จากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจการเมืองโลก อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะทางประชากรศาสตร์ รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดโลกอยู่เสมอ ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องหมั่นแสวงหาโอกาสทางการค้าในตลาดที่หลากหลายทั้งเพื่อกระจายความเสี่ยงและขยายโอกาสทางการค้า “สหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย” หรือ EAEU ซึ่งมีรัสเซียเป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก ถือเป็นตลาดกลุ่มใหม่ที่น่าสนใจไม่น้อย ถึงแม้ในช่วงสองปีที่ผ่านมาประเทศเหล่านี้จะเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจซึ่งมีผลกระทบต่อการนำเข้าสินค้าอยู่บ้าง โดยเฉพาะสินค้าที่มีมูลค่าสูงอย่างอัญมณีและเครื่องประดับ แต่ขณะนี้กลุ่ม EAEU ได้เข้าสู่ภาวะฟื้นตัวแล้ว อีกทั้งยังมีแนวทางที่ชัดเจนในการเจรจาความร่วมมือทางการค้ากับไทย ผู้ประกอบการอัญมณีและเครื่องประดับไทยจึงไม่ควรมองข้ามโอกาสนี้
ทำความรู้จัก “สหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย”
“สหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย” (Eurasian Economic Union หรือ EAEU) ถือกำเนิดขึ้นจากการผลักดันของรัสเซียในช่วงกลางปี 2014 ประกอบไปด้วยสมาชิก 5 ประเทศที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างกันและมีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี ได้แก่ รัสเซีย คาซัคสถาน เบลารุส อาร์เมเนีย และคีร์กิซสถาน ภายใต้วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งเป็นตลาดร่วม (Common Market) ที่มีการเปิดเสรีทางการค้า การเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ เงินทุน และแรงงานระหว่างกันโดยเสรี รวมถึงความพยายามในการจัดตั้งให้เป็นสหภาพศุลกากร (Customs Union) เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าและขั้นตอนของระบบศุลกากรให้ลดน้อยลง ซึ่งในปัจจุบันทาง EAEU ได้พยายามที่จะพัฒนาข้อตกลงระหว่างประเทศสมาชิกไปสู่การเรียกเก็บภาษีนำเข้าในระดับเดียวกันสำหรับสินค้าจากประเทศที่ 3
การค้าอัญมณีและเครื่องประดับในตลาด EAEU
รัสเซียเป็นตลาดอัญมณีและเครื่องประดับที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในกลุ่มประเทศ EAEU เนื่องจากเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ที่สุดด้วยมีประชากรกว่าครึ่งของประเทศ (ราว 70 ล้านคน) ที่อยู่ในวัยทำงานและมีฐานะทางเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ จากรายงานของ Euromonitor ระบุว่า ในปี 2016 มีการจำหน่ายสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในตลาดรัสเซียประมาณ 73 ล้านชิ้น ในจำนวนนี้เป็นเครื่องประดับแท้ 20.11 ล้านชิ้น ด้วยยอดขาย 4,343.10 ล้านเหรียญสหรัฐ จากมูลค่าการค้ารวมในตลาดซึ่งอยู่ที่ 5,324.88 ล้านเหรียญสหรัฐ และจากสภาพเศรษฐกิจของรัสเซียที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ จึงคาดการณ์ว่ายอดขายเครื่องประดับโดยรวมในตลาดแห่งนี้จะสามารถปรับเพิ่มขึ้นไปแตะที่ระดับ 5,430 ล้านเหรียญสหรัฐในอีก 5 ปีข้างหน้า สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่จำหน่ายในตลาดรัสเซียนั้น บางส่วนเป็นสินค้าที่ผลิตขึ้นภายในประเทศโดยผู้ผลิตรายใหญ่ หากแต่เนื่องด้วยตลาดมีความหลากหลายของกลุ่มผู้บริโภคทั้งในเรื่องรสนิยมและระดับฐานะความเป็นอยู่ กอปรกับรูปแบบการดีไซน์และคุณภาพของสินค้าที่ผลิตขึ้นในประเทศก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์โดนใจผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง บรรดาผู้ค้าจึงจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าบางส่วนโดยเฉพาะเครื่องประดับแท้จากต่างประเทศ อาทิ จีน ไทย อิตาลี เป็นต้น โดยการนำเข้ามานี้มีวัตถุประสงค์ทั้งเพื่อการบริโภคในประเทศและส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศอื่นใน กลุ่ม EAEU ซึ่งมีวัฒนธรรมและรสนิยมในการบริโภคสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับคล้ายคลึงกัน
ที่มา: http://retaildesignblog.net/
|
จากข้อมูล Global Trade Atlas ในตารางที่ 2 จะเห็นได้ว่า ในปี 2014 ก่อนที่จะเกิดวิกฤติค่าเงินรูเบิ้ลในรัสเซีย การนำเข้าอัญมณีและเครื่องประดับจากตลาดโลกไปยังกลุ่มประเทศ EAEU มีมูลค่าเกือบ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีรัสเซียเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุด ก่อนที่จะปรับลดลงราวครึ่งหนึ่งในปี 2015 และเหลือเพียง 834.24 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2016 โดยมูลค่าการนำเข้าดังกล่าวนี้รวมถึงการนำเข้าอัญมณีและเครื่องประดับระหว่างกันในกลุ่มประเทศสมาชิก EAEU ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าเครื่องประดับแท้และเพชรเจียระไนจากรัสเซียเป็นหลัก
ในด้านการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยไปยังตลาด EAEU นั้น ในระหว่างปี 2012-2016 อัญมณีและเครื่องประดับของไทยติดอันดับ 1 ใน 5 ของสินค้าส่งออกสำคัญไปยังประเทศสมาชิกใน EAEU อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 3 ปีแรก มูลค่าการส่งออกเติบโตขึ้นโดยตลอดก่อนที่จะชะลอตัวลงเมื่อปี 2015-2016 เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจในรัสเซีย เครื่องประดับเงินเป็นสินค้าส่งออกสำคัญที่สุดด้วยสัดส่วนราวร้อยละ 70 ของมูลค่าการส่งออกรวม รองลงมาได้แก่ เครื่องประดับทอง เพชรเจียระไน พลอยสีเจียระไน และอัญมณีสังเคราะห์ ตามลำดับ ทั้งนี้ สินค้าส่งออกไปยังรัสเซีย คาซัคสถาน และ เบลารุส ส่วนใหญ่อยู่ในหมวดเครื่องประดับแท้ ขณะที่เพชรเจียระไนเป็นสินค้าหลักที่ส่งออกไปยังอาร์เมเนีย ส่วนมูลค่าการส่งออกไปยังคีร์กิซสถานยังคงไม่มีนัยสำคัญ
โอกาสการค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยในตลาด EAEU
ที่มา: http://eng.rjexpert.ru/
|
ปัจจุบันเศรษฐกิจของรัสเซียเริ่มฟื้นตัวขึ้นตามลำดับและส่งผลเชิงบวกต่อเนื่องไปยังระบบเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก EAEU ซึ่งมีความเชื่อมโยงระหว่างกันด้วย โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2017 รัสเซียได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา เตรียมความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพงานฟุตบอลโลกในปี 2018 และออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ซึ่งจากทิศทางการบริหารประเทศในเชิงสร้างสรรค์และเป็นมิตรกับนานาประเทศของรัฐบาลรัสเซียนี้ ย่อมทำให้การคาดการณ์ที่ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของรัสเซียในปี 2017 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.5-2 เป็นจริงได้ไม่ยาก ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงการที่รัสเซียจะกลับมายิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่ง กำลังซื้อของผู้บริโภคในตลาดจะฟื้นตัว ผู้คนจะสนใจบริโภคสินค้าที่หลากหลายขึ้น รวมถึงสินค้าที่มีมูลค่าสูงอย่างอัญมณีและเครื่องประดับด้วย จึงนับเป็นโอกาสที่เปิดกว้างสำหรับสินค้าอัญมณี และเครื่องประดับของไทยที่ได้รับการยอมรับในคุณภาพมาตรฐานและมีชื่อเสียงอยู่มากในตลาดกลุ่มประเทศนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ความพยายามในการจัดทำข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศ EAEU นับว่าเป็นปัจจัยเกื้อหนุนการค้าระหว่างกันอันสำคัญยิ่ง เนื่องด้วยการส่งสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยเข้าไปจำหน่ายยังประเทศสมาชิกในกลุ่มนี้ยังต้องเผชิญกับกำแพงภาษีที่สูงมาก อาทิ ภาษีนำเข้าเครื่องประดับแท้อยู่ระหว่างร้อยละ 16.4-17.0 และภาษีนำเข้าพลอยสีที่ร้อยละ 10-15 ไม่รวมภาษีอื่นๆ อีกมากมาย
อีกทั้ง ยังมีขั้นตอนพิธีการทางศุลกากรที่ค่อนข้างซับซ้อนและกินเวลานาน ดังนั้น การเร่งดำเนินการเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลง FTA ระหว่างกัน นอกจากจะสามารถช่วยขจัดและ/หรือลดทอนอุปสรรคทางการค้าได้แล้ว ยังสามารถขยายโอกาสการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยไปยังตลาด EAEU ได้เพิ่มมากขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย
ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที