ประเทศไทยแต่เดิมได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุดติดอันดับ 1 ใน 7 ของโลก ส่วนประเทศเกาหลีได้เคยขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ยากจนติดอันดับ 6 ในประเทศที่ยากจนมากที่สุดในโลก ส่วนประเทศญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศชาติตกอยู่ในสภาวะล่มสลายมีความยากลำบากในการฟื้นฟูประเทศ ส่วนประเทศสิงค์โปร์ก็เป็นประเทศหนึ่งที่ไม่มีทรัพยากรใดๆที่สามารถนำมาพัฒนาประเทศได้ เลย แต่ทำไมปัจจุบันนี้เราจะพบว่าประเทศดังกล่าวได้ก้าวข้ามอุปสรรค และขึ้นมาเป็นประเทศชั้นนำในโลก
สาเหตุส่วนหนึ่งที่ประเทศดังกล่าวสามารถขึ้นมานำหน้าประเทศอื่นในโลกได้ ก็เพราะประเทศนั้นให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า “การพัฒนา” การพัฒนาที่สำคัญที่สุดก็คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้คนในประเทศมีความรู้และนำมาสู่การพัฒนาประเทศ
นอกจากนี้สาเหตุที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ประเทศมีการพัฒนา คือ ระบบการศึกษา ซึ่งระบบการศึกษาที่ดีมีคุณภาพ คือ ระบบการศึกษาที่สอนให้คนคิดเป็น ทำเป็น เพื่อเป็นฐานความรู้ที่นำมาสู่การคิดค้นนวัตกรรมต่างๆ จากการวิเคราะห์อันดับภาพรวมประเทศด้านการศึกษาในกลุ่มอาเซียน โดย WEF (World Economic Forum ) ในระยะ 8 ปีที่ผ่านมาจนถึงปี 2556 พบว่า อันดับรวมของกัมพูชาสูงขึ้นมา 23 อันดับ อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์สูงขึ้น 19 อันดับ มาเลเซียและไทยอันดับถดถอย 4 และ 5 อันดับ ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบการแข่งขันระดับประเทศเพื่อวัดความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมในปี 2012 พบว่าประเทศไทยมีคะแนนนวัตกรรมที่ระดับ 3.19 เป็นอันดับที่ 68 ของโลก ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศสิงคโปร์อยู่ที่อันดับ 8 และประเทศมาเลเซียอยู่ที่อันดับ 25 ซึ่งนับว่าประเทศไทยมีการให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านการพัฒนานวัตกรรรมน้อยมาก
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ประเทศไทยควรที่จะเร่งลงทุนเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในประเทศผ่านการปฏิรูปการศึกษา แต่คนไทยจะรอให้ผู้อื่นมาเปลี่ยนแปลงระบบหรือไม่ คำตอบคือ จะรออีกนานแค่ไหน??? ดังนั้น
“อย่าคิดเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ ถ้าเรายังไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง”
จุดเริ่มต้นของการพัฒนาไม่ได้มาจากใครที่ไหน มาจากตัวเองล้วนๆ คุณวิสูตร ผู้เขียนหนังสือขายดี เรื่อง บนท้องฟ้ารถไม่เคยติด ได้ถามคำถามหนึ่งว่า “ในแต่ละเดือน คุณลงทุนให้กับการพัฒนาความรู้ของตัวเองมากแค่ไหน” การพัฒนาความรู้ให้กับตัวเอง มีหลายหลากวิธี เช่น การอ่านหนังสือ การอบรมสัมมนา เป็นต้น คุณได้จัดสรรงบประมาณให้กับส่วนนี้แล้วหรือยัง? ถ้าคนมีการพัฒนา ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติที่เราอยู่ก็จะมีการพัฒนา
ประเทศไทยนับว่าโชคดีที่เรามีกษัตริย์ที่เป็นนักพัฒนา ซึ่งได้ดำเนินพระราชกรณียกิจในการพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวไทยทั้งประเทศ ในปี 2549 องค์กรสหประชาชาติได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล “ความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์” ของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเฉลิมพระเกียรติในพระปรีชาสามารถและพระราชกรณียกิจในการพัฒนาคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีของพสกนิกรไทย ในหลวงทรงมีสิ่งประดิษฐ์คิดค้นที่เป็นนวัตกรรมมากมายเพื่อคนไทย โดยมีการจดทะเบียนสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร รวมทั้งสิ้น 8 ฉบับ ได้แก่ กังหันน้ำชัยพัฒนา เครื่องกลเติมอากาศแบบอัดอากาศและดูดน้ำ การใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล การใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์เป็นน้ำมันหล่อลื่นสำหรับเครื่องยนต์สองจังหวะ การทำฝนหลวง ภาชนะรองรับของเสียที่ขับออกจากร่างกาย อุปกรณ์ควบคุมการผลักดันของเหลว และโครงการแกล้งดิน และโครงการอื่นๆอีกนับพันโครงการ
มีครั้งหนึ่งรัฐบาลจะผลักดันประเทศไทยให้กลายเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย ถัดจากประเทศฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้และไต้หวัน ซึ่งในหลวงได้กล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า การที่ประเทศจะกลายเป็นเสือตัวที่ 5 ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญเป็นหลัก สิ่งที่สำคัญคือ คือ การพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการ
กระทำ ซึ่งเป็นที่มาของหลักแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
ถ้าคนไทยไม่รู้ว่าจะพัฒนาตัวเองอย่างไร สิ่งหนึ่งที่เป็นทางลัดในการพัฒนาก็คือ
“จงทำดี อย่างที่พ่อทำ”
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที