เปมิกา

ผู้เขียน : เปมิกา

อัพเดท: 12 มี.ค. 2007 11.03 น. บทความนี้มีผู้ชม: 17211 ครั้ง

ใครไม่เคยเจอความหนักอึ้งและความเดียวดายคงไม่เข้าใจ


รถไฟแห่งความหวังและน้ำใจจากคุณลุงแปลกหน้า

ดูเหมือนเวลามันช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า ในที่สุด รถไฟแห่งความหวังก็มา ฉันหลับหูหลับตาเดินขึ้นรถโดยไม่ได้ดูเลยว่า สถานีนี้เป็นสถานีสุดท้ายและสถานีแรกในเวลาเดียวกัน เขาต้องทำความสะอาดก่อนจะให้บริการในเที่ยวถัดไป จากนั้น เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ก็ได้เวลาไปจากที่นี่เสียที ครั้งนี้ปลายทางอยู่ที่ชินจูกุ           

รถไฟแล่นไปเรื่อยๆ แต่ความกังวลของฉันยังไม่หมดไป ฉันเหลียวไปดูสัมภาระของฉันทั้งสองใบ มันเป็นภาระสมชื่อมันจริงๆ  สองใบนี้มีน้ำหนักรวมกันเกิน 30 กิโลกรัม ฉันครุ่นคิดถึงวิธีการขนย้ายเพื่อนร่วมทางทั้งสองใบของฉัน แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าสถานีใหญ่ๆอย่างชินจูกุมันน่าจะมีลิฟท์โดยสารนะ ฉันจะได้ไม่ต้องแบกหามให้มันลำบากลำบน   

แต่เมื่อไปถึงชินจูกุ ฉันบอกกับตัวเองทันทีว่า ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้น ทันทีที่ฉันก้าวลงจากสกายไลเนอร์ ฉันสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่สุดแสนจะหนาวเหน็บในเมืองใหญ่  ลำพังเพียงเพราะอากาศที่เย็นจัดในช่วงกลางเดือนตุลาคมเพียงอย่างเดียว คงไม่อาจทำให้ฉันรู้สึกเช่นนี้ แต่เป็นเพราะความมืดและหนทางอีกยาวไกล มันทำให้ฉันหนาวจับจิตจับใจ ข้างนอกสถานีคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทุกๆที่เต็มไปด้วยพนักงานเงินเดือนและวัยรุ่น ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายเสียด้วย ฉันกัดฟันลากกระเป๋าสองใบผ่านกลุ่มคนไปด้วยใจที่ร้อนรน เมื่อไหร่จะถึงบ้านเสียทีนะ ฉันถามตัวเองด้วยคำถามนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ฉันมองหาลิฟท์โดยสารแต่ไม่เจอ เอาล่ะ ฉันไม่อยากเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว บันไดอยู่ข้างหน้านี่เอง ไม่ต้องใช้ลิฟท์แล้วกัน ว่าแล้วฉันก็ทั้งลากทั้งดึงกระเป๋าเจ้ากรรมทั้งสองใบขึ้นบันได 20 ขั้น แม้ฉันจะเข้าใจดีว่า การพูดคุยกับคนแปลกหน้าในต่างแดนโดยเฉพาะในเวลากลางคืนจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง แต่ฉันก็ยังแอบหวังว่าจะมีชายหนุ่มใจดีสักคนยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ขณะที่ฉันกำลังคิดอะไรเพลินๆอยุ่นั้น ไม่ทันได้ตั้งตัว ฉันก็ได้ยินเสียงที่หล่อที่สุดในโลก “ให้ผมช่วยไหมครับ” แต่เป็นเวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่น ฉันหันไปหาเจ้าของเสียงนั้น แม้จะผิดหวังเล็กน้อยที่พบว่าเขาเป็นคุณลุงแทนที่จะเป็นหนุ่มน้อยหน้าใสอย่างที่ฉันหวังไว้ แต่ฉันก็ดีใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่   จนในที่สุด ด้วยความช่วยเหลือของคุณลุงแสนดีคนนั้น ฉันก็พาตัวเองมาถึงชานชาลาเพื่อต่อรถไฟสายโอดะคิว โดยมีจุดหมายต่อไปอยู่ที่สถานีซากามิโอโนะ

หลังจากรออยู่นานสองนาน รถไฟของฉันก็มา ฉันก้าวขึ้นไปด้วยความระมัดระวัง ฉันค่อนข้างแปลกใจที่รถไฟยังแน่นอยู่ ทั้งที่ตอนนั้นเกือบจะห้าทุ่มแล้ว ฉันเลือกยืนตรงที่ใกล้ประตูเพื่อความสะดวก แต่ทุกครั้งทีรถไฟจอดก็จะมีผู้โดยสารขึ้นมาใหม่เสมอ ทำให้ฉันต้องขยับอยู่บ่อยๆเพื่อให้ทางแก่ผู้โดยสารท่านอื่นๆ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องลำบากใจ หากแต่เป็นผู้โดยสารที่ขึ้นมาเป็นผู้ชายเกือบทั้งหมด แถมส่วนใหญ่ก็เมาเสียด้วย ฉันทำใจดีสู้เสือ ยิ้มให้กับคนที่มองมา แต่นั้นมันยิ่งทำให้ฉันตกเป็นเป้าสายตาเข้าไปกันใหญ่ งั้นทำไม่รู้ไม่ชี้มองไปนอกหน้าต่างก็แล้วกัน ฉันทำสีหน้าเรียบเฉยแต่ภายในใจร้อนรนอยากให้ถึงบ้านใจจะขาด      ระหว่างทาง ฉันนั่งนับถอยหลังให้ถึงสถานีของฉันโดยเร็ว  เวลาผ่านไปอย่างยากเย็น ในที่สุดก็ถึงสถานีของฉันจนได้ ตอนนั้นนาฬิกาบอกเวลาอีก 5 นาทีเที่ยงคืน

บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที