนผ้าใบมันทำให้ผมคิดว่า เรามาดูภาพยนตร์กันถึงประเทศญี่ปุ่นเขียวหรือ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทุกคนเรียกมันว่า Grand Odyssey ถูกสร้างจากคอมพิวเตอร์กราฟฟิกทั้งหมด สวยงาม คมชัด ราวกับคนจริงๆมายืนอยู่ตรงหน้าก็ไม่ปาน เรื่องราวของภาพยนตร์เกี่ยวกับจักรวาล โลกมนุษย์ถูกทำลายเหลือก็แต่ยานอวกาศขนาดใหญ่ที่ล่องลอยเพื่อแสวงหาโลกใบใหม่ แล้วผมก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นตัวเองในชุดอวกาศทำหน้าเคร่งขรีมอยู่บนจอภาพตรงหน้า
ผมเป็นดาราแล้ว!!!
ผมรับบทเป็นทหารอวกาศในภาพยนตร์เรื่องนั้น และนี่เองคือคำตอบที่ถูกต้องของการสแกนหน้าก่อนเข้าชมภาพยนตร์ เครื่องสแกนก่อนหน้านี้มีไว้เพื่อสแกนหน้าของผู้เข้าชมทุกคนหลังจากนั้นก็ผ่านกระบวนการทางคอมพิวเตอร์เพื่อนำใบหน้ามาผสมผสานกับตัวละครทุกตัวที่ปรากฎในเรื่องนั้น จึงมักจะได้ยินเสียงฮือฮาและหัวเราะอยู่บ่อยๆเวลาที่มีใบหน้าของตนปรากฏในเรื่อง
เรื่องราวได้มาถึงจุดสิ้นสุดก็เมื่อมนุษย์ทุกคนในยานอวกาศทุกลำร่วมมือกันค้นพบโลกใหม่ได้สำเร็จและโห่ร้องแสดงความดีใจราวกับว่าพวกเขาได้เกิดใหม่อีกครั้ง ผืนผ้าใบถูกเลื่อนขึ้น กำแพงสีดำทั้งสองข้างที่ปิดกั้นห้องนี้ไว้ถูกเลื่อนออกอัตโนมัติเผยให้เห็นโรงภาพยนตร์แบบเดียวกันนี้อีกหลายโรงเรียงกันไปเป็นวงกลมราวกับโรงภาพยนตร์รูปโดนัท และนั่นก็ทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นว่า ทุกคนที่เข้าชมครั้งนี้ก็คือตัวละครทุกตัวที่ร่วมกันค้นหาสถานที่สงบสุขซึ่งขนานนามว่า "โลก"
ช่วงเวลาหลังจากที่ผมเข้าไปยังห้องสแกนหน้าถึงเวลาที่ภาพยนตร์ถูกฉาย กินเวลาไม่กี่นาทีหรือบางทีอาจจะเร็วกว่าต้มบะหมี่ด้วยซ้ำ แต่ด้วยเวลาเพียงเท่านั้น ชาวญี่ปุ่นที่นี่ก็เปลี่ยนคนไทยธรรมดาอย่างผมเป็นดาราภาพยนตร์อย่างง่ายดาย คนส่วนมากต่างก็รู้ว่าญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยี ผมก็เช่นกัน แต่ผมไม่เคยคิดว่าศักยภาพที่น่าชื่นชมของเขาจะมากมายถึงเพียงนี้
ทุกอย่างยังคงฝังอยู่ในส่วนลึกที่สุดของกล่องความทรงจำของผม ผมไม่เคยลืมมัน แม้กระทั่งเวลานี้ในขณะที่...
ตื่นๆๆๆ เพื่อน ตื่นได้แล้ว หนังสนุกแบบนี้หลับไปได้ยังไง เสียงนั้นปลุกให้เปลือกตาอนุญาตให้แสงผ่านเข้าสู่ดวงตาของผม
อ้าว นี่ผมหลับไปเหรอ
ใช่ ออกไปกันได้แล้วล่ะ หนังจบแล้ว
บรรยากาศในโรงภาพยนตร์ของเที่ยงวันนั้น ทำให้ผมต้องหวนนึกถึงภาพความทรงจำของญี่ปุ่นที่ยังคงติดตรึงอยู่ในใจแม้กระทั่งในความฝัน ถ้าใครได้เข้าไปชมภาพยนตร์เรื่องเดียวกับผมในวันนั้น คงเห็นชายหนุ่มเจ็ดคนเดินหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานออกมาจากโรงภาพยนตร์โดยที่สลัดความเครียดและทิ้งความเหน็ดเหนื่อยไว้เบื้องหลัง
สมัคร J-Columnist และ J-Reporter
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที