khwanjai

ผู้เขียน : khwanjai

อัพเดท: 10 ม.ค. 2017 22.34 น. บทความนี้มีผู้ชม: 97322 ครั้ง

ในบรรดาหนังสือประเภท How to ที่ฉันได้อ่านมา ไม่สามารถเปรียบเทียบกับคุณค่าที่ได้รับจากอ่านหนังสือ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เลย ที่ผ่านมาฉันอยู่ในภาวะใกล้เกลือกินด่าง ไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองมี จนกระทั่งวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เป็นวันที่ปวงชนชาวไทยได้สูญเสีย กษัตริย์ผู้ที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยทั้งประเทศ
การเริ่มต้นศึกษาถึงเรื่องราว ชีวประวัติ และคำสั่งสอนของพระองค์ท่านอย่างจริงจัง ทำให้ฉันค้นพบว่า เราไม่จำเป็นต้องหา How to ที่ไหนเลย เพราะ How to ที่แท้จริงอยู่ในจิตใจของคนไทยทั้งประเทศอยู่แล้ว พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างให้กับคนไทยทุกด้านทั้งการ คิด พูด ทำ ....แต่ทำไมตัวฉันถึงไม่ทำ
คนโง่ คือ คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองบกพร่องตรงไหน เพราะถ้าไม่รู้ว่าเราบกพร่องตรงไหน เราก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
คนฉลาด คือ คนที่รู้ว่าตัวเองบกพร่องตรงไหน และพยายามแก้ไขข้อบกพร่องหรือพัฒนาปรับเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น
คนทุกคนเคยผ่านความโง่มาก่อนที่จะเป็นคนฉลาด ที่ผ่านมาฉันเคยโง่มาก่อน ไม่รู้ว่าคุณค่าที่แท้จริงที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงให้กับประชาชนมีคุณค่ามหาศาลมากมายขนาดไหน ศาสนาพุทธสอนไว้ว่า “ธรรมใดก็ไร้ค่า ถ้าไม่ลงมือทำ”
การเริ่มต้นเดินทางของฉันนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ใคร่ขออุทิศตนในการศึกษาเรื่องราว วิธีคิด การดำเนินชีวิตของพระองค์ท่าน ผ่านการจัดทำหนังสือส่วนตัวภายใต้ชื่อ “เรียงร้อยพันเรื่องราวรอยพระบาท” โดยมีเป้าหมายทำ ‘10 เล่ม เล่มละ 100 เรื่องราวรอยพระบาทที่พระองค์ทรงทำ’ โดยใช้ความเพียรที่พระองค์ท่านสอน และเป็นแบบอย่างให้ดูตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา อาจจะไม่รู้จุดจบที่แน่นอน แต่มีจุดเริ่มต้นที่ชัดเจน และทำทุกวันเพื่อถวายแด่องค์ราชันย์มหาราชของคนไทยทุกคน

Website เจ้าของผลงาน www.2b2train.com
Facebook: https://www.facebook.com/ebook4ookbee/
Storylog: https://storylog.co/khwanjai/book/581a5bfd9d526ab1781f27ba

ท่านใดต้องการติดต่อให้เป็นนักเขียนประจำคอลัมภ์ หรือลงวารสาร
ติดต่อได้ที่ email: linpootsm3@gmail.com หรือ Tel 0897333790 (หลิน)


ต้นแบบแห่งการพัฒนา

         ประเทศไทยแต่เดิมได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุดติดอันดับ 1 ใน 7 ของโลก ส่วนประเทศเกาหลีได้เคยขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ยากจนติดอันดับ 6 ในประเทศที่ยากจนมากที่สุดในโลก ส่วนประเทศญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศชาติตกอยู่ในสภาวะล่มสลายมีความยากลำบากในการฟื้นฟูประเทศ ส่วนประเทศสิงค์โปร์ก็เป็นประเทศหนึ่งที่ไม่มีทรัพยากรใดๆที่สามารถนำมาพัฒนาประเทศได้ เลย แต่ทำไมปัจจุบันนี้เราจะพบว่าประเทศดังกล่าวได้ก้าวข้ามอุปสรรค และขึ้นมาเป็นประเทศชั้นนำในโลก
        สาเหตุส่วนหนึ่งที่ประเทศดังกล่าวสามารถขึ้นมานำหน้าประเทศอื่นในโลกได้ ก็เพราะประเทศนั้นให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า “การพัฒนา” การพัฒนาที่สำคัญที่สุดก็คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้คนในประเทศมีความรู้และนำมาสู่การพัฒนาประเทศ
        นอกจากนี้สาเหตุที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ประเทศมีการพัฒนา คือ ระบบการศึกษา ซึ่งระบบการศึกษาที่ดีมีคุณภาพ คือ ระบบการศึกษาที่สอนให้คนคิดเป็น ทำเป็น เพื่อเป็นฐานความรู้ที่นำมาสู่การคิดค้นนวัตกรรมต่างๆ จากการวิเคราะห์อันดับภาพรวมประเทศด้านการศึกษาในกลุ่มอาเซียน โดย WEF (World Economic Forum ) ในระยะ 8 ปีที่ผ่านมาจนถึงปี 2556 พบว่า อันดับรวมของกัมพูชาสูงขึ้นมา 23 อันดับ อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์สูงขึ้น 19 อันดับ มาเลเซียและไทยอันดับถดถอย 4 และ 5 อันดับ ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบการแข่งขันระดับประเทศเพื่อวัดความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมในปี 2012 พบว่าประเทศไทยมีคะแนนนวัตกรรมที่ระดับ 3.19 เป็นอันดับที่ 68 ของโลก ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศสิงคโปร์อยู่ที่อันดับ 8 และประเทศมาเลเซียอยู่ที่อันดับ 25 ซึ่งนับว่าประเทศไทยมีการให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านการพัฒนานวัตกรรรมน้อยมาก
        ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ประเทศไทยควรที่จะเร่งลงทุนเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในประเทศผ่านการปฏิรูปการศึกษา แต่คนไทยจะรอให้ผู้อื่นมาเปลี่ยนแปลงระบบหรือไม่ คำตอบคือ จะรออีกนานแค่ไหน??? ดังนั้น

 

“อย่าคิดเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ ถ้าเรายังไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง” 

       

        จุดเริ่มต้นของการพัฒนาไม่ได้มาจากใครที่ไหน มาจากตัวเองล้วนๆ คุณวิสูตร ผู้เขียนหนังสือขายดี เรื่อง บนท้องฟ้ารถไม่เคยติด ได้ถามคำถามหนึ่งว่า “ในแต่ละเดือน คุณลงทุนให้กับการพัฒนาความรู้ของตัวเองมากแค่ไหน” การพัฒนาความรู้ให้กับตัวเอง มีหลายหลากวิธี เช่น การอ่านหนังสือ การอบรมสัมมนา เป็นต้น คุณได้จัดสรรงบประมาณให้กับส่วนนี้แล้วหรือยัง? ถ้าคนมีการพัฒนา ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติที่เราอยู่ก็จะมีการพัฒนา
        ประเทศไทยนับว่าโชคดีที่เรามีกษัตริย์ที่เป็นนักพัฒนา ซึ่งได้ดำเนินพระราชกรณียกิจในการพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวไทยทั้งประเทศ ในปี 2549 องค์กรสหประชาชาติได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล “ความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์” ของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเฉลิมพระเกียรติในพระปรีชาสามารถและพระราชกรณียกิจในการพัฒนาคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีของพสกนิกรไทย ในหลวงทรงมีสิ่งประดิษฐ์คิดค้นที่เป็นนวัตกรรมมากมายเพื่อคนไทย โดยมีการจดทะเบียนสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร รวมทั้งสิ้น 8 ฉบับ ได้แก่ กังหันน้ำชัยพัฒนา เครื่องกลเติมอากาศแบบอัดอากาศและดูดน้ำ การใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล การใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์เป็นน้ำมันหล่อลื่นสำหรับเครื่องยนต์สองจังหวะ การทำฝนหลวง ภาชนะรองรับของเสียที่ขับออกจากร่างกาย อุปกรณ์ควบคุมการผลักดันของเหลว และโครงการแกล้งดิน และโครงการอื่นๆอีกนับพันโครงการ
        มีครั้งหนึ่งรัฐบาลจะผลักดันประเทศไทยให้กลายเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย ถัดจากประเทศฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้และไต้หวัน ซึ่งในหลวงได้กล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า การที่ประเทศจะกลายเป็นเสือตัวที่ 5 ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญเป็นหลัก สิ่งที่สำคัญคือ คือ การพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการ

กระทำ ซึ่งเป็นที่มาของหลักแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
 

ถ้าคนไทยไม่รู้ว่าจะพัฒนาตัวเองอย่างไร สิ่งหนึ่งที่เป็นทางลัดในการพัฒนาก็คือ

“จงทำดี อย่างที่พ่อทำ”

 

 


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที