ท่ามกลางความมืดในห้องขังที่อยู่อย่างเดียวดาย ไร้ซึ้งผู้คนที่จะคอยพูดคุยด้วย ไร้ซึ่งธรรมชาติแมกไม้ที่สามารถจะรับรสและกลิ่นจากผัสสะทางร่างกาย เขาอยู่อย่างเดียวดายในห้องขังของเรือนจำแห่งหนึ่ง เมื่ออยู่อย่างโดดเดี่ยวเขาจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้สมองว่าง และคลายจากความคิดที่ฟุ้งซ่าน ความคิดอย่างเดียวที่มีอยู่ ณ ขณะนี้ คือ ความหวัง แม้ว่าเขาจะถูกตัดสินจากข้อหาฆ่าคนตายจากความผิดที่ไม่ได้กระทำขึ้นและต้องจำคุกตลอดชีวิต จากการสืบพยานหลักฐานอย่างลวกๆของผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่ารักษาความยุติธรรมในชาติ
ความหวัง เป็นสิ่งเดียวในเวลานี้ที่ทำให้เขามีลมหายใจที่จะลุกขึ้นสู้ขึ้นมาได้
“ไอ้โง่! ความหวังไม่มีอยู่จริงสำหรับพวกเราหรอก” เพื่อนคนคุกได้พูดตะโกนใส่เมื่อเขาบอกว่าสิ่งที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในเวลานี้คือความหวัง
“คนเราต้องอยู่ด้วยความหวังซิ เพราะถ้าไม่มีความหวังเราก็เหมือนกับตายทั้งเป็น ทั้งๆที่เรายังมีลมหายใจอยู่” เขาบอกกับตัวเอง และพยายามจะให้กำลังใจเพื่อนที่ติดคุกตลอดชีวิตด้วยกันว่า ให้อยู่อย่างมีความหวังที่หลายคนมองดูเหมือนแสงริบหรี่ที่ปลายอุโมงค์ แถบจะน้อยคนนักที่จะมีโอกาสเห็นแสงริบหรี่นั้น ความคิดของเขาเหมือนตัวหนังสือที่ถูกปิดตายที่ไม่มีใครยอมเปิดอ่าน
เขาต้องพยายามให้คนคุกด้วยกันมองเห็นว่า ความหวังมันสำคัญขนาดไหนและมีโอกาสเป็นความจริงได้ถ้าค้นหาวิธีการเพื่อไปถึงความหวังนั้น
เสียงเพลงบรรเลงที่เขาร้องขอจากผู้คุมขังเพื่อขอเปิดให้เพื่อนคนคุกฟัง และหวังว่าเพลงนี้จะช่วยสร้างความหวังให้กับหลายๆคน ใช่แล้ว! เพลง ‘แสงสุดท้าย’ ของตูน Bodyslam ที่ทำให้ใครหลายคนเริ่มมีความหวังขึ้นอีกครั้ง คนคุกหลายคนถึงกับใช้เพลงนี้เป็นทางส่องชีวิตเพื่อให้มีเรี่ยวแรงที่เดินต่อไปได้ และเพลงนี้ได้ถูกเปิดในทุกๆเช้าเมื่อแสงตะวันเริ่มส่องแสง และเมื่อลับอัสดงในช่วงเวลาเย็น เมื่อเพลงนี้ดังขึ้น หลายคนได้มีโอกาสซึมซับความรู้สึกแห่งความหวังขึ้นมาทันที และหลายคนถึงกับร้องตามเพลงนี้ไปด้วยกัน
รอนแรมมาเนิ่นนานเพียงหนึ่งใจ
กับทางที่โรยเอาไว้ด้วยขวากหนาม
สุดแหลมคม ทิ่มแทง จนมันแทบจะทนไม่ไหว
ชีวิต ถ้าไม่ยากเย็นขนาดนั้น
สองมือจะมีเรี่ยวแรงขนาดไหน
แต่หัวใจของคน ยังยืนยันจะไม่ถอดใจ
ในค่ำคืนที่ฟ้านั้นไม่มีดาว อยู่ตรงนี้ ฉันยังคงก้าวไป
ยังคงมีรักแท้ เป็นแสงนำไปในคืนที่หลงทาง
วัน เวลาไม่เคยจะหยุดเดิน ไม่ว่าอะไรเราคงต้องเดินไปกับมัน
เก็บทุกความผิด พลั้งเป็นคำเตือนให้เราเข้าใจ
ชีวิตเริ่มต้นที่คำว่าฝ่าฟัน ขอเพียงใจเรา เท่านั้นไม่หวั่นไหว
บทชีวิตของเรา เราจะทำให้มีความหมาย
ในค่ำ คืนที่ฟ้านั้นไม่มีดาวอยู่ตรงนี้ ฉันยังคงก้าวไป
ยังคงมีรักแท้ นัยว่าแสงนำไปในคืนที่หลงทาง
กับที่ๆความฝันนั้นพร้อมเป็นเพื่อนตาย เส้นทางนี้ ฉันยังมีจุดหมาย
ตราบใดที่ปลายท้องฟ้ามีแสงรำไร จะไปจนถึงแสงสุดท้าย
ความเดียวดาย ในคืนเหน็บหนาว แหงนมองฟ้ายังนึกถึงวันเก่า
มันคงชินที่ทางยาวไกล กร่อนหัวใจ
ภาวนา กับความมืดมิด ขอให้รักยังคุ้มครองเราอยู่
เตือนคืนวันให้ใจดวงนี้ ไม่ยอมแพ้
ในค่ำคืนที่ฟ้าท้าทายใจคน อยู่ตรงนี้ และฉันยังคงก้าวไป
ยัง คงมีรักแท้ นัยว่าแสงนำไปในคืนที่หลงทาง
กับที่ๆความฝันนั้นพร้อมเป็น เพื่อนตาย เส้นทางนี้ ฉันยังมีจุดหมาย
ตราบใดที่ปลายท้องฟ้ามีแสงรำไร จะไปจนถึงแสงสุดท้าย
ไปยังแสงสุดท้าย ตราบใดที่ปลายท้องฟ้า ตราบ ใดที่ปลายท้องฟ้า . . .
เขาสามารถสร้างความหวังให้กับคนคุกได้รู้สึกว่า ตราบใดที่นัยน์ตาเรายังเห็นแสง นั่นหมายความว่ายังไม่เป็นแสงสุดท้ายที่ยังมีอยู่ในชีวิต เสียงเพลงในคุกช่วยบำบัดความทุกข์ ความโศกเศร้าให้กับหลายๆคน เสียงเพลงสามารถแปรเปลี่ยนพฤติกรรมของคน รวมทั้งสามารถเปลี่ยนความคิดของคนให้อยู่อย่างมีความหวัง อยู่อย่างไม่ไร้ค่า เพราะทุกช่วงเวลาที่ผ่านไปถ้าเขาเหล่านั้นทำตัวให้มีคุณค่า สักวันหนึ่งฟังเบื้องบนก็จะมองเห็นคุณค่า และมอบความหวังนั้นให้เป็นจริงได้ เปรียบดังสายฝนโปรยปรายให้ความชุ่มชื่นของหัวใจกลับมาอีกครั้ง แล้ววันนั้นก็จะมาถึง สิ่งนั้นเรียกว่า ‘พระราชทานอภัยโทษ’ จากองค์เหนือหัวของแผ่นดินชาวไทยทุกคน ที่เปรียบเหมือนพรจากฟ้าที่ช่วยมาต่อลมหายใจให้บรรดาคนคุกได้มีเรี่ยวแรงเดินต่อไป
“อย่าทำลายความหวังใคร เพราะอาจเป็นความหวังเดียวสุดท้ายที่เขาเหลืออยู่”
-พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช-
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที