GIT Information Center

ผู้เขียน : GIT Information Center

อัพเดท: 18 พ.ย. 2016 03.52 น. บทความนี้มีผู้ชม: 1497 ครั้ง

ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับขอนำเสนอ "นโยบายโดนัลด์ ทรัมป์กับการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย" สนใจบทความอื่นๆ อ่านเพิ่มเติมที่ http://infocenter.git.or.th สอบถาม พูดคุย หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ที่ https://www.facebook.com/GITInfoCenter


นโยบายโดนัลด์ ทรัมป์กับการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย

ระยะเวลาเกือบทศวรรษที่เศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐอเมริกาถูกบริหารโดยประธานาธิบดีที่มาจากพรรคการเมืองฟากเดโมแครต การเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 45 เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 ที่ผ่านมาจึงเป็นการเปลี่ยนขั้วอำนาจไปยังนายโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกันที่รวยติดอันดับ 156 ของสหรัฐฯ ด้วยวัย 70 ปี จากรีพับลิกัน ที่มาพร้อมนโยบายหาเสียง American First ที่ต่างไปจากประธานาธิบดีคนก่อน เช่น การไม่สนับสนุนการค้าเสรี เน้นเศรษฐกิจภายในประเทศด้วยการปกป้องอุตสาหกรรมภายในจากการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีนและเม็กซิโก การปฏิรูปแรงงานต่างชาติ รวมทั้งการปรับลดทั้งภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการจ้างงานภายในประเทศ นโยบายหาเสียงดังกล่าวได้ถูกจับตาจากทั่วโลกว่าจะสามารถนำมาใช้ได้จริงมากน้อยเพียงใด เนื่องจากสหรัฐฯ มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกราว 30% ของจีดีพีโลก การปรับเปลี่ยนนโยบายทางเศรษฐกิจและการเมืองย่อมส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลก

อย่างไรก็ตามผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วต่อประเทศไทยหลังจากที่ทรัมป์ได้รับชัยชนะ คือความผันผวนของทั้งตลาดเงินและตลาดทุน โดยค่าเงินบาทได้อ่อนค่าลงราว 1.2% เมื่อเทียบกับต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา จากแรงกดดันของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าที่สุดในรอบ 11 เดือน ขณะที่สกุลเงินของประเทศเกิดใหม่ รวมทั้งกลุ่มประเทศ TPP ก็มีทิศทางอ่อนค่าเช่นเดียวกัน ขณะที่ในด้านตลาดทุนโดยปกติแล้วในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคมจะเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนต่างชาติทยอยขายสุทธิหุ้นไทย ประกอบกับความกังวลใจต่อท่าทีของว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ และท่าทีของเฟดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมหรือไม่ จึงเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดการไหลออกของเงินทุน แต่อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยก็ยังคงมีเงินไหลออกน้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค
 
ทั้งนี้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับนั้นจากการที่ทรัมป์ได้ประกาศไว้ว่าหากได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีจะจัดการให้ค่าเงินหยวนแข็งขึ้น หรือไม่ก็จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตราถึง 45% ซึ่งหากนโยบายกีดกันทางการค้าดังกล่าวเกิดขึ้นจริงจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในทางอ้อม เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับจากจีนโดยมีมูลค่าสูงเป็นลำดับที่ 2 รองจากฮ่องกง ซึ่งสินค้าสำคัญที่ส่งออกไปสหรัฐฯ คือ เครื่องประดับแท้ด้วยสัดส่วนราว 75% หากสหรัฐฯ กีดกันการนำเข้าเครื่องประดับจากจีน ย่อมส่งผลต่อเนื่องให้จีนชะลอการนำเข้าสินค้ากึ่งวัตถุดิบจำพวกเพชรพลอยเจียระไนจากไทย ซึ่งแต่ละปีมีมูลค่าส่งออกไปยังจีนราว 1 พันล้านบาท รวมถึงสินค้าหมวดเดียวกันที่ไทยส่งออกไปยังฮ่องกงและส่งต่อจากฮ่องกงไปยังจีนอีกทอดหนึ่งก็จะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ทั้งนี้หากนโยบายกีดกันทางการค้าขยายมายังประเทศไทย อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกเครื่องประดับสำเร็จรูปในสินค้ากลุ่ม High-end อยู่บ้างแต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าขั้นกลางหรือสินค้ากึ่งวัตถุดิบจากไทย โดยเฉพาะพลอยสีคุณภาพสูงเนื่องจากสหรัฐฯ ไม่มีวัตถุดิบภายในประเทศ
 
ส่วนในระยะยาวคงต้องรอดูความชัดเจนของว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด โดยนโยบายหาเสียงที่นับว่าเป็นซิกเนเจอร์ของทรัมป์ในด้านการค้าระหว่างประเทศคือการรื้อข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) รวมทั้งยกเลิกข้อตกลงหุ้นส่วนเอเชีย-แปซิฟิก (TPP) ซึ่งหาก TPP ถูกยกเลิกจริง การรวมกลุ่มที่จะได้ประโยชน์ในลำดับรองลงมาน่าจะเป็นความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค (RCEP) หรืออาเซียนบวก 6 ที่ไทยเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิก
 
อย่างไรก็ตามนโยบายจะออกมาในรูปแบบใด จะต้องรอดูนโยบายที่จะประกาศอย่างแน่ชัดหลังจากทรัมป์เข้ารับตำแหน่งวันที่ 20 มกราคม 2560 ซึ่งอาจจะไม่ดำเนินนโยบายได้ทั้งหมดอย่างที่หาเสียงไว้เลย หรือทำได้เพียงครึ่งหนึ่งก็เป็นได้

บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที