สร

ผู้เขียน : สร

อัพเดท: 13 ก.พ. 2007 15.14 น. บทความนี้มีผู้ชม: 5438 ครั้ง

นับตั้งแต่ พระราชบัญญัติปฏิรูปการศึกษา พ.ศ. 2542 มีผลใช้บังคับเป็นต้นมา ผมเฝ้าติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอดด้วยความหวังที่อยากให้ระบบการศึกษาไทยดีขึ้นจากที่เป็นอยู่ เพื่อประเทศชาติของเราจะมีคนไทยที่มีคุณภาพจากปัจจุบันขึ้นมาบ้าง

เพราะไม่มีสิ่งใดสามารถพัฒนาศักยภาพของคนได้ดีกว่าการศึกษา


1

นับตั้งแต่ พระราชบัญญัติปฏิรูปการศึกษา พ.ศ. 2542 มีผลใช้บังคับเป็นต้นมา ผมเฝ้าติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอดด้วยความหวังที่อยากให้ระบบการศึกษาไทยดีขึ้นจากที่เป็นอยู่ เพื่อประเทศชาติของเราจะมีคนไทยที่มีคุณภาพจากปัจจุบันขึ้นมาบ้าง

 

เพราะไม่มีสิ่งใดสามารถพัฒนาศักยภาพของคนได้ดีกว่าการศึกษา 

 

แต่นั่นก็หมายความว่าระบบการศึกษาของเราจะต้องได้รับการปรับปรุงให้ดีและถูกต้องด้วย

 

โดยเฉพาะผมตั้งความหวังไว้กับรัฐบาลไทยรักไทยค่อนข้างสูงมาก เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศในช่วงแรกๆ และแต่งตั้งให้ ศ. น.พ. เกษม วัฒนชัย เข้าไปดูแลกระทรวงศึกษาธิการ แต่คุณหมอเกษม วัฒนชัย เข้าไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงนี้ได้เพียงไม่กี่เดือนก็เปิดหมวกอำลาออกไป  พ.ต.ท. ทักษิณ  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี  เข้ามารับหน้าที่แทนชั่วคราว  จากนั้นจึงให้นายสุวิทย์  คุณกิตติ  รับช่วงไปในตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ  ซึ่งดูเหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น  ไม่นานนักรัฐมนตรีกระทรวงนี้จึงเปลี่ยนอีกครั้งเป็นนายปองพล  อดิเรกสาร มาดูแลรับผิดชอบและต่อมาก็ต้องไปเอานักการตลาดที่อยู่ในแวดวงธุรกิจอย่าง นายอดิศัย  โพธารามิก  จากรัฐมนตรีกระทรวงพานิชย์มานั่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการแทน  ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้นเช่นกัน จนล่าสุด พ.ต.ท. ทักษิณ  ชินวัตร ก็โยนความรับชอบกระทรวงนี้ไปให้นายจาตุรณห์  ฉายแสง   เข้ามาดูแลแทนในหน้าที่รัฐมนตรี จนรัฐบาลของ พ.ต.ท. ทักษิณ  ชินวัตร  ถูกคณะปฏิรูปฯ ยึดอำนาจไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน  2549  ที่ผ่านมา

 

จริงๆ แล้ว กระทรวงศึกษาธิการ หรือในอดีตที่มีสื่อมวลชนบางสื่อเรียกว่ากระทรวงเต่าล้านปีนั้น ซึ่งอาจเป็นเพราะบุคลากรระดับสูงของกระ ทรวงนี้ซึ่งเป็นผู้ควบคุมกลไกการทำงานต่างๆ อยู่นั้นยังมีความคิด และปฏิบัติงานตามแนวเดิมที่เคยปฏิบัติกันมาเป็นเวลา นาน  ซึ่งสิ่งนี้นับเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดต่อการปรับปรุง  เปลี่ยนแปลง ที่เรียกว่า การปฏิรูปการศึกษา ของเราทั้งหมดก็ว่าได้ เรียกว่า หากเราจะปฏิรูปการศึกษา แต่คนที่มีหน้าที่ดูแลหรือที่เรียกว่านักการศึกษา บุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งครูบาอาจารย์บางคนไม่ปฏิรูปตัวเอง  การปฏิรูปการศึกษาจะได้ผลสัมฤทธิ์ได้อย่างไร เช่นเดียวกับการที่เราต้องการจะปฏิรูปการเมือง แต่นักการเมืองกลับไม่คิดปฏิรูปตนเอง  ก็ป่วยการที่การเมืองบ้านเราจะพัฒนาขึ้นไปสู่การเมืองที่ดีขึ้นได้

 

เชื่อว่าเลือกตั้งครั้งต่อไป ที่อาจจะมีขึ้นปลายปีนี้นั้น เชื่อว่านักการเมืองหน้าเดิมๆ นั่นแหละที่จะเข้าไปนั่งอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรอีก

 

เมื่อได้อ่านบทความคอลัมน์  หมายเหตุ ประเทศไทย  เรื่อง “โอ้พระเจ้า......การศึกษาไทย”  ของ  ลม  เปลี่ยนทิศ ใน นสพ. ไทยรัฐ และอ่านบทความชื่อ “อนิจจา.......การศึกษาไทย”  ใน นสพ. มติชน รายวัน ซึ่งเขียนโดยคุณธีรวิทย์  ภิญโญณัฐกานต์  เมื่อไม่นานมานี้ ทั้งสองท่านยกเรื่องผลการประเมินการศึกษาโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทั่วประเทศกว่า 30,000 โรง  โดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ที่ผลการประเมินออกมาต่ำกว่ามาตรฐานมากถึงกว่า 20,000 โรงเรียน  เรียกว่าประมาณ  2  ใน 3  ของโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาไทยทั่วประเทศมีมาตรฐานการเรียนการสอน ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ควรจะเป็น ซึ่งจำเป็นต้องปรับปรุงและดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

 

นับเป็นโจทย์ที่ท้าทายรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการท่านใหม่ในรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์  จุลานนท์เป็นอย่างยิ่ง

 

หากมาวิเคราะห์กันถึงสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้มาตรฐานการศึกษาของเราในปัจจุบันตกต่ำลงมากนั้น  หลายประเด็นผมเห็นด้วยกับที่คุณธีรวิทย์  ภิญโญณัฐกานต์  ว่าไว้ในบทความ “อนิจจา........การศึกษาไทย” ยกเว้นในประเด็นที่ว่า ครู –อาจารย์ ทำหน้าที่อย่างขาดกำลังใจ เพราะเงินเดือนน้อย  ค่าตอบแทนต่ำ หนี้สินเยอะ  ไม่มีสมาธิและจิตใจในการทำงาน

 

แต่ปัจจุบันมีครู-อาจารย์บางท่านไม่ค่อยสนใจการสอนเด็กนัก แต่จะใช้วิธีให้ ”ใบงาน” แก่เด็กแต่ไม่ค่อยได้ติดตามผลอย่างจริงจัง จนเด็กนักเรียนหลายโรงเรียนผลงานตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด โรงเรียนระดับจังหวัดบางจังหวัดที่เคยมีชื่อเสียงและผลงานดีเด่นในด้านการเรียน แต่ในระยะหลังมานี้ ผลการเรียนของนักเรียนแย่ลงติดต่อกันหลายปี ในขณะที่อาจารย์โรงเรียนเหล่านั้นทำผลงานทางวิชาการได้เป็นอาจารย์ระดับ 8 และระดับ 9 กันมากหน้าหลายตา

 

เรียกว่าครู-อาจารย์ต่างมีผลงานดี ได้ขยับซีกันเป็นทิวแถว แต่ผลการเรียนของนักเรียนกลับตกต่ำลง

 

เช่นเดียวกันกับการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรี  ปริญญาโทในสถาบันการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนหลายแห่งในปัจจุบันที่มีแต่ปริมาณแต่ด้อยคุณภาพมากหากเปรียบเทียบกับในอดีตและเปรียบเทียบกับสถาบันการศึกษาอีกหลายประเทศในโลก

 

กล่าวได้ว่าในปัจจุบัน ครู-อาจารย์มีรายได้ดีกว่าสมัยก่อนมากในขณะเดียวกันการเล่าเรียนของเด็ก และความประพฤติของเด็กนักเรียนกลับตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย   ความเป็นครูและความเป็นลูกศิษย์ก็แทบจะไม่มีความหมายต่อกันและกันดังในอดีตแล้ว

 

เรื่องต่างๆ เหล่านี้  หากผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบทั้งโดยตรง และโดยอ้อม ไม่ช่วยกันอย่างจริงจัง และแก้ปัญหาให้ตรงจุดแล้ว  อนาคตการศึกษาไทยเห็นทีจะตกต่ำลงเรื่อยๆ

 

นั่นก็หมายความว่าคุณภาพของคนในประเทศของเราย่อมด้อยลงด้วย

 

เมื่อคนไม่มีคุณภาพแล้ว จะพัฒนาประเทศอย่างไรก็พัฒนายาก เพราะคน คือ ทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในการพัฒนาประเทศ


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที