ในบรรดาวิชาที่ฉันเรียนมาตั้งแต่เด็กและไม่เคยลืมเลือนออกจากความทรงจำได้เลย คือ วิชาพละ ในตอนที่ฉันเรียนชั้นม. 3 สาเหตุที่จำได้แม่นมาก เพราะวิชานี้ได้เกรด 1 เพราะไม่มีวิชาไหนที่เคยได้เกรด 1 เลย แถมเป็นวิชาง่ายที่ใครๆก็สามารถทำได้ เมื่อมาลองวิเคราะห์ตัวเอง ว่าทำไมถึงได้เกรด 1 มานึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นเรียนวิชา ปิงปอง และไม่ชอบมากๆ ทักษะการตีลูกปิงปองก็ไม่ค่อยดี ฝีมืออยู่ในขั้นห่วย เลยได้เกรด 1 มาครอบครอง
หลังจากจบม. 3 ก็ต้องดิ้นรนหาโรงเรียนเพื่อเตรียมสอบเข้า เดชะบุญเกรดเฉลี่ยรวมเกิน 3.5 แม้ว่าจะได้เกรด 1 วิชาพละก็ตาม สามารถเข้าชั้น ม. 4 ที่โรงเรียนสตรีชื่อดังในจังหวัดสงขลาใน โดยไม่ต้องสอบแข่งขันกับคนอื่นๆ แต่สุดท้ายก็ปฏิเสธโควต้านั่น และมุ่งมั่นสอบเข้าเรียนชั้น ม. 4 ในโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนดังติดอันดับประเทศในสมัยนั้น จนสามารถสอบติดได้เป็นผลสำเร็จ
มานั่งคิดๆดูแล้ว ตามจริงคนแต่ละคน มีความสามารถแตกต่างกัน ถ้าเราจะต้องพัฒนาใครสักคนเรา มีคำถามว่า จะพัฒนาที่จุดอ่อนหรือ จุดแข็งของเขาดี
........ให้เวลาในการคิดคำตอบ 5 วินาที หมดเวลา....
ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่มีเรื่องเล่าให้คิด คือ.....
ถ้าเราเป็นหัวหน้าคน และอยากจะพัฒนาลูกน้อง ถ้าเราเลือกที่จะพัฒนาจุดด้อย เราก็จะเสียแรงกาย แรงใจ และเสียเวลาในการพัฒนาเขาอย่างมาก ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัด ก็คือ ถ้าจะให้ฉันเก่งเรื่องเล่นปิงปอง คนสอน ต้องใช้เวลาในการสอนมากกว่าปกติ ส่วนฉันก็คงจะใช้เวลานานกว่าปกติกว่าจะได้เป็นมือปิงปองขั้นเทพ เพราะใจฉันไม่ชอบเล่นปิงปองอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ตีไปตีมาตาลาย คิดแล้วเหนื่อย สู้เอาเวลาไปสอนสอนคนที่เขาเก่งเรื่องนี้ และรักในเล่นปิงปองน่าจะใช้เวลาน้อยกว่านี้และง่ายกว่านี้เยอะ และผู้ฝึกก็รู้สึกดีในการเห็นความกระตือรือร้นของคนเรียน
นอกจากนี้บางคนก็ยังคิดไม่ออกว่าจะพัฒนาคนที่จุดไหน เนื่องจากมองไม่เห็นศักยภาพที่แท้จริงของลูกน้อง เวลาว่างคือการด่าลูกน้องเป็นอาหาร ทำไม่ดี อย่างนั้น อย่างนี้ มองไม่เห็นความดีงามของลูกน้องที่อยู่ในแผนกหรือสถานที่ที่เขาบอกว่าเป็นบ้านแห่งที่ 2 ได้เลย ทั้งๆที่เขาใช้เวลาอยู่ที่นี่มากกว่าอยู่ที่บ้านอีก กลับไปบ้านเพียงเพื่อหลับนอนเท่านั้น
ดังนั้นการเริ่มต้นของการพัฒนาคนขั้นเทพ มีหลักข้อแรก คือ เริ่มต้นมองเห็นความดีงามของคนที่อยู่ในบ้านของเราหรือหน่วยงานเสียก่อน ความดีงามของลูกน้องที่แต่ละคนมี คือ อะไรบ้าง พยายามมองให้ออก อย่าให้เมฆหมอกของความไม่ดีของเขามาบดบังตาเรา เพราะทุกคนย่อมมีม่านเมฆสีดำนี้กันเกือบทุกคนอยู่แล้ว เราเรามาดูตัวอย่าง ในแผนกฉุกเฉินที่ฉันทำงาน มีลูกน้องอยู่ประมาณ 33 คน แต่ละคนความดีงามที่ฉันเห็นมีอะไรบ้าง
.........ผู้สร้างนวัตกรรมชั้นยอด เป็นใครไปไม่ได้เขาคนนั้น คือ อับดุลเลาะห์
.........ผู้เรียนรู้ ผู้สร้างงาน อย่างผู้เชี่ยวชาญในแผนก คือ คุณสมชาย
.........ผู้ทลายกำแพงใจ ด้วยการบริการที่ดีระหว่างคนไข้และเจ้าหน้าที่ คือ เธอผู้แสนดี วรัญญา และนิมล
.........ผู้โอบอ้อมอารี มีมิตรไมตรี กับทุกคนในแผนก คือ คุณชุติมา หัวหน้าของเรา
........ ผู้คอยเฝ้าดูแลน้องใหม่ๆไม่ให้สั่นคลอน ไม่เรียกร้องสิ่งใดๆมาตอบแทน คือ คุณสมพงษ์
.........ผู้มีลีลาการสอนงานที่ชำนาญ แม้จะต้องผ่านการฝึกหลายเวที แต่หัวใจดงน้อยดวงนี้ยังแข็งแกร่ง คือ คุณปิยะรัตน์ และคุณนิตยา
.........ผู้ใจดี ฉีดยาทีไร ไม่เจ็บเลย ขอเฉลย เธอผู้นั่น คือ คุณระบาย
.........งานไหนๆไม่เคยสาย ส่งงานเต็มร้อย ครบตามเวลาที่สั่ง คือ คุณจุไรรัตน์
.........งาน 5 ส ขาดเธอไม่ได้ เพราะจะวอดวายทั้งแผนก เธอคือ นางฟ้าใจฉัน พรรณทิพา
.........แม้เวลาเปลี่ยน หน้าเปลี่ยน รูปร่างเปลี่ยน แต่ความมีน้ำใจของเธอ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คือ คุณจรัญญา
.........แม้ว่าใครๆจะทะเลาะ กัน แต่มีเพียงฉันที่ยังสงบอยู่ได้ คือ คุณชลธิชา
ถ้าจะให้ความดีงามของทุกคนหมดก็เขียนได้ แต่กลัวจะเบื่ออ่านกันเสียก่อนตั้ง 33 คนขอ
แค่ยกตัวอย่างคร่าวๆให้ดูกัน ว่าสนุกแค่ไหนในการมองความดีของคนอื่น นอกจากทำให้จิตใจฉันสดชื่นแล้ว ผู้รับก็คงเบิกบานไม่แพ้กัน ดีกว่าการมองหาจุดมืดเป็นไหนๆ และเราในฐานะของหัวหน้า ก็ควรจะเอาจุดเด่นนั้นมาพัฒนาศักยภาพของคนๆนั้น และเขาก็จะไปได้ไกลกว่าที่เราคิดเยอะ เพราะความสามารถของคนความจริงแล้วไร้ขีดจำกัด ที่เราได้แสดงออกมามีเพียง 1% เท่านั้น เพราะฉะนั้น เรามามองเห็นความดีงานของคนที่อยู่ในที่ทำงานหรือที่เรียกว่า บ้านหลังที่ 2 กันเถอะ
“จิตใจนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้งานการทุกอย่างก้าวหน้าได้ เพราะว่าถ้าคนที่มีเมตตา กรุณาในใจ และเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น หมายความว่า คนนั้นเป็นคนที่อ่อนโยน ที่เห็นอะไรๆได้ชัด เมื่อคนเรามีความอ่อนโยนและมีความละเอียดอ่อน และเห็นอะไรได้ชัด ก็ย่อมทำงานของตนที่กำลังทำด้วยความก้าวหน้านั่นสำเร็จลุล่วงไปได้”
-พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช-
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที