ในช่วงปีที่ผ่านจนถึงปัจจุบัน ผู้ค้าเพชรไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือใหญ่ต่างต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจที่เรียกได้ว่าอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ ทำให้การค้าและการลงทุนชะลอตัวลง และแน่นอนว่ากระทบต่อการค้าเพชรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ บริษัทผู้ผลิตเพชรยักษ์ใหญ่อย่าง De Beers และ Alrosa ได้ออกมาเปิดเผยว่ายอดขายเพชรในช่วงเดือนมกราคม – สิงหาคม 2562 ลดลงมาก โดย De Beers มียอดขาย 295 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 39 ส่วน Alrosa มียอดขาย 2,160 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับปี 2561 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากอุปสงค์ต่อเพชรลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบมาจากการประท้วงในฮ่องกงที่ยืดเยื้อ ทำให้นักท่องเที่ยวลดลง ผู้นำเข้าลดการนำเข้าเพชรลง และการแข่งขันของเพชรสังเคราะห์ (lab-grown diamonds) ซึ่งผู้บริโภคหันมานิยมซื้อเพชร-สังเคราะห์* มากขึ้น รวมถึงรสนิยมของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งคู่แต่งงานที่ลดจำนวนลง ทำให้มีการซื้อเครื่องประดับเพชรเพื่อใช้ในงานแต่งงานลดลง และผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าแฟชั่นซึ่งมีราคาถูกกว่ามากขึ้น เหล่านี้จะยังคงเป็นปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดค้าเพชรโลกให้ซบเซาต่อไป
ดังนั้น ตลาดค้าเพชรโลกในปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัวลง สะท้อนให้เห็นจากสถิติของ Global Trade Atlas ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 มูลค่าการค้าเพชรโลกอยู่ที่ราว 106,754 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 12.70 โดยประเทศผู้ส่งออก 5 อันดับแรกคือ อินเดีย สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง เบลเยียม และอิสราเอล ตามลำดับ ส่วนไทยเป็นผู้ส่งออกในอันดับที่ 13 ซึ่งล้วนมีมูลค่าส่งออกลดลงทั้งสิ้น ทางด้านการนำเข้านั้น ประเทศผู้นำเข้าใน 5 อันดับแรกได้แก่ อินเดีย สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง เบลเยียม และจีน ตามลำดับ ส่วนไทยเป็นผู้นำเข้าในอันดับที่ 9 ซึ่งมูลค่านำเข้าของประเทศเหล่านี้ก็ล้วนหดตัวลงเช่นกัน
นอกจากผู้ประกอบการจะต้องติดตามปัจจัยที่อาจบั่นทอนการส่งออกเพชรแล้ว ยังต้องติดตามมาตรการต่างๆ จากประเทศคู่ค้าและผู้บริโภคสำคัญของโลกด้วยเพื่อจะได้ปรับตัวปรับกลยุทธ์ธุรกิจได้ทันท่วงที อาทิ สหรัฐอเมริกาได้ประกาศห้ามค้าเพชรก้อน/เพชรที่ผ่านการตัดจากเหมือง Marange ของประเทศซิมบับเว เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 เพราะมีหลักฐานปรากฎว่ามีการบังคับใช้แรงงานในเหมืองแห่งนี้ (สหรัฐอเมริกามีกฎหมายห้ามนำเข้าสินค้าที่มีการบังคับใช้แรงงาน) เป็นต้น
ข้อมูลอ้างอิง: 1. De Beers, Alrosa Sales Both Pacing $1B+ Behind Last Year (4 October, 2019)
2. US bans trade in rough diamonds from Zimbabwe (3 October, 2019)
*ข้อมูลเพิ่มเติม
1. ในปี 2561 CIBJO ได้จัดตั้งคณะทำงาน Laboratory- Grown Diamond Working Group เพื่อกำหนดหลักการทำงาน มาตรฐาน และคำนิยาม เพื่อให้ผู้บริโภคมีความรู้ความเข้าใจในการซื้อเพชร-สังเคราะห์ อันนำมาซึ่งการตัดสินใจซื้ออย่างมีเหตุผล 2. บริษัทเหมืองเพชรรายใหญ่ของโลกอย่าง De Beers เข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาด lab-grown diamonds ในปี 2561 ซึ่งกำหนดราคาเพชรต่อกะรัตที่แน่นอน ในขณะที่ราคาเพชรแท้ผันผวนตามปัจจัยต่างๆ 3. จำนวนเพชรสังเคราะห์ที่ออกมาในท้องตลาดจำนวนมาก ทำให้มีราคาต่ำกว่าเพชรแท้หลายเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่มีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงกัน ซึ่งมีผลกระทบกดดันราคาเพชรแท้เป็นอย่างมาก 4. จำนวนผู้ผลิตเพชรสังเคราะห์ที่เข้ามาแข่งขันในตลาดเพชรมากขึ้น ผลักดันให้ราคาเพชรสังเคราะห์ลดลงมาก โดยราคาลดลงถึงร้อยละ 20 สำหรับผู้ผลิตเพชรสังเคราะห์รายใหญ่ของโลกคือ อินเดีย และจีน 5. ในปัจจุบันมีคำกล่าวอ้างของผู้ผลิตเพชรสังเคราะห์ว่าเพชรสังเคราะห์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืน รวมถึงถูกต้องตามจริยธรรมมากกว่าเพชรที่ขุดจากเหมือง ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด เพราะยังไม่มีข้อมูลของการผลิตของทั้งสองแบบอย่างครบถ้วน ทั้งนี้ ทั้งเพชรสังเคราะห์และเพชรแท้ ต่างก็ต้องใช้พลังงานในการผลิตมหาศาล อย่างไรก็ดี เหมืองเพชรแท้ในปัจจุบันมักถูกควบคุมการผลิตอย่างเข้มงวดจากรัฐบาล และมีมาตรการ Kimberley Process ฉะนั้น คำกล่าวอ้างดังกล่าวข้างต้นจึงไม่เป็นความจริงนัก |
ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
10 ตุลาคม 2562
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที