khwanjai

ผู้เขียน : khwanjai

อัพเดท: 10 ม.ค. 2017 22.34 น. บทความนี้มีผู้ชม: 97321 ครั้ง

ในบรรดาหนังสือประเภท How to ที่ฉันได้อ่านมา ไม่สามารถเปรียบเทียบกับคุณค่าที่ได้รับจากอ่านหนังสือ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เลย ที่ผ่านมาฉันอยู่ในภาวะใกล้เกลือกินด่าง ไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองมี จนกระทั่งวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เป็นวันที่ปวงชนชาวไทยได้สูญเสีย กษัตริย์ผู้ที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยทั้งประเทศ
การเริ่มต้นศึกษาถึงเรื่องราว ชีวประวัติ และคำสั่งสอนของพระองค์ท่านอย่างจริงจัง ทำให้ฉันค้นพบว่า เราไม่จำเป็นต้องหา How to ที่ไหนเลย เพราะ How to ที่แท้จริงอยู่ในจิตใจของคนไทยทั้งประเทศอยู่แล้ว พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างให้กับคนไทยทุกด้านทั้งการ คิด พูด ทำ ....แต่ทำไมตัวฉันถึงไม่ทำ
คนโง่ คือ คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองบกพร่องตรงไหน เพราะถ้าไม่รู้ว่าเราบกพร่องตรงไหน เราก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
คนฉลาด คือ คนที่รู้ว่าตัวเองบกพร่องตรงไหน และพยายามแก้ไขข้อบกพร่องหรือพัฒนาปรับเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น
คนทุกคนเคยผ่านความโง่มาก่อนที่จะเป็นคนฉลาด ที่ผ่านมาฉันเคยโง่มาก่อน ไม่รู้ว่าคุณค่าที่แท้จริงที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงให้กับประชาชนมีคุณค่ามหาศาลมากมายขนาดไหน ศาสนาพุทธสอนไว้ว่า “ธรรมใดก็ไร้ค่า ถ้าไม่ลงมือทำ”
การเริ่มต้นเดินทางของฉันนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ใคร่ขออุทิศตนในการศึกษาเรื่องราว วิธีคิด การดำเนินชีวิตของพระองค์ท่าน ผ่านการจัดทำหนังสือส่วนตัวภายใต้ชื่อ “เรียงร้อยพันเรื่องราวรอยพระบาท” โดยมีเป้าหมายทำ ‘10 เล่ม เล่มละ 100 เรื่องราวรอยพระบาทที่พระองค์ทรงทำ’ โดยใช้ความเพียรที่พระองค์ท่านสอน และเป็นแบบอย่างให้ดูตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา อาจจะไม่รู้จุดจบที่แน่นอน แต่มีจุดเริ่มต้นที่ชัดเจน และทำทุกวันเพื่อถวายแด่องค์ราชันย์มหาราชของคนไทยทุกคน

Website เจ้าของผลงาน www.2b2train.com
Facebook: https://www.facebook.com/ebook4ookbee/
Storylog: https://storylog.co/khwanjai/book/581a5bfd9d526ab1781f27ba

ท่านใดต้องการติดต่อให้เป็นนักเขียนประจำคอลัมภ์ หรือลงวารสาร
ติดต่อได้ที่ email: linpootsm3@gmail.com หรือ Tel 0897333790 (หลิน)


ลู่วิ่งของตัวเอง

ในช่วงวันหยุดนี้เป็นอะไรที่ฉันได้มีโอกาสใช้ชีวิตอย่าคุ้มค่ามาก วันเสาร์ พาลูกไปหาหมอตามนัด เสร็จแล้วไปกินชาบู กลับมานอนไม่หลับอาจะเพราะกินปลาแซลมอนมากเกินไป อาหารเลยไม่ย่อย (เป็นบุปเฟ่ กะกินให้คุ้ม) วันอาทิตย์ไปดูหนังเรื่องพรจากฟ้า บัตรที่นั่ง 99 บาท ไปกันทั้ง 3 คน พ่อแม่ลูก โดยเฉพาะเรื่องที่ 2 นั่งร้องตลอดเรื่อง จนคนข้างๆที่ไปด้วยบอกว่า.

       “.เป็นอะไร.นั่งร้องไห้ตลอด คนข้างๆยังไม่ร้องเลย”

       “มันซึ้งอะ คนอื่นไม่เข้าใจหรอกเรื่องนี้มันมีความหมายมากขนาดไหน” ปื้ด! เสียงสั่งขี้มูกดังขึ้น เป็นระยะๆเพราะกับน้ำตาที่ไหลรินมาตลอดของเรื่องที่ 2 จากทั้งหมด 3 เรื่องที่ไปดูด้วยกัน

มาวันจันทร์ตื่นแต่ตี 3 เพื่อเตรียมไปร่วม ‘วิ่งตามรอยพ่อ’ ที่เทศบาลหาดใหญ่จัดขึ้นและเชิญชวนประชาชนมาร่วมวิ่ง คนวิ่งเยอะมากหลายพันคน พอไปถึงก็เริ่มดราม่ากับลูก.....

 “แม่อยากไปวิ่งด้วย ไปวิ่งกับแม่ดีกว่านะ” ฉันชวนลูกชายบอกให้มาวิ่งด้วยกัน

 “แม่ไม่ต้องไปหรอก ผมจะโทรหาครู จะไปวิ่งกับเพื่อนๆ” ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์หาครู และวิ่งไปหาเพื่อนๆโดยไม่สนใจแม่ที่กำลังวิ่งตาม

“ไปเลย ยังไม่ทันโตก็ทิ้งแม่แล้ว แม่เนี่ยอุตสาห์เป็นห่วงตื่นตั้งแต่ตีสาม รีดเสื้อให้ เตรียมหมวกให้ เตรียมร่มไปเผื่อในฝนตก หนักก็หนักอุตสาห์แบกมา ไปไหนก็ไปเลย! ถือว่าตัวเองเก่งแล้ว โตแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้แม่ช่วยดูแล อยากไปไหนก็ไปเลย ช่างแม่งมัน! (ช่างตัวกูเองนี้แหละ)” พร้อมกับน้ำตาร่วงริน พลางหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เผื่อไว้เวลาฝนตก ขึ้นมาซับน้ำตาตัวเอง

“แม่ครับผมขอโทษ แม่ยังรักผมอยู่มั้ย” ลูกชายพูดพร้อมกับคำถามที่กลัวแม่ไม่รัก

“รัก เลวแค่ไหนก็รัก ชั่วแค่ไหนก็รัก เนรคุณก็ยังรัก ยังไงคนเป็นแม่ก็รักอยู่แล้วไม่ว่าลูกจะเป็นแบบไหน” ฉันพูดด้วยความโมโหกับลูกชายที่ยืนดูตากระพริบ พร้อมกับน้ำตาที่เริ่มหลั่งริน

“พ่อครับ ฝากดูแลแม่ด้วยนะครับ ผมจะไปวิ่ง” ลูกชายยื่นมือไปเกาะแขนพ่อ เชิงอ้อนวอนว่าให้ดูแลแม่ด้วย พร้อมกับเดินไปอยู่กับเพื่อนและยืนดูแม่อยู่ห่างๆ

ฉันลุกขึ้นจากที่นั่งและยืนด้วยหัวใจที่ทระนง ไปวิ่งคนเดียวก็ได้ ว่าแล้วก็เดินไปซื้อบัตรเพื่อร่วมวิ่ง พลางนึกในใจว่าวันนี้จะวิ่งคนเดียว เดี๋ยวก็อาจจะเจอใครบางคนที่ไปวิ่งด้วย พลางคิดในใจว่าวันนี้ไม่เป็นคนสุดท้ายแน่ๆ เพราะปกติเป็นคนสุดท้ายหรือไม่ก็เกือบสุดท้ายทุกที เดินไปคิดไป....ไม่ต้องมีเด็กมาพูดให้รำคาญว่า เหนื่อยๆๆๆ ไม่ไหวแล้วครับแม่! ไม่ต้องเรียกรถพยาบาลมารับเด็กนี้ขึ้นรถไปก่อน เสร็จฉันคราวนี้ จะถ่ายรูปเด็กที่รั้งท้ายไว้เป็นที่ระลึกเลย

เสียงนกหวีดเป่าดังให้ทุกคนวิ่งออกจากตำแหน่งที่ตัวเองยืนอยู่ บางคนก็เริ่มวิ่งด้วยการเดิน บางคนก็เริ่มเดินบ้างวิ่งบาง แต่ฉันเริ่มต้นด้วยการวิ่งเบาๆไปเรื่อย กะว่าจะเป็นเหมือนเต่าที่ไม่ยอมหยุดเดินมีแต่เดินไปข้างหน้า ไม่ถอยหลัง แต่พอวิ่งไปสักพัก สังขารคงไม่ไหว หยุดเดินบ้างวิ่งบ้าง เป้าหมายคือ สี่แยกไฟแดงถัดไป นับรวมได้ประมาณ 10 ไฟแดง จะวิ่งเร็วๆหน่อยก็ตอนผ่านสี่แยกไฟแดงนี่แหละ วิ่งไปพลางยิ้มในใจ คิดธรรมะในใจ อนาคตคือคนข้างหน้าจะอยู่ที่เส้นชัยคือพ่อของลูก ส่วนตัวฉันคือปัจจุบันที่กำลังวิ่งอยู่ ส่วนลูกคืออดีตเพราะรั้งท้าย คิดแล้วก็ขำในใจ วิ่งไป เดินไปไม่เห็นใครที่รู้จัก อาจจะเป็นเพราะต่างคนต่างก้มหน้าวิ่งเลยไม่ได้ทักทายกัน

หลังจากกิโลเมตรที่ 2 เริ่มหมดแรง พละกำลังทั้งหมดใช้กับการเดินเสียเป็นส่วนใหญ่ พลางคิดในใจ นี่ขนาดไม่มีลูกเป็นตัวถ่วงในการวิ่งนะ คนเดียวยังไม่ค่อยไหวเลย พอถึงระยะประมาณ 1.5 กม.สุดท้าย เห็นหลังเด็กคุ้นๆ เหมือนจะเป็นลูกชายตัวเอง

“เฮ้อ! น้องภูนี่นา วิ่งนำหน้าไปได้ไง” ฉันอุทานในใจด้วยความตกใจเล็กน้อย

ฉันเริ่มวิ่ง และวิ่ง ด้วยความถึ่ของเท้าที่แรงและเร็วขึ้น เพื่อไปให้ถึงตัวเขาในระยะ 1 กม.ก่อนถึงเส้นขัย

“จ๊ะเอ๋!” ฉันแตะที่หลังเพื่อให้เขาตกใจ พอเห็นหน้าแม่เท่านั้น

“แม่ครับ เหนื่อย หมดแรงแล้ว” คำแรกที่พูด พอเห็นหน้าแม่ก็เหนื่อยขึ้นมาทันที

คราวนี้เป็นหน้าที่ของฉันที่ต้องลากไปให้ถึงเส้นชัย เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา

“เฮ้อ! มาก่อนคนอื่นได้ไง” คนที่อยู่ตรงจุดอนาคต คือพ่อของลูกพูดด้วยเสียงประหลาดใจ

“เพราะแม่ไม่เป็นตัวถ่วงไง เลยวิ่งนำก่อนแม่” ฉันตอบเชิงประชดเล็กน้อย

จากเรื่องนี้เลยสอนให้รู้ว่า พ่อแม่เป็นเพียงผู้ที่คอยส่งเสริมและให้กำลังใจเขาในการทำสิ่งต่างๆเพื่อให้เขาก้าวเดินและวิ่งไปบนลู่ทางของตัวเองเท่านั้น จริงๆแล้วพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ที่จะสร้างลู่วิ่งให้กับเขา ไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งการดูแลเขาไปตลอดชีวิต สักวันหนึ่งโลกนี้ก็เป็นของเขาเพียงคนเดียวที่กำกับมัน และพ่อแม่ก็เป็นเพียงผู้ดู และคอยให้กำลังใจอยู่ห่างๆเท่านั้นเอง

เมื่อกลับมาถึงบ้านก่อนล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลียทั้งแม่และลูก เสียงลูกชายก็พูดขึ้นว่า

“แม่ไม่โกรธผมแล้วใช่มั้ยครับ”

“.ใช่ครับ แม่ไม่โกรธแล้ว แต่ถึงแม่จะโกรธยังไง แม่ก็ยังรักลูกอยู่ตลอดเวลา แต่เรื่องนี้สอนให้แม่รู้ว่าลูกสามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว ทำอะไรเองได้แล้ว ลูกต้องฝึกทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะถ้าวันใดวันหนึ่งไม่มีแม่อยู่ ลูกก็ต้องยืนอยู่ได้ด้วยตัวของลูกเอง สิ่งที่แม่เคยพร่ำสอนลูก สักวันลูกคงจะเห็นค่าของมัน.......ไม่วันใดก็วันหนึ่ง.”a


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที