ลาพิส ลาซูลี (Lapis Lazuli) คือชื่อของอัญมณีทึบแสง เนื้อแน่น สีน้ำเงินเข้มสะดุดตาน่าหลงใหล มีค่าความแข็งในระดับ 5 – 5.5 ตามโมห์สสเกล เป็นอัญมณีซึ่งมีความสำคัญ และมีความผูกพันกับอารยธรรมความเชื่อของมนุษย์มานานหลายพันปี
ตกแต่งด้วยเพชร และลาพิส ลาซูลี กำไลข้อมือทำจากทองสีชมพู 18K จี้รูปดอกไม้ตกแต่งด้วยลาพิส ลาซูลี และเพชร
เครื่องประดับโดย: Piaget เครื่องประดับโดย: Chaumet
ลาพิส ลาซูลี เป็นการประสมคำของคำว่า ‘Lapis’ ในภาษาลาติน แปลว่า ก้อนหิน และคำว่า ‘Azula’ ในภาษาอารบิค แปลว่า สีน้ำเงิน มันเป็นอัญมณีที่มีความพิเศษและแตกต่างจากอัญมณีชนิดอื่น เนื่องจากในทางอัญมณีวิทยา ลาพิส ลาซูลี ถูกจำแนกเป็น “หิน” ไม่ใช่ “แร่” อย่างเช่นพลอยชนิดอื่นๆ ที่เรารู้จักและคุ้นเคยกัน
หินมีค่าสีน้ำเงินชนิดนี้ ถูกขุดพบครั้งแรกในประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อราว 6,000 ปีมาแล้ว โดยความนิยมในอัญมณีชนิดนี้ได้แผ่ขยายอาณาเขตไปอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรเมโสโปเตเมีย อียิปต์ จีน กรีก และโรมัน เป็นต้น
ลาพิส ลาซูลี กับความเชื่อ
ชาวอียิปต์โบราณมีความเชื่อว่า ลาพิส ลาซูลี เป็นอัญมณีของเทพเจ้า มันจึงมักถูกนำมาแกะสลักเป็นรูปเคารพของเทพเจ้าต่างๆ ซึ่งเป็นที่นับถือของชาวอียิปต์ รวมถึงถูกนำไปทำเป็นเครื่องราง เช่น แกะสลักเป็นรูปแมลงปีกแข็ง (Scarab) เป็นแมลงศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวไอยคุปต์ว่าด้วยเรื่องของการถือกำเนิดใหม่ อีกทั้งยังถูกนำไปประดับบนโลงพระศพ ตลอดจนทำเป็นข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อบรรจุในพีระมิดของฟาโรห์ผู้ล่วงลับ
เครื่องประดับรูปแมลงปีกแข็ง (Scarab) แกะสลักจากลาพิส ลาซูลี ของฟาโรห์ตุตันคาเมน
ภาพจาก: Pinterest
นอกจากวัตถุประสงค์ในเรื่องความเชื่อและความศรัทธาต่อเทพเจ้าแล้ว อัญมณีชนิดนี้ยังถูกใช้ประโยชน์เรื่องความงาม โดยหญิงชาวไอยคุปต์จะนำเอา ลาพิส ลาซูลี มาบดเป็นผงเพื่อใช้เติมแต่งให้ดวงตาคมโตอีกด้วย
เหล่าทหารกล้าแห่งจักรวรรดิโรมันมักจะพก ลาพิส ลาซูลี ไว้ติดตัวเสมอยามออกรบ ด้วยพวกเขาเชื่อว่าเจ้าอัญมณีสีน้ำเงินเข้มนี้ทำให้เกิดความกล้าหาญและฮึกเหิม ขณะที่ผู้คนแห่งนครบาบีโลนเชื่อว่ามันสามารถช่วยรักษาเยียวยาอาการโศกเศร้าเสียใจได้
ลาพิส ลาซูลี กับศิลปะ
นอกจากนี้ ลาพิส ลาซูลี ยังมีบทบาทและความสำคัญต่อวงการศิลปะของโลกอีกด้วย ประวัติศาสตร์ศิลป์ระบุว่า มีจิตรกรในยุคเรเนสซองส์จำนวนไม่น้อยเลือกใช้สีนำเงินซึ่งทำมาจาก ลาพิส ลาซูลี ในการสรรค์สร้างผลงานอันทรงคุณค่าของพวกเขา ตัวอย่างเช่น ภาพเขียนที่มีชื่อว่า “The Last Judgment” ผลงานของไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) ซึ่งเป็นจิตรกรรมฝาผนังภายในโบสถ์ซีสทีน (Sistine Chapel) ในนครวาติกัน และภาพวาดสีน้ำมันที่มีชื่อว่า “Starry Night” โดย Vincent van Gogh จิตรกรชาวดัตช์ เป็นต้น
“The Last Judgment” (1536 - 1541) โดยไมเคิลแองเจโล
ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในโบสถ์ซีสทีนในนครวาติกัน
ภาพจาก: https://www.michelangelo.org
ภาพวาดสีน้ำมัน “Starry Night” (1889) โดย Vincent van Gogh
ภาพจาก: พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Museum of Modern Art (MoMA) นิวยอร์ก
ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
มีนาคม 2562
--------------------------------------------------------------
ข้อมูลอ้างอิง:
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที