บทที่ 1 หักเขี้ยวพยัคฆ์
ค่ำคืนที่มืดมิดปราศจากแสงดาวที่สกาวสุกสดใส แต่ท้องฟ้าเบื้องบนกลับเจือจางด้วยสีแดงอ่อนๆ เสียงเหล่าทวิชาติจตุบาทต่างร่ำร้องกันระงม ส่งให้กลิ่นอายในค่ำคืนนี้ช่างดูวังเวงและน่ากลัวยิ่งนัก จันทรายามนี้โดนเมฆกลุ่มใหญ่บดบังอยู่ ทำให้ปราศจากแสงสว่างโดยสิ้นเชิง แต่กระนั้นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก็ยังคงหมอบซุ่มตัวอยู่หลังโขดหินก้อนใหญ่เพื่อรออะไรสักอย่างที่กำลังคืบคลานเข้ามา
กลุ่มคนสิบสองคนทุกผู้คนต่างถือหอกเป็นอาวุธ สวมเครื่องแบบนักบู๊ในชุดสีดำ คอยคุ้มกันคนผู้หนึ่งซึ่งอยู่กลางวงล้อม คนผู้นี้เป็นบุรุษหนุ่มอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปี หน้าตาหล่อเหลาผิวขาวนวลเนียนดังอิสตรี รูปกายสูงโปร่ง ร่างกายกำยำสมส่วน ถือว่าเป็นผู้ชายที่มีรูปกายเป็นที่หมายปองแก่สตรีทั่วไปอย่างแท้จริง
นักรบผู้หนึ่งหันกลับมากล่าวกับชายหนุ่มที่อยู่กลางวงล้อมว่า
นายน้อย ข้าพเจ้าว่าพวกเราควรที่จะรีบไปได้แล้ว หากแม้นล่าช้ากว่านี้จะไม่ทันการ
ชายหนุ่มไม่ตอบคำแต่กลับก้มหน้าลงมองอาวุธหอกในมืออยู่ชั่วครู่ ทุกสายตาของเหล่านักบู๊ที่คุ้มครองอยู่ก็กวาดตามองมายังหอกด้ามนี้เช่นกัน หอกด้ามนี้ยาวหกศอก บนตัวหอกสลักเป็นลวดลายดั่งเกล็ดมังกรทั่วทั้งด้าม ที่ปลายหอกติดด้วยพู่สีแดง ที่หัวหอกเป็นเหล็กกล้าที่มีแง่งเล็กๆอยู่หลายจุด ถือว่าเป็นหอกที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ นอกจากนี้ตัวหอกยังแฝงกลิ่นอายลี้ลับบางอย่างออกมา เป็นเหตุให้ทุกผู้คนให้ความสนใจกับหอกด้ามนี้
เฉียนลู่ ข้าพเจ้าต้องการกลับไปช่วยท่านพ่อ ชายหนุ่มกล่าวเสียงหนักแน่น
ไม่ได้นะขอรับนายน้อย หากกลับไปตอนนี้อาจจะไม่ได้กลับออกมาอีกเลย นักรบผู้นั้นกล่าว
ชายหนุ่มกัดฟันเสียงดังกล่าวด้วยความเคียดแค้นว่า
ฉู่อ๋อง ท่านอำมหิตเกินไปแล้ว ข้าพเจ้าขอสาบานบัญชีเลือดนี้พรรคเฉียนหนานต้องขอเอาคืนแน่นอน
นายน้อยจะอย่างไรเราก็ต้องรีบออกเดินทางแล้วนะขอรับ นักรบเฉียนลู่กระตุ้นเตือนอีกครั้ง
เฉียนลู่ ท่านนำเฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านรุดหน้าเบิกทางไปก่อนสามลี้ หากมีเหตุอันใดให้ส่งสัญญาณกลับมา พวกเราจะได้ไปช่วยเหลือได้ทันท่วงที ชายหนุ่มกล่าวอย่างรอบคอบ
เฉียนลู่แสยะยิ้มเล็กน้อย จากนั้นสลายรอยยิ้มรับคำแล้วจากไป
ชายหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่าเฉียนเกาซัน เป็นบุตรชายคนเล็กของหัวหน้าพรรคเฉียนหนาน นามเฉียนกุ้ยหนาน ฉายาหอกทลายฟ้า เฉียนเกาซันเป็นคนมีนิสัยเจ้าชู้กรุ้งกริ่ง ชมชอบคลุกคลีอยู่กับอิสตรี ไม่นิยมทำสงคราม เรื่องราวภายในพรรคก็ไม่สนใจดูแล ปล่อยให้บิดาและพี่ชายเป็นคนจัดการเรื่องราวทั้งหมด ผู้คนในพรรคต่างไม่นิยมชมชอบในตัวเฉียนเกาซันนัก แต่เฉียนเกาซันกลับเป็นอัจฉริยะในเชิงบู๊ ได้รับสืบทอดยอดวิชาจากบิดา และแตกฉานในด้านอักษรเป็นอย่างดี
ส่วนพรรคเฉียนหนาน เป็นพรรคที่อยู่ในความดูแลของท่านหรู่หนานอ๋อง* ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดอ๋องที่เรืองอำนาจอยู่ในยุคราชวงศ์ซีจิ้น ปีค.ศ. 299 เจี่ยฮองเฮา ได้รวบอำนาจการบริหารทั้งหมดของฮ่องเต้สุมาจง** มาไว้ในมือ จากนั้นก็วางแผนกำจัดอ๋องต่างๆออกไป โดยเริ่มจับมือกับฉู่อ๋องโค่นล้มอำนาจของหรู่หนานอ๋องก่อนเป็นรายแรก เพราะหรู่หนานอ๋องเป็นพระอาของฮ่องเต้และเป็นผู้ที่มีบุคคลรักใคร่เป็นจำนวนมาก เมื่อหรู่หนานอ๋องโดนโค่นลงแล้ว ฉู่อ๋องด้วยกลัวว่าจะโดนตอบโต้จากพรรคเฉียนหนานจึงลงมือกวาดล้างพรรคเฉียนหนานอย่างราบคาบ โดยการส่งหน่วยทหารอาชาขาว ซึ่งนำโดยแม่ทัพเตียวจิน เข้าทำการกวาดล้าง พรรคเฉียนหนานก็ต้านทานอย่างสุดกำลัง สุดท้ายไม่สามารถต้านทานไว้ได้ เฉียนกุ้ยหนานเห็นดังนั้นจึงออกคำสั่งแก่สิบสององครักษ์เหล็กให้คุ้มครองเฉียนเกาซันจากไป พร้อมกับมอบอาวุธคู่กายคือหอกทลายฟ้าให้ลูกชายไปด้วย
เฉียนเกาซันเหม่อลอยไปยังเบื้องหน้า หวนนึกถึงตนเองไม่เอาใจใส่พรรคเฉียนหนาน ปล่อยเวลาไปกับการเที่ยวเล่นกับสตรี ทิ้งให้บิดาและพี่ชายคอยบริหารพรรคถ่ายเดียว รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นยังนึกถึงชะตากรรมของคนในครอบครัว คาดว่าคงไม่มีผู้ใดรอดชีวิตจากการกวาดล้างครั้งนี้เป็นแน่แท้
นายน้อย เฉียนลู่ส่งสัญญาณว่าปลอดภัยแล้วขอรับ องครักษ์เหล็กผู้หนึ่งส่งเสียงเตือน ทำให้เฉียนเกาซันตื่นจากภวังค์
เฉียนเกาซันมองดูที่ห่างไกลออกไปจากนั้นนำหน้าองครักษ์ที่เหลือเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดเคลื่อนที่รวดเร็วดุจผีพุ่งใต้ นักรบขบวนนี้ถือว่าเป็นมือดีที่สุดในพรรคเฉียนหนาน ตัวของเฉียนเกาซันเองก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่งเช่นกัน
ขณะที่ทั้งหมดห่างจากเฉียนลู่เพียงสามสิบวา นักรบผู้หนึ่งพลันกระซิบบอกเฉียนเกาซันว่า
นายน้อย ข้าพเจ้าคิดว่าเฉียนลู่อาจจะมีปัญหาขอรับ
เฉียนเกาซันยังไม่ทันตอบคำ พลันได้ยินเสียงร้องของเฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านดังมาจากที่หมาย เฉียนเกาซันหาได้ดูตกใจไม่ พลันหันมากล่าวกับนักรบผู้นั้นอย่างเยือกเย็นว่า
เฉียนหมิง ท่านพากำลังทั้งหมดอ้อมเขาลูกนี้ไปรอข้าที่วัดพุทธกายมุนี หากแม้นข้าพเจ้าไปช้ากว่าหนึ่งก้านธูป พวกท่านก็ไม่ต้องรอข้าพเจ้า เมื่อเหตุการณ์สงบลงให้ออกจากวัดไปหาอาชีพอื่นทำกินต่อไปเถอะ
แต่ว่านายน้อย หากท่านไปคนเดียวเกรงว่า... เฉียนหมิงกล่าวออกมาอย่างใจจริง เพราะทั้งนี้มันไม่มั่นใจต่อฝีมือของนายน้อยผู้นี้จริงๆ
ท่านไม่ต้องห่วงข้าพเจ้าหรอกเฉียนหมิง ท่านรับปากข้าพเจ้า ต่อไปนี้ขอให้ทุกคนพร่ำฝึกยุทธ์ต่อไปอย่าได้ย่อท้อ สักวันข้าพเจ้าจะกลับมาพาพวกท่านล้างแค้นให้แก่พรรคเฉียนหนานให้จงได้ เฉียนเกาซันกล่าวจบไม่รอฟังคำตอบ ก็พุ่งไปข้างหน้าด้วยท่าร่างที่รวดเร็วจนองครักษ์ทั้งหมดได้แต่เบิกตามอง นอกจากนั้นการแสดงท่าร่างเช่นนี้กลับทำให้องครักษ์ทั้งหมดต้องประเมินฝีมือของนายน้อยผู้นี้เสียใหม่
ฝ่ายเฉียนหมิงก็ออกคำสั่งต่อพวกพ้องตีวงล้อมออกไปจากเส้นทางเดิมอย่างรวดเร็ว ในขณะนั้นเองเฉียนเกาซันก็อยู่ห่างจากเฉียนลู่ไม่ถึงสิบวาแล้ว
ในใจเฉียนเกาซันกลับครุ่นคิดเหตุอันใดเฉียนลู่จึงกล้าที่จะหักหลังเพื่อนพ้อง ทั้งนี้เพราะเฉียนลู่เปรียบเสมือนแขนขวาของเฉียนกุ้ยหนานผู้เป็นบิดาของตน หากแม้นมีคนสามารถที่จะเกลี้ยกล่อมเฉียนลู่ได้ บุคคลนั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถอย่างสูง หรืออีกประการหนึ่งเฉียนลู่อาจจะมีความจำเป็นบางอย่างที่ต้องทำเช่นนี้ ในที่สุดเฉียนเกาซันก็มาถึงจุดหมายแล้ว
ภาพเบื้องหน้าที่เห็นถึงกับทำให้เฉียนเกาซันถึงกับสมองพองโต เฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นไม่ไหวติง แต่เฉียนลู่กลับยืนอย่างตระหง่านมองหน้าของเฉียนเกาซันอย่างดูถูก
เหตุอันใดนายน้อยท่านกลับมาเพียงคนเดียว พี่น้องคนอื่นๆไปที่ใดแล้ว เฉียนลู่กล่าวอย่างเหยียดหยาม แสดงว่ามันกำลังดูถูกฝีมือของนายน้อยผู้นี้
เฉียนเกาซันยิ้มเล็กน้อยจากนั้นกล่าวกับเฉียนลู่ว่า
พวกเราไม่เคยมีพี่น้องเยี่ยงเจ้า หากวันนี้ข้าพเจ้าไม่สามารถล้างแค้นแทนเฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านได้ ต่อไปนี้ไม่ขอใช้ชื่อว่าเฉียนเกาซันอีก..... พวกท่านที่หลบอยู่ด้านข้างไม่ทราบว่ามีชื่อเสียงเรียงนามอย่างไร เหตุใดไม่กล้าออกมาพบหน้าผู้คนรึ
ผู้คนสองคนทยอยเดินออกมาจากความมืด เป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี บุรุษนั้นอยู่ในวัยสี่สิบปีเศษหลังงองุ้ม ตาข้างขวาเสียไป หนวดเครารุงรัง ร่างกายบึกบึนไม่สูงใหญ่ ใช้ขวานคู่เป็นอาวุธ ส่วนสตรีผมยาวสยายถึงกลางหลังสวมใส่ชุดดังเช่นสตรีในวัง มีผ้าแพรสีแดงคล้องคออยู่ รูปร่างสูงโปร่งเมื่อมองแล้วช่างเย้ายวนจิตใจยิ่ง ดูไปอายุประมาณยี่สิบปี แต่เฉียนเกาซันทราบว่าสตรีนางนี้อย่างน้อยต้องมีอายุสามสิบถึงสามสิบห้าปี แต่ได้ฝึกฝีมือในแนวทางพิเศษจึงได้ดูอ่อนเยาว์ กว่าความเป็นจริงเช่นนี้
น้องเราช่างมีสายตาคมกล้านัก ตัวเราฉายาขวานบินคู่พิฆาต ส่วนน้องหญิงคนนี้มีฉายาว่านางงามแพรพิษ น้องเราคิดว่าราตรีนี้จะสามารถมีชีวิตรอดจากเงื้อมมือของเราหรือไม่ บุรุษหนุ่มผู้นั้นกล่าวอย่างนอบน้อม
ที่แท้เป็นท่านแม่ทัพหลิวจิ้น ฉายาขวานบินคู่พิฆาต กับ พระสนมเจียวจี ฉายานางงามแพรพิษนี่เอง พวกท่านมิใช่ทำงานให้กับเจี่ยฮองเฮาหรอกหรือ เหตุอันใดคืนนี้จึงได้มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของฉู่อ่องได้เล่า เขาถามทั้งสองด้วยความสงสัย
เฉียนลู่อดรนทนไม่ไหวปากกระชากเสียงถามว่า
เฉียนเกาซัน ท่านใช่ถามมากความไปหรือไม่ จะอย่างไรชีวิตท่านก็ไม่ยืนยาวแล้ว
เฉียนเกาซันหันหน้ามามองเฉียนลู่ด้วยอำมหิต
ต่อให้มีบุรุษสตรีคู่นี้ เฉียนลู่ท่านก็อย่าหวังว่าคืนนี้จะมีชีวิตรอดไปได้
บุรุษสตรีคู่นั้นรู้สึกเสียหน้า พลันลงมือในทันที หลิวจิ้นใช้ขวานคู่ออกมาก่อน พุ่งเข้าใส่เฉียนเกาซันด้วยความเร็วดุจดาวตก ขวานทั้งคู่ฟาดฟันจากด้านข้างซ้ายขวา หากแม้นเฉียนเกาซันไม่ถอยหลังไปคงต้องจบชีวิตใต้คมขวานคู่นี้แน่นอน นอกจากนั้นยังปรากฏผ้าแพรสีแดงพุ่งทะยานมาจากด้านล่างมุ่งใส่ข้อเท้าของเฉียนเกาซันไว้ เพื่อที่จะปิดทางหลบหนีของเขาไม่ได้ถอยหลังไปได้
เฉียนเกาซันเห็นเช่นนั้นกลับรวบรวมสมาธิ พุ่งตัวไปด้านหน้าเสมือนว่าเสนอตัวเข้าหาคมขวานทั้งคู่ หลิวจิ้นเห็นเช่นนั้นพลันยิ้มออกมาทราบว่าขวานคู่ของตนต้องปลิดชีพบุรุษหนุ่มผู้นี้ได้แน่นอน ทันใดนั้นเฉียนเกาซันกลับหายไปต่อหน้าต่อตาของหลิวจิ้น หลิวจิ้นตื่นตระหนกอย่างที่สุด ที่เบื้องบนกลับปรากฏหอกทิ่มแทงลงมาอย่างรวดเร็ว เวลานั้นหลิวจิ้นคิดว่าตนเองคงจบสิ้นแล้วเป็นแน่แท้ พลันปรากฏผ้าแพรพุ่งไปกระแทกหอกของเฉียนเกาซันออกห่างไป เมื่อหอกกับผ้าแพรปะทะกันเกิดเสียงปงดังสนั่นหวั่นไหว
พระสนมเจียวจี ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เพราะทั้งนี้ตนเองมีเปรียบที่เป็นฝ่ายตั้งรับ แถมตนเองมีการฝึกปรือมากกว่าฝ่ายตรงข้ามหลายปี มีความมั่นใจว่าการปะทะครั้งนี้ย่อมทำให้ฝ่ายตรงข้ามรับบาดเจ็บแน่นอน แต่เฉียนเกาซันกลับเพียงโดนกระแทกลอยห่างออกไปเท่านั้น
เฉียนเกาซันเมื่อโดนกระแทกออกมา เลือดลมปั่นปวน รู้สึกคับข้องใจยิ่งนัก เพราะทั้งนี้มันเองก็มั่นใจว่าท่าโจมตีเมื่อครู่ต้องปลิดชีพหลิวจิ้นได้เป็นแน่แท้ มิคาดพระสนมเจียวจีกลับยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เป็นเหตุให้ตนเองไม่สามารถปลิดชีพหลิวจิ้นได้ แถมยังโดนกระแทกได้รับบาดเจ็บอีกด้วย จากการประมือครั้งนี้เห็นได้ว่าพระสนมเจียวจีเป็นยอดฝีมือที่ซุกงำพลังฝีมือเอาไว้ เพียงไม่ทราบว่าเป็นคนของค่ายพรรคสำนักใด
ขณะที่เฉียนเกาซันกำลังสะกดเลือดลมที่พลุ่งพล่านนั้น เฉียนลู่พลันใช้หอกออกดุจสายฟ้า พุ่งตัวออกโถมแทงใส่เฉียนเกาซันอย่างรวดเร็ว เฉียนเกาซันฝืนใจยกหอกขึ้นหมายปัดป้องท่าจู่โจมของเฉียนลู่ แต่เรี่ยวแรงยังไม่ฟื้นคืน ทันใดนั้นเฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านพลันพุ่งมาจากท่านอนไล่ตามหลังของเฉียนลู่ในทันที หลิวจิ้นกับพระสนมเจียวจีตื่นตกใจสุดระงับ ไม่คาดคิดว่าคนตายสองคนจะฟื้นคืนชีพได้ ยามนั้นไม่ทันลงมือช่วยเหลือเฉียนลู่แต่อย่างใด
เฉียนลู่รู้สึกถึงการถูกคุกคามหันหลังกลับไปหมายตั้งรับ แต่ไม่ทันที่จะได้กระทำการใดหอกก็พุ่งเสียบทะลุหน้าอกของเฉียนลู่ขาดใจตายไป หอกนี้เป็นหอกที่พุ่งออกมาจากมือของเฉียนเกาซันเอง ท่าหอกพอทะลุร่างของเฉียนลู่ เฉียนลู่ก็ถูกตรึงอยู่กับที่ พลังลมปราณที่แฝงมากับหอกแผ่กระจายทั่วร่าง ทำให้เลือดภายในร่างกายทะลักออกจากทวารทั้งเจ็ด ใบหน้าเฉียนลู่บิดเบี้ยวขาดใจตายในทันที เฉียนเต๋อและเฉียนฟ่านคิดไม่ถึงว่านายน้อยผู้นี้จะมีฝีมือร้ายกาจถึงขั้นนี้ เมื่อนั้นเฉียนเกาซันก็เดินไปถอนหอกออกจากร่างไร้วิญญาณของเฉียนลู่แล้ว
ทั้งสองฝ่ายยืนประจัญหน้ากันหลิวจิ้นยังคงซึมเซาจากการที่พ่ายแพ้แก่เฉียนเกาซัน ส่วนพระสนมเจียวจีกลับแย้มยิ้มให้กับบุรุษหนุ่มที่มีหอกในมือทั้งสามคน
รอบนี้ถือว่าพวกท่านชนะก็ได้ แต่เรายังรับรองว่าพวกท่านไม่มีชีวิตรอดถึงเวลาเช้าของวันพรุ่งนี้เป็นแน่แท้ พระสนมเจียวจีกล่าวอย่างแย้มยิ้ม
อาศัยกำลังเพียงท่านสองคนคงไม่มีทางทำได้แน่นอน เฉียนเต๋อกล่าวอย่างมั่นใจ
แน่นอนแค่กำลังของเราสองคนคงทำไม่ได้ แต่ถ้าเป็นกำลังของทหารอาชาขาวสักหนึ่งร้อยนายเล่า พระสนมเจียวจีกล่าวพร้อมกับยกมือเป็นสัญญาณขึ้น
เฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านมองหน้ากัน สีหน้าปรากฏแววตื่นตระหนกสุดระงับ รอบข้างปรากฎทหารอาชาขาวขี่ม้าขาว ถือคบเพลิง รายล้อมรอบปิดทางหนีของทั้งสามคนเอาไว้ แต่เฉียนเกาซันกลับสีหน้าเยือกเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด มันไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจกลับคิดว่าคืนนี้ต้องเป็นคืนที่กำหนดชะตาชีวิตข้างหน้าของมันไว้อย่างแน่นอน
เฉียนเต๋อเฉียนฟ่าน พวกท่านตามข้าพเจ้ามาอย่าได้คลาดกัน จำไว้คืนนี้ถ้าจะรอดก็รอดทั้งสามคน ถ้าจะตายก็ตายด้วยกันทั้งหมด เฉียนเกาซันกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว
หลังจากบอกนักรบทั้งสองแล้ว เฉียนเกาซันมองหาจุดอ่อนของวงล้อม ตกลงใจว่าจะมุ่งสู่ทิศเหนือ เมื่อกำหนดเป้าหมายแล้ว เฉียนเกาซันกู่ร้องอย่างยาวนานโผพุ่งไปยังทิศเหนือของวงล้อมโดยมีนักรบทั้งสองตามติดอย่างกระชั้นชิด
เสียงขวับๆดังขึ้นรอบทิศทาง ลูกธนูทั้งหนึ่งร้อยดอกถูกยิงออกมามุ่งหน้าเข้าหาคนทั้งสาม เฉียนเต๋อและเฉียนฟ่านต่างพากันใช้หอกปัดป่ายต้านทานลูกธนูอย่างทุลักทุเล เฉียนเกาซันใช้ท่าร่างหลบหลีกห่าธนูที่ยิงมาใส่ตนอย่างรวดเร็ว ระยะทางระหว่างทหารอาชาขาวกับเฉียนเกาซันร่นใกล้เข้ามาทุกขณะ
เฉียนเกาซันใช้หอกพุ่งแทงออกจนเกิดเป็นม่านมายาหอกฝ่าเข้าไปยังแนวล้อมของทหารอาชาขาว หอกแฝงพลังลมปราณเปี่ยมล้น ม้าขาวรับรู้ได้ถึงพลังที่แผ่พุ่งมา ต่างพากันสะบัดให้ผู้ที่ขี่อยู่นั้นพลัดตกลงมาหลายคน เฉียนเกาซันเห็นดังนั้นจึงเร่งรุดที่จะฝ่าวงล้อมออกไปมากกว่าเดิม ทหารอาชาขาวหลายนายใช้ดาบสันใหญ่จู่โจมใส่เฉียนเกาซันอย่างรุนแรง เฉียนเกาซันกลับใช้หอกควงเป็นจักรผันต้านทานรับดาบใหญ่เหล่านั้นเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย เฉียนเต๋อและเฉียนฟ่านก็ใช้เพลงหอกของพรรคเฉียนหนานปัดป่านทิ่มแทงเหล่าทหารอาชาขาวจนแตกกระเจิง ไม่มีนักรบอาชาขาวคนใดที่จะต้านทานการบุกขอทั้งสามคนได้
ขณะที่ทั้งสามเข้าใจว่าตนเองสามารถฝ่าวงล้อมของทหารอาชาขาวได้แล้วนั้น พลันปรากฏพลังความเย็นสายหนึ่งก่อตัวขึ้นรอบบริเวณ ทำให้ทั้งสามคนรู้สึกว่าพื้นที่รอบตัวนั้นโดนสูบอากาศออกไปจนหมดสิ้น ทำให้ต้องหยุดชะงักชั่วคราว เฉียนเกาซันมีพลังลมปราณที่ลึกล้ำกว่าเฉียนเต๋อและเฉียนฟ่าน แต่กระนั้นเขาก็รู้สึกอึดอัดคับข้องใจต่อพลังความเย็นที่แผ่มากดดันพวกเขาเอาไว้จนเขาเองต้องกระอักโลหิตออกมาครึ่งคำ ส่วนเฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านถึงกับคุกเข่าลงกับที่กระอักโลหิตคำแล้วคำเล่าไม่สามารถที่จะยืนขึ้นได้ เพียงแค่พลังลมปราณความเย็นเท่านี้ก็ถึงกับทำให้ทั้งสามคนพ่ายแพ้ยับเยิน นับว่าเป็นพลังที่แตกตื่นสะท้านโลกมากแล้ว
เหล่าทหารอาชาขาวพากันหยุดการโจมตีสร้างความฉงนงงงวยให้กับเฉียนเกาซันเป็นอย่างมาก เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา ก็พบกับสตรีนางหนึ่งที่งามหยดย้อยดั่งนางฟ้าจำแลงแปลงกายมายังโลกมนุษย์ แต่อีกความรู้สึกหนึ่งก็บอกว่านี่เป็นความงามอย่างลี้ลับที่ไม่สามารถบ่งบอกบรรยายออกมาได้ หญิงงามนางนี้สวมใส่ชุดหญิงชาววัง ชุดสีฟ้าสดใส ผมยาวสลวยไม่ได้เกล้ามวยแต่อย่างใด ดวงตาที่ดำขลับและกลมใหญ่ ยิ่งเน้นขับใบหน้าของนางให้สวยสง่ายิ่งขึ้น ผิวพรรณของนางก็ราบเรียบนวลเนียนสุดเปรียบปาน สายตาที่จ้องมองมายังเฉียนเกาซันกลับแย้มยิ้มอย่างเลือดเย็น
เฉียนเกาซัน ท่านได้รับบาดเจ็บแล้ว นางกล่าวกับเฉียนเกาซันอย่างเบาๆ
แม่นางเป็นใคร เหตุใดจึงร่วมลงมือกลุ้มรุมพวกเรา เฉียนเกาซันพยายามรวบรวมพลังลมปราณให้ฟื้นคืน จึงกล่าววาจามากมายเพื่อถ่วงเวลาไว้
หญิงงามนางนั้นตอบอย่างยิ้มแย้มว่า
ท่านใช่ถามมากความหรือไม่ แต่ไม่เป็นไร จะอย่างไรท่านก็ต้องจบชีวิตที่นี่อยู่แล้ว เราจะบอกให้ก็ได้ เราคือเจี่ยฮองเฮา ท่านจงจำชื่อเราไว้ ยามลงไปในนรกจะได้บอกกับผีสางได้
ที่แท้เป็นท่าน ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะมีฝีมือร้ายกาจเยี่ยงนี้ ไม่ทราบว่าท่านเป็นคนของสำนักใด ฮ่องเต้ล่วงรู้หรือไม่ว่าท่านเป็นยอดฝีมือ เฉียนเกาซันเริ่มรวบรวมพลังลมปราณได้ ในขณะที่คำถามเหล่านี้เขาก็ต้องการคำตอบเช่นกัน
หากว่าเจี่ยฮองเฮาเป็นยอดฝีมือแล้วฮ่องเต้ทรงไม่ทราบความจริง นั่นคงเป็นปัญหาใหญ่มากแล้ว เพราะแสดงว่าเจี่ยฮองเฮาเมื่อเข้าวังเช่นนี้ย่อมมีความหมายเคลือบแฝง หากแม้นนางอยู่นอกวัง ยังคงมีความเป็นอิสระได้ท่องเที่ยวไปในยุทธภพ มิใช่มีความสุขมากกว่าหรอกหรือ เหตุใดต้องเข้าวังไปเพื่อปรนนิบัติฮ่องเต้ด้วย เช่นนี้จึงว่ามีความหมายเคลือบแฝง แล้วใครเป็นคนบงการอยู่เบื้องหลังเจี่ยฮองเฮา และฉู่อ๋องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจี่ยฮองเฮาอย่างไร สมองของเฉียนเกาซันมีคำถามไหลเข้ามามากมาย จนเขาเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูก
มีเรื่องมากหลายที่ท่านไม่สมควรรับรู้ และต่อไปก็ไม่ควรรู้ วันนี้เห็นว่าท่านมีรูปโฉมหล่อเหลาเอาการ เราจะให้ท่านได้ตายอย่างมีซากศพสมบูรณ์เถอะ นางกล่าววาจาอย่างเรียบๆ
ช้าก่อน เฉียนเกาซันแสร้งกล่าวอย่างยากลำบาก จากนั้นปรายตาบอกใบ้ต่อเฉียนเต๋อและเฉียนฟ่าน
เฉียนเกาซันเกร็งลมปราณทั่วร่างรวบรวมพลังทั้งหมดไว้ที่ฝ่ามือ จากนั้นถ่ายทอดพลังลงสู่ด้ามหอก เรื่องพิศดารพลันอุบัติขึ้น ตัวหอกจากที่มีลายเกล็ดมังกรบางๆกลับกลายคล้ายเรืองแสง เจี่ยฮองเฮามองเห็นหอกมีการเปลี่ยนแปลงจึงเกิดความสงสัยขึ้น ขณะเดียวกันเฉียนเกาซันก็แทงหอกออกดุจสายฟ้า ท่าแทงครั้งนี้ถึงกับทำให้เฉียนเกาซันงุนงงกับพลังของตนเอง นี่เป็นท่าแทงที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดที่มันเคยใช้ออก ทั้งความเร็ว แง่มุมและพลัง ทุกอย่างหลอมรวมจนเรียกได้ว่าอาจจะเป็นสุดยอดเพลงหอกที่เคยมี หอกมุ่งเข้าสู่คอหอยของเจี่ยฮองเฮา เหล่าทหารอาชาขาวเห็นดังนั้นต่างพากันตวาดด่าทอ หมายลงมือต่อคนทั้งสาม
เจี่ยฮองเฮาใช้ฝ่ามือปัดป่ายหอกออกจากวิถี แต่ความแรงและรวดเร็วของหอกนี้สุดที่นางจะปัดออกไปได้ หอกกับฝ่ามือปะทะกันเจี่ยฮองเฮาเบี่ยงหอกให้พ้นจุดสำคัญได้ แต่หอกก็เฉียดคอนางจนเป็นบาดแผลไป ส่วนเฉียนเกาซันเองก็ได้รับการตอบโต้จากฝ่ามือของนาง ฝ่ามือนี้บรรจุพลังความเย็นเต็มเปี่ยม ฝ่ามือของนางนี้เรียกว่า วิชาฝ่ามือบัวหิมะ พลังแล่นมาตามตัวหอกจู่โจมใส่เฉียนเกาซันอย่างฉับพลัน เฉียนเกาซันโดนพลังของนางไล่ทำลายอวัยวะตั้งแต่นิ้วมือ มือ ข้อมือ แขน ไล่มาตามอวัยวะต่าง เมื่อพลังฝ่ามือไหลผ่านที่ใด เฉียนเกาซันจะรู้สึกว่าอวัยวะส่วนนั้นถูกทำลายสูญสิ้น ดวงตาเฉียนเกาซันแสดงความหวาดกลัวออกมาเป็นครั้งแรก จากนั้น เลือดภายในกายเริ่มผลักดันออกมาทางทวารทั้งเจ็ด นี่เป็นอาการของผู้ที่สูญเสียกำลังภายในและเป็นวาระสุดท้ายของผู้ที่ถูกธาตุไฟเข้าแทรก
เฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านเห็นดังนั้น ไม่คิดถึงชีวิตตนเอง รีบเข้ามาหิ้วแขนทั้งสองข้างของเกาซันพุ่งเข้าชนเจี่ยฮองเฮา เพื่อเปิดช่องทางในการหลบหนี เจี่ยฮองเฮาเห็นดังนั้นกลับเบี่ยงตัวหลบ เปิดทางให้ทั้งสองคนหอบหิ้วเฉียนเกาซันหลบหนีไป สายตาของนางที่มองเฉียนเกาซันนั้น เป็นแววตาที่มองอย่างเวทนา นางคิดว่าจะอย่างไรนี่เป็นวาระสุดท้ายของเฉียนเกาซันแล้ว ควรที่จะปล่อยให้นักรบทั้งสองพาเขาไปทำศพอย่างสมเกียรติซักครา เป็นการให้ความเคารพต่อจอมยุทธ์ผู้ไม่กลัวตายผู้นี้
เหล่าทหารอาชาขาวเตรียมเคลื่อนพลที่จะไล่ติดตามทั้งสามคนไป เจี่ยฮองเฮากลับกล่าวว่า
พวกเจ้าไม่ต้องตามพวกมันไปหรอก เฉียนเกาซันจบสิ้นแล้ว งานของพวกเราสิ้นสุดแล้ว พวกเจ้ากลับไปรายงานต่อฉู่อ๋องเถิด เราจะกลับไปเฝ้าฮ่องเต้
หลิวจิ้น เจียวจี พวกเจ้าก็ตามเรากลับวังเถอะ มีเรื่องอีกมากมายต้องสะสาง นางกล่าวกับทั้งสองโดยไม่เหลียวหลังไปมอง จากนั้นพลิ้วกายจากไปอย่างรวดเร็ว บุคคลอื่นเมื่อเห็นนางจากไปแล้วจึงเคลื่อนทัพกลับตามเช่นกัน ไม่นานนักพื้นที่ที่เคยสู้รบกันเมื่อครู่ก็ทิ้งซากศพของเฉียนลู่ไว้เพียงซากเดียว นี่เป็นจุดจบของผู้ที่คิดทรยศต่อพวกพ้อง แม้ดินสำหรับคลุมหน้ายามที่ตายจากไปยังหามีไม่
นักรบพรรคเฉียนหนานทั้งสามคนต่างเร่งรุดไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย เฉียนเกาซันหมดสติไปนานกว่าสองชั่วยามแล้วจนบัดนี้ก็ยังไม่ฟื้นคืนสติกลับมา อาศัยเฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านสองคนต่างช่วยกันพยุงตัวเอาไว้ รอบกายของทั้งสามคนเป็นดงไม้สักขนาดใหญ่ ยามนี้ใกล้สว่างเต็มที ไม่ไกลออกไปนักมีเสียงน้ำตกกระทบกับสายน้ำเบื้องล่างดังแว่วเข้ามากระทบโสตประสาท นักรบทั้งสองพยายามไปให้ถึงน้ำตกเร็วที่สุดเพื่อที่จะได้ทำการรักษาอาการบาดเจ็บของนายน้อยผู้นี้ โดยที่ทั้งสองหารู้ไม่ว่าอาการของนายน้อยผู้นี้หมดหนทางที่จะเยียวยารักษาได้
ขณะที่ทั้งสองกำลังเข้าใกล้กับน้ำตกเข้าไปทุกขณะนั้น พลันรู้สึกถึงพลังลมปราณที่แผ่มาคุกคามพวกตนอีกครั้ง คราครั้งนี้พลังลมปราณที่แผ่ออกมานั้นหาใช่พลังความเย็นไม่ แต่กลับเป็นพลังปราณที่มีความร้อนดุจเปลวเพลิง ทั้งสองไม่ทราบว่าพลังลมปราณแผ่พุ่งมาจากทิศทางใด แต่พยายามเคลื่อนที่ให้เร็วยิ่งขึ้นเพื่อที่จะได้รอดพ้นจากยมฑูตที่แผ่พลังลมปราณมาครอบคลุมพวกเขาเอาไว้
ไม่นานนักทั้งสามคนก็มาถึงธารไหลของน้ำตกแห่งหนึ่ง เสียงน้ำตกดังกลบเสียงสรรพสิ่งรอบบริเวณ ยามนี้ใกล้ฟ้าสางเต็มที ท้องฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงจากดำสนิทกลับกลายเป็นสีส้มเรืองรอง ทำให้ปรากฏเห็นน้ำตกที่กระเซ็นเป็นฟูฝอยอย่างสวยงาม กระแสน้ำเบื้องล่างพัดวนเล็กน้อยก่อนที่จะไหลต่อไปยังสายธารแม่น้ำที่ไหลเรื่อยต่อไป แต่นักรบพรรคเฉียนหนานทั้งคู่ไหนเลยมีอารมณ์มาชมดู ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะวางเฉียนเกาซันลงเพื่อทำการตรวจดูอาการนั้น พลันได้ยินเสียงแค่นอย่างเย็นชาขึ้นที่เบื้องหลัง ทั้งคู่ตระหนกตกใจสุดขีด ผู้มาคือผู้ที่มาพร้อมกับพลังลมปราณที่ร้อนแรงดุจเปลวเพลิงนั่นเอง
เจี่ยฮองเฮาปล่อยพวกเจ้าไป แต่เราหาได้มีความคิดเช่นนั้นไม่ ชายลึกลับแหงนหน้ามองดูแสงตะวันยามเช้า กล่าวกับคนทั้งสามอย่างแผ่วเบา
พวกเจ้าอย่าได้โกรธแค้นเราเลย ท่านอ๋องสั่งไว้ จะอย่างไรก็ต้องเห็นว่าศัตรูตายกับมือก่อนจึงเลิกรา ดังนั้นเราจึงต้องตามล่าพวกเจ้าให้หมดสิ้น เขายังคงกล่าวอย่างแผ่วเบา
ชายผู้นี้อายุประมาณสามสิบปี แต่งกายเช่นบัณฑิตคงแก่เรียน แต่แววตาแข็งกร้าว ไว้หนวดเครางามยาวจากคางถึงหน้าอก คนรูปร่างสูงโปร่ง ดูแล้วทำให้เกิดความรู้สึกแผ่ซ่านจับใจ
เฉียนเต๋อกับเฉียนฟ่านหันหน้ามองกัน จากนั้นช่วยกันโยนนายน้อยผู้นี้ลงแม่น้ำไป พวกมันหวังว่ากระแสน้ำจะพัดพานายน้อยให้รอดจากห้วงวิกฤติเวลานี้ได้ ทั้งนี้เพราะพวกมันรู้ว่า หากแม้นไม่ทำเช่นนี้จะอย่างไรทั้งสามก็คงต้องจบชีวิตใต้เงื้อมมือชายผู้นี้แน่นอน ทั้งสองคิดว่า หากแม้นเทพยดามีจริงคงได้แต่หวังให้ท่านช่วยคุ้มครองนายน้อยผู้นี้ให้อยู่รอดปลอดภัยด้วยเถิด
* หรู่หนานอ๋องหรือ สุมาเหลี้ยง เป็นพระอาของฮ่องเต้สุมาจง เป็นที่รักใคร่ของปวงประชา แต่ต่อมาโดนเจี่ยฮองเฮาและฉู่อ๋อง สุมาเหว่ยกล่าวหาว่าเป็นกบฏ จึงถูกล้อมจับนำตัวมาประหารชีวิต
** ฮ่องเต้สุมาจง เป็นบุตรชายของ สุมาเอี๋ยน ผู้รวบรวมดินแดนสามก๊กให้กลายเป็นหนึ่งเดียวถือว่าเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซีจิ้น
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที