เครื่องประดับชาย: สรรสร้างตัวตนใหม่
น้อยครั้งที่เราจะมองว่าเครื่องประดับเป็นสินค้าหลักสำหรับผู้ชาย แต่ยุคสมัยกำลังเปลี่ยนแปลงไป Angela Tufvesson จะมาอธิบายว่าเพราะเหตุใดเครื่องประดับชายจึงไม่จำกัดอยู่แค่นาฬิกา แหวนแต่งงาน และกระดุมข้อมืออีกต่อไป
ตลอดหลายยุคที่ผ่านมา เครื่องประดับชายไม่เคยได้เฉียดใกล้ความสำเร็จของเครื่องประดับหญิง ธุรกิจเครื่องประดับชายแทบไม่มีอะไรนอกจากเครื่องประดับหลักแค่สามประเภท กล่าวคือ แหวนแต่งงาน นาฬิกาข้อมือ และกระดุมข้อมือ
ในอดีตที่ผ่านมานั้น ถ้าไม่นับคนดังเพียงไม่กี่คนที่เปิดรับแนวคิดเรื่องการใส่เครื่องประดับ ผู้ชายทั่วไปมักมองว่าการใส่เครื่องประดับอื่นนอกจากเครื่องประดับสามประเภทนี้ดูเป็นผู้หญิงเกินไป ดูเยอะมากเกินไป หรือไม่ก็ไร้ความจำเป็น
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้เองที่มุมมองของผู้ชายต่อเครื่องประดับได้เปลี่ยนแปลงไป และทุกวันนี้ดูเหมือนว่าสังคมอยู่ท่ามกลางกระแสแฟชั่นผู้ชายที่ปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่บนแคตวอล์กไปจนถึงร้านกาแฟสุดฮิปใจกลางเมือง ห้องประชุมผู้บริหาร และใน Instagram
ผู้ชายทุกวันนี้ก้าวข้ามแนวคิดที่จำกัดเกี่ยวกับเครื่องประดับชาย และหันไปใส่สร้อยข้อมือ เข็มกลัดติดปกเสื้อ และแหวนใส่เล่นซึ่งเปลี่ยนแปลงแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นผู้ชาย ผู้ขายเครื่องประดับที่ส่งเสริมแนวคิดเหล่านี้จะมีโอกาสดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มนี้เข้ามาในร้านได้มากยิ่งขึ้น
ประวัติศาสตร์อันยาวนาน
ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผู้บริโภคและพนักงานขายบางรายคิด เครื่องประดับชายไม่ใช่เรื่องใหม่ ที่จริงแล้วเมื่อ 500 ปีก่อน เครื่องประดับที่สะดุดตาอย่างสร้อยคอ ต่างหู จี้ สายสร้อย และแหวนก็ได้รับความนิยมไม่แพ้ถุงเท้าชาย
Thomas Sabo
“ผู้ชายใส่เครื่องประดับมานานหลายศตวรรษแล้ว เพียงแต่ให้ความหมายแตกต่างออกไปเท่านั้นเอง” Dr Andrea Waling นักวิจัยจาก Australian Research Centre in Sex, Health and Society ที่ La Trobe University กล่าว “ผู้ชายในศตวรรษที่สิบหกใส่แหวนและสร้อยคอขนาดใหญ่ มันเป็นสัญลักษณ์แสดงอำนาจ ความมั่งคั่ง และเกียรติยศ ในวัฒนธรรมต่างๆ ตลอดหลายยุคหลายสมัย ผู้ชายใส่เครื่องประดับเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนแง่มุมต่างๆ เกี่ยวกับตนเอง”
ในช่วงหลังของศตวรรษที่ 20 สัญลักษณ์แทนอำนาจได้เปลี่ยนแปลงไป และเครื่องประดับที่ผู้ชายเป็นเจ้าของก็ลดลงเหลือเพียงนาฬิกา แหวนแต่งงาน และกระดุมข้อมือ แต่เมื่อเร่งเวลาเดินหน้าไป 50 ปี คุณจะได้พบว่าเครื่องประดับชายได้ฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง กฎเกณฑ์เก่าๆ เรื่องที่ว่าอะไรเหมาะและไม่เหมาะกับผู้ชายนั้นถูกแทนที่ด้วยแนวคิดที่ลื่นไหลไม่ตายตัว และปัจจุบันผู้ชายก็มีอิสระที่จะใส่สร้อยข้อมือ แหวน เข็มกลัด และกำไล ยิ่งมากก็ยิ่งดี
Maia Adams หัวหน้าฝ่ายวิจัยระดับโลกของ Adorn Insight ซึ่งเชี่ยวชาญด้านแนวโน้มในอุตสาหกรรมเครื่องประดับทั่วโลกกล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงปรากฏชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบนแคตวอล์ก “ในงานแฟชันวีคที่นิวยอร์กและลอนดอน เราได้เห็นนายแบบใส่เครื่องประดับบนแคตวอล์กของ Daks, Julien Macdonald และ Jeremy Scott” เธอกล่าว
“การแสดงแฟชั่นเครื่องแต่งกายชายประจำฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาวมีการใช้เครื่องประดับมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเข็มกลัดและกำไลฝังอัญมณีแบบวินเทจหรือที่เรียกว่า ‘Granny Chic’ แหวนค็อกเทลที่ใส่เต็มนิ้วในโชว์ของ Gucci สร้อยคอและสร้อยข้อมือตกแต่งด้วยชาร์ม และเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ มาบอกเล่าเรื่องราว กำไลหนังแบบสายคาด แหวนโลหะที่ดูโก้หรูและกำไลลงยาที่มีสีสันแบบมินิมัล ลูกปัดสไตล์เซิร์ฟ (Surf-Style Beads) ในโชว์ Saint Laurent ต่างหูยาวในโชว์ของ Louis Vuitton และ Alexander McQueen และชิ้นโปรดก็คือเครื่องประดับที่มีสายโยงกับเข็มกลัดประดับในโชว์ของ Dolce & Gabbana และ Alexander McQueen”
ทำตัวให้สมชาย
ในระดับมหภาคนั้น Waling อธิบายว่าความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในวงกว้างกำลังผลักดันให้ผู้ชายสำรวจตัวตนและรูปแบบการแสดงตัวตนที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
“มีกระแสความเคลื่อนไหวที่สำคัญมากมายเกิดขึ้นในปัจจุบัน” เธอกล่าว “เรามีกระแสสตรีนิยม LGBTIQ [เลสเบียน, เกย์, ไบเซ็กชวล, ทรานสเจนเดอร์, อินเตอร์เซ็กส์ และไม่ระบุ] รวมถึงสิทธิพลเมืองที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความยุติธรรมทางสังคม สิ่งเหล่านี้มีส่วนช่วยให้ผู้ชายหันมาสนใจร่างกายของตนเองมากขึ้น นอกจากนี้ ความคาดหวังในการเลี้ยงดูบุตรก็เปลี่ยนแปลงไปและผู้ชายก็ได้รับการสนับสนุนให้รับบทบาทในการเป็นผู้เลี้ยงดูมากยิ่งขึ้น
“เมื่อสิ่งต่างๆ เหล่านี้มารวมกันจึงส่งผลให้ผู้ชายเริ่มตระหนักว่าตนเองสามารถเป็นอิสระจากข้อจำกัดตามแบบแผนเดิมๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นชาย และเริ่มต้นสำรวจตัวตนด้วยแนวคิดที่ก้าวหน้ามากกว่าเดิม”
Ella Hudson บรรณาธิการอาวุโสฝ่ายเครื่องตกแต่งและรองเท้าของบริษัทผู้คาดการณ์แนวโน้มตลาด WGSN กล่าวว่า ทัศนคติที่ยืดหยุ่นของผู้บริโภครุ่นใหม่ช่วยขับเคลื่อนแนวโน้มนี้เช่นกัน
“เป็นที่ทราบกันดีว่าชาวมิลเลนเนียลและชาว Gen Z นั้นเชิดชูความเป็นปัจเจก จึงนำไปสู่การปฏิเสธการตีกรอบทางสังคม ซึ่งแต่เดิมนั้นแบ่งตามอายุ เชื้อชาติ และรวมถึงเพศสภาพด้วย” เธอกล่าว “เราได้เห็นกระแสความสนใจเครื่องประดับชายในความเปลี่ยนแปลงนี้ เพราะผู้ชายรู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้นที่จะตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับ ผู้ขายเครื่องประดับจำนวนมากที่เคยเน้นเครื่องประดับสำหรับผู้หญิงก็แตกแขนงสินค้าไปยังกลุ่มเครื่องประดับชาย และนักออกแบบเครื่องประดับชายรายใหม่ๆ ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญ”
Adams เห็นด้วยว่าการพูดคุยเรื่องความเท่าเทียมกันทางเพศทำให้ผู้ชายสามารถสำรวจตัวตนและแฟชั่นได้ง่ายยิ่งขึ้น “ในระดับสังคม มีการถกเถียงในประเด็นเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศมากมายจนทำให้เราเริ่มเห็นคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่คุ้นเคยกับเส้นแบ่งที่ยืดหยุ่นได้ในแง่ภาพลักษณ์ส่วนบุคคล และแนวคิดนี้ก็ขยายไปยังแวดวงแฟชั่นและเครื่องประดับด้วย” เธอกล่าว “การที่ประเด็นถกเถียงแบบสตรีนิยมได้เข้ามาสู่วัฒนธรรมกระแสหลักและแวดวงคนดังก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน เพราะเราได้ตระหนักว่าความต้องการที่มักมองกันว่าเป็นเรื่องของผู้หญิงอย่างการแต่งตัวและการใส่เครื่องประดับนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะผู้หญิงหรือเหล่าผู้นำแฟชั่นอีกต่อไป”
ย้อนกลับสู่จุดตั้งต้น
Jeff Lack สไตลิสต์จากซิดนีย์กล่าวว่า การยอมรับเครา... ไม่ผิดหรอก เครานั่นแหละ... เป็นสัญญาณบ่งบอกมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ชายต่อการดูแลตัวเอง “เมื่อ 10 ปีก่อน ทุกๆ คนตั้งแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไปจนถึงคนทำงานบริษัทต่างก็เริ่มยอมรับการไว้เครา เราก็เลยได้เห็นกระแสการไว้เครายาวเกิดขึ้น กระแสนี้ก็มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ดูเป็นโบฮีเมียนซึ่งเอื้อต่อการใส่เครื่องประดับชาย” เขากล่าว พร้อมเสริมว่า “เรายอมรับความเปลี่ยนแปลงในแง่การดูแลตัวเอง ซึ่งช่วยเปิดทางให้การแต่งตัวที่ผ่อนคลายกว่าเดิมเล็กน้อย แนวทางนี้ถูกนำมาปรับใช้โดยกลุ่มผู้ชายที่ตัดผมสั้นโดยไถด้านหลังและด้านข้างศีรษะให้เกรียน คนกลุ่มนี้ใส่สร้อยข้อมือซึ่งในสมัยก่อนจะมีแต่ผู้ชายผมยาวเท่านั้นที่ใส่”
การพูดคุยเรื่องเคราคงจะไม่สมบูรณ์หากเราไม่พูดถึงกลุ่มคนที่โดนค่อนแคะอย่างหนักอย่างกลุ่มฮิปสเตอร์ Mark Boldiston เจ้าของแบรนด์เครื่องประดับ Lord Coconut เชื่อว่า สิ่งที่มีส่วนผลักดันให้การใส่เครื่องประดับชายเข้าสู่กระแสหลักนั้นก็คือกระแสฮิปสเตอร์ รวมถึงการเติบโตของแนวสตีมพังค์ หรือรูปลักษณ์ที่ได้แรงบันดาลใจจากหนังไซไฟโดยผสมผสานแนวทางอาร์ตเดโคเข้ากับงานออกแบบเชิงอุตสาหกรรมและเครื่องจักรกล
“เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง ชาวฮิปสเตอร์ก็กลายเป็นกลุ่มที่สนใจเรื่องแฟชั่น” Boldiston กล่าว “แล้วความงามแบบสตีมพังค์ก็เริ่มได้รับความนิยมในกระแสหลักมากขึ้น ความเคลื่อนไหวทั้งสองส่วนนี้เกิดขึ้นพร้อมกัน โดยค่อนข้างแยกเป็นอิสระจากกันและส่งผลต่อผู้คนทั่วไปด้วย”
Peter Coombs ประธานของ Design Institute of Australia ระบุว่า ทัศนคติเรื่องชุดทำงานที่ผ่อนคลายมากขึ้นก็มีส่วนช่วยให้ผู้ชายแสดงตัวตนมากขึ้นไม่เพียงผ่านทางหนวดเคราและเสื้อผ้า แต่ยังรวมถึงเครื่องประดับที่ผู้ชายใส่ในชีวิตประจำวันด้วย
“ถ้าคุณลองนึกถึงที่ทำงานในทุกวันนี้ จะไม่มีกระเป๋าเอกสาร ชุดสูท และหมวกอีกต่อไป” เขากล่าว “ผู้คนมองว่าสามารถแต่งตัวสบายๆ ตามแฟชั่นได้มากขึ้น พวกเขาจึงแต่งตัวให้ดูฟู่ฟ่ากันได้มากยิ่งขึ้น”
Wailing เห็นด้วยว่าผู้ชายมีแรงจูงใจที่จะสนใจเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกมากยิ่งกว่าเดิม “ผู้ชายหันมาสนใจแฟชั่นและคำนึงถึงรูปร่างหน้าตาของตนเองมากขึ้น โดยได้รับคำแนะนำว่าตนเองควรจะออกกำลังกายและสนใจเรื่องรูปร่าง หน้าตา และหนวดเครา” เธอกล่าว “เครื่องประดับเป็นส่วนหนึ่งของรูปลักษณ์แบบใหม่สำหรับผู้ชาย”
กระแสที่ยืนยาว
เรื่องนี้อาจดูเหมือนกระแสที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่ Lack กล่าวว่าการที่สังคมหันมายอมรับเครื่องประดับชายหลากหลายรูปแบบมากขึ้นนั้นหมายความว่าแนวโน้มนี้จะยังคงอยู่ต่อไปอีกนาน “เรารู้สึกได้เลยว่ามันจะยังอยู่ต่อไปอีกพักใหญ่ กระแสนี้คงยังไม่เปลี่ยนไปในช่วงใกล้ๆ นี้” เขากล่าว “เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีและเป็นหนทางที่จะให้ผู้ชายได้แสดงความเป็นตัวของตัวเองผ่านการแต่งตัว เราคงไม่ปฏิเสธการแสดงออกในทางที่ดีแบบนี้หรอก เราจะเปิดรับมัน”
ส่วนเรื่องที่ว่าผู้ขายเครื่องประดับจะอาศัยประโยชน์จากกระแสนี้ได้มากแค่ไหนนั้น Lack กล่าวว่า ตลาดมีช่องว่างให้สร้างกำไรได้อีกมากสำหรับสินค้าที่ฮิตติดเทรนด์อย่างสร้อยข้อมือ “ผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่มีขายตามร้านค้าทั่วไป” เขากล่าวต่อ
“ถ้าคุณเข้าไปใน Instagram และลองดูเครื่องประดับชายที่ได้รับความนิยมสูงสุด คุณจะเห็นสร้อยข้อมือซึ่งที่จริงแล้วไม่มีวางขายในออสเตรเลีย แต่ถูกนำเข้ามาทางออนไลน์ ถ้าผู้ขายรายไหนมีนาฬิกาแฟชั่นที่ถูกถ่ายลง Instagram บ่อยๆ ผู้ขายก็ควรคำนึงถึงการเชื่อมโยงนาฬิกากลุ่มนั้นกับสร้อยข้อมือด้วย”
Hudson กล่าวว่า ความฟู่ฟ่าเตรียมเข้ามาแทนที่ความงามเรียบง่ายแบบมินิมัล และการจัดหาสินค้าที่ดึงดูดคนทั้งสองเพศอาจเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งช่วยลดความเสี่ยงในการเจาะตลาดผู้ชายซึ่งกำลังเติบโต
“เครื่องประดับสำหรับทุกเพศได้รับการออกแบบมาให้ผู้ที่ชื่นชอบเครื่องประดับนั้นไม่ว่าจะเป็นเพศใด” เธอกล่าว “ในอนาคต เราคาดว่าเครื่องประดับลักษณะนี้จะยังคงเป็นกระแสต่อเนื่อง และเปลี่ยนจากการเน้นความสวยงามเรียบง่ายตามแบบมินิมัลไปสู่ความหรูหราฟู่ฟ่ามากยิ่งขึ้น”
แม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่ Boldiston กล่าวว่า ผู้ชายยังต้องการได้รับความเห็นชอบจากเพื่อนฝูง และผู้ขายเครื่องประดับก็จำเป็นต้องอดทนระหว่างที่กระแสรูปลักษณ์ใหม่สำหรับผู้ชายค่อยๆ แพร่ขยายออกไป “เรามักเห็นผู้ชายเข้ามาซื้อแหวน และบอกได้เลยว่าเขาอยากใส่แหวนมาตลอดแต่ไม่รู้ว่าควรไปซื้อที่ไหนหรือใส่อะไรดี” เขากล่าว “ลูกค้ากลุ่มนี้จะซื้อแหวนกลับไปใส่ และถ้าเกิดเพื่อนๆ ไม่ได้ว่าหรือไม่ได้แซวอะไร พวกเขาก็จะรีบเข้าร้านมาซื้อแหวนไปอีกสี่ห้าวงเลย มันเกี่ยวข้องกับการยอมรับจากเพื่อนฝูงเหมือนกัน”
ก็อย่างที่ผู้ขายเครื่องประดับทุกคนทราบดี การยอมรับจากเพื่อนฝูงอาจเป็นอุปสรรคต่อการรับกระแสใหม่ๆ แต่ถ้าผู้ขายสามารถเอาชนะกลุ่มเพื่อนฝูงรุ่นราวคราวเดียวกันได้ ตลาดนี้ก็มีศักยภาพที่จะเติบโตไปอย่างไร้ขีดจำกัด
เครื่องประดับชายมาแรง
ชายชาวออสเตรเลียต้องการอะไร ต่อไปนี้เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแนวโน้มสำคัญๆ และเครื่องประดับชิ้นเด่นที่คาดกันว่าจะเป็นกระแสร้อนแรงในขณะนี้
“เราสังเกตเห็นความต้องการงานออกแบบที่เรียบง่ายโดยใช้ลายไม้และพื้นผิวแบบต่างๆ เสริมด้วยการชุบโลหะมีค่า อย่างเช่นทองสีกุหลาบและกันเมทัล (Gunmetal ซึ่งเป็นโลหะทองแดงผสมดีบุกและสังกะสี) รวมถึงการชุบโรเดียมตามแบบดั้งเดิม” – Julie-Anne Bosworth, Abrazi
“เราเชื่อว่าสร้อยข้อมือหนังกับเงินสเตอร์ลิงชุบโรเดียมมุกจะเป็นสินค้าขายดีที่สุดชิ้นหนึ่งในช่วงนี้ สร้อยแบบนี้มีทั้งสีดำและสีช็อคโกแลตซึ่งสามารถนำไปผสมผสานและใส่ร่วมกับสร้อยข้อมือลูกปัดแบบอื่นๆ ของเราได้” – Darren Roberts, Cudworth Enterprises
“สำหรับ Thomas Sabo เทรนด์หลักสำหรับเครื่องประดับชายในฤดูกาลนี้ก็คือสร้อยข้อมือลูกปัด การนำสร้อยหลายๆ เส้นมาใส่รวมกันที่ข้อมือข้างเดียวพร้อมกับนาฬิกา Rebel at Heart ช่วยสร้างรูปลักษณ์ที่โดดเด่น สีกรมท่าและพลอยตาเสือเป็นโทนสีที่มาแรงสำหรับผู้ชายในฤดูกาลนี้” – Phil Edwards, Duraflex Group Australia
“ลูกค้าเครื่องประดับชายของเราเป็นผู้ชายอายุ 30 ถึง 60 ปี ซึ่งชอบเครื่องประดับคลาสสิกตามแบบแผน มากกว่าที่จะเป็นตลาดเครื่องประดับสเตนเลสสตีลซึ่งได้รับความนิยมในคนอายุ 18 ถึง 25 ปี เราพบว่าแหวนตราและแหวนหัวเรียบสำหรับผู้ชายได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นเพราะสามารถนำมาสลักตัวย่อได้ เครื่องประดับที่มีตราสัญลักษณ์เป็นที่นิยมมากในกลุ่มลูกค้าชาย และลูกค้าผู้หญิงบางส่วนในปัจจุบัน” – David Paterson, Paterson Fine Jewellery
“หลังจากเพิ่งเปิดตัวในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กำไลสองสีแนวธรรมชาติ (Rustic) พุ่งทะยานกลายเป็นเครื่องประดับเหล็กสำหรับผู้ชายอันดับหนึ่งประจำฤดูกาลนี้ ความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์จากโทนสว่างตัดกับโทนมืดช่วยสร้างรูปลักษณ์ใหม่ พร้อมไปกับเกาะติดกระแสในระยะนี้ แล้วก็ยังมีขอเกี่ยวเป็นโลหะผิวปัดเงา (Brushed Finish) ด้วย” – Justin Meath, DPI Jewellery
------------------------------------------
ที่มา: “Men’s jewellery: Forging a new identity.” by Angela Tufvesson. JEWELLER. (November 2016: pp. 15-20).
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที
- ตอนที่ 1 : เครื่องประดับชาย: สรรสร้างตัวตนใหม่