วีรพล

ผู้เขียน : วีรพล

อัพเดท: 14 ธ.ค. 2006 21.28 น. บทความนี้มีผู้ชม: 3222 ครั้ง

รวมเรื่องราวของเพื่อนเอกภาษาญี่ปุ่น ที่เขียนรวมเล่มแจกเพื่อนในงานรับปริญญา


สุบินของไอ้เข็ม 

จะขอเสริมเรื่องของสุบินที่ไอ้วีได้เขียนไว้ในเล่มแรก ตามที่ไอ้วีบอกไว้ว่า สุบินหรือหมูบินของเพื่อน ๆ เป็นชาวเชียงราย  ได้รับอารยธรรมเชียงของมาเยอะมากดังนั้นก็มักจะทำอะไรที่มันเชย เฉิ่ม ไม่ค่อยอินเทรนด์กับสภาพสังคมในปัจจุบันเท่าไหร่            ชอบเอาภาษาอุ๋ยคำอะไรก็ไม่รู้มาพูดให้เพื่อน ๆ ฟัง บางครั้งก็มักจะพูดภาษากะเหรี่ยง(มั่ว) ให้เพื่อน ๆ ได้ยินเสมอ  เมื่ออพยพย้ายถิ่นฐานมาจากเชียงรายแล้ว สุบินก็ไปอาศัย

       

 

                อยู่กับญาติแถว ๆ อำเภอสารภี อยู่กับพี่สาวสองคนก็เรียนที่เดียวกันนั่นแหละ แต่พอหลังจากที่พี่สาวสุบินเรียนจบแล้ว

อีสุบินจึงย้ายออกมาอยู่หอพักหลังสถาบันชื่อหอพัก700ปี (แต่ดูจากสภาพหอพักแล้วน่าจะเก่าแก่กว่านั้น) ด้วยห้องเช่าราคาแสนจะถูกบวกกับค่าน้ำค่าไฟที่ไม่แพงทำให้สุบินตกลงตัดสินใจเลือกหอพักนี้เป็นที่ซุกหัวนอน สุบินบอกกับพวกเราว่าคืนแรกกลัวมาก ๆ เพราะเป็นคนกลัวผี ไม่กล้าส่องกระจก (กลัวเห็นหน้าตัวเอง) อยากเปิดไฟนอนแต่ด้วยความที่เป็นคนประหยัด (ขี้เหนียว) จึงไม่อยากเปิดไฟทิ้งไว้ สรุปก็คือคืนแรกเป็นไปอย่างทุลักทุเล แต่พอผ่านคืนแรกไปแล้วก็ไม่มีอะไรต้องกลัวไปกว่ามองหน้าตัวเองในกระจก สุบินก็รู้สึกว่านี่แหละห้องเช่าที่หามานาน ประมาณว่า Home Sweet Home เพื่อน ๆ หลายคนรวมทั้งผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมที่ห้องมักจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า มึงอยู่เข้าไปได้ไงเนี้ย ไม่ใช่เพราะห้องพักไม่ดีหรอก แต่ว่าทุกครั้งที่ไปหามัน มันจะเปิดเพลงโอเปร่าเสียงดังลั่นห้อง ปิดไฟปิดผ้าม่านหน้าต่างมืด ๆ         จุดเทียนไขอ่าน

หนังสือ มันบอกว่าค่าน้ำเค้าคิดวันละ 1 บาท ถ้าวันไหนไม่ใช้น้ำก็ไปบอกเจ้าของหอเค้าก็จะไม่คิดค่าน้ำในวันนั้น พวกผมก็เลยถามว่า อ้าวถ้าเดือนหนึ่งมี 30 วัน มึงใช้น้ำ 29 วันก็แสดงว่า  วันนั้นมึงไม่ได้

 

 

 

อาบน้ำนะสิ มันก็ทำหน้าอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ก่อนจะแก้ตัวออกมาว่า “ ฮา(กู) ก็เปิดน้ำตวงไว้ในโอ่งสิวะ ” จากนั้นกลิ่นเกลือก็ลอยมาเตะความคิดในสมองส่วนหน้าของผมยังแรงเลยนิ..

                   สมัยปีหนึ่งสุบินบอกว่ามันสัญญากับแม่ไว้แล้วว่า จะไม่ดื่มเหล้าหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จนกระทั่งอยู่ปี 3 มีงานนิทรรศการของคณะมนุษย์ พวกเราปี 3 ต้องรับผิดชอบเรื่องทำอาหารขายอาหารญี่ปุ่น ก็เลยไปรวมตัวกันขอใช้บ้านพักKiMiKo เซนเซ เป็นสถานที่ทำอาหารเป็นเวลา 3 วัน ในงานนิทรรศการมีการขายสินค้าโอทอป ด้วยซึ่งแน่นอนว่าต้องมีไวน์ผลไม้ พวกผมจึงซื้อมาชิมกัน (ขอย้ำว่าชิมนะครับ) ดูว่ารสชาติที่ชาวบ้านทำกันเองจะเป็นยังไง

คนขายบอกว่ามีแบบดื่มได้เลยฝาสีเขียว (ค่อนข้างแรง) กับแบบที่ต้องบ่มไว้ฝาสีแดง ราคา 3 ขวด 100 บาท เราก็เลยซื้อมาทั้ง 3 ขวด พอสุบินเห็นดังนั้นกระแดะอยากจะชิมไวน์ดูบ้างเผื่อจะดูไฮโซขึ้นมาหน่อยเลยล่อฝาสีเขียวซะเติมที่ หมดขวดแรกไปแล้ว   แม่มันก็

ถามว่าจะเอาอีกรึป่าว สุบินติดใจเลยบอกว่าเอาอีก ๆ แม่มันเทไปให้มันก็ซักทีเดียวหมดแก้ว กินหยั่งกับไปตายอดตายอยากที่ไหนมา ล่อหมดไปทีเดียว 3 ขวด(ทั้งที่ตอนแรกกะว่าจะเก็บไว้กินเองซัก 2ขวด)

พวกเราก็มองหน้ามันทำตาปริบ ๆ ไหนมันบอกว่ามันจะไม่ดื่มเหล้าวะ พอไอ้ฤทธิ์ไวน์เริ่มขึ้นแล้วสุบินก็ออกอาการหน้าแดง เริ่มพูดจาไม่รู้เรื่อง เดินตุปัดตุเป๋ เข้าห้องน้ำ หัวเราะคิก ๆ คัก ๆ ซักพักเริ่มไม่ไหวเดินกลับหอ มันมาบอกที่หลังว่านั่นคือความรู้สึกเมาครั้งแรกพอทิ้งตัวลงนอนโลกหมุนติ้วเลย ไปแทบไม่เป็น

                สุบินเป็นคนนิยมของไฮโซมาก เวลาซื้อของแต่ละอย่างจะต้องมียี่ห้อ ยิ่งลดราคาด้วยยิ่งดีใหญ่ น้ำหอมต้องของ คลินิก แว่นตาต้องใช้กรอบแว่นอย่างดี กระเป๋าเสื้อผ้าไม่จำเป็นต้องแพงมาก แต่ต้องอยู่ในคอนเซปที่ตัวเองชอบ รถจักรยานยี่ห้อ ลาเร่ย์ (เพื่อน ๆ มักจะยืมไปขี่จนยางแบน) เวลาพูดภาษาอังกฤษต้องกระแดะออกเสียง รถยนต์มันบอกว่าถ้าเป็นมันต้องซื้อรถยุโรป พวก Alpha Romeo, BMW, Volvo เท่านั้นแต่สุดท้ายผมก็เห็นมันซื้อ Honda CITY รุ่นตูดตัด สีดำ ซึ่งมันก็เอาไปจูบได้แผลมาหลายแผลเข้าศูนย์ซ่อมจนประกันไม่อยากทำสัญญาด้วย แต่ด้วยความที่ไม่ชอบอะไรที่เป็นไฮ-เทคโนโลยี

สุบินจึงไม่ประสีประสากับเรื่องคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ใด ๆ ทั้งสิ้น กว่าจะซื้อมือถือมาได้ก็ต้องรอให้เพื่อน ๆ มีกันครบทุกคน ไม่กล้ารีบซื้อกลัวเสียฟอร์มว่าไม่รู้เรื่อง    เวลาเค้าคุยเรื่องการใช้งาน

                                                               

 

 

มือถือรุ่นนี้เป็นอย่างนี้รุ่นนั้นเป็นอย่างนั้นนะก็ต้องคอยแอบฟัง   จน

เพื่อน ๆ ทนไม่ไหวเพราะเวลามีงานติดต่อตามตัวไม่ค่อยได้ เลยกัดฟันซื้อ Motorolla รุ่นฝาพับซึ่งภูมิใจนักหนาว่าอินเทรนด์สุด ๆ ทันสมัยสุด ๆ แต่จนบัดนี้เค้ามีแบบถ่ายรูปได้ เสียงเรียกเข้า True tone ก็ยังไม่เปลี่ยนจากอันแรกที่เคยซื้อมาเลย

                สุบินเป็นคนที่ขี้ตกใจมาก เวลาตกใจจะอุทานออกมาเสียงดังว่า “บ่าแก้วค่งล่ง”, “โอ๊ะ” มีอยู่วันหนึ่งนั่งสุบินรถมอไซด์ไปกับไอ้ริด ซึ่งท่อไอเสียรถของไอ้ริดจะไม่ค่อยดีเวลาขี่จะได้ยินเหมือนเสียคนตดออกมาเป็นระยะ ขณะที่ขี่ไปได้ระหว่างทางโดยที่ไอ้ฤทธิ์ก็ขี่รถเงียบ ๆ ไปเพลิน ๆ รถไอ้ฤทธิ์ก็ตดออกมา ด้วยความตกใจอีสุบินก็อุทานว่า “โอ๊ะ บ่าแก้ว” (คำอุทานของอุ้ยมันมั้งนี่...)

เสียงดังเต็มถนน

 

ไอ้ริดที่ขี่มอไซด์เพลิน ๆ อยู่ตกใจไปกับเสียงสุบิน ก็เบรครถด้วยความตกใจหน้าทิ่มไปข้างหน้าทั้งคู่ ทุกคนที่อยู่ในละแวกนั้นหันมามอง                                    ไอ้ริดเมื่อประคอบสติได้ก็รีบบังคับรถให้

ทรงตัวแล้วรีบบิดไปข้างหน้าด้วยความอายทิ้งให้ผู้คนแถวนั้นฮากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น      ไอ้ริดก็ด่าสุบินยกใหญ่โทษฐานที่นอกจากจะ

ทำให้ขายหน้าแล้วยังเกือบทำให้รถเสียหลักอีกด้วย   ไอ้ฤทธิ์ก็เอามา

เล่าให้เพื่อน ๆ ฟังให้เป็นที่ฮากระจาย ผมเองก็เคยขี่มอเตอร์ไซด์โดยมีสุบินซ้อน ด้วยความที่ได้ฟังเรื่องที่ไอ้ริดเล่าให้ฟังประกอบกับอยากลองให้เห็นกับตา จังหวะที่รถติดไฟแดงจอดอยู่โดยมีรถจอดเต็มถนน ผมจึงแกล้งบิดคันเร่งแรง ๆ ไป 1 ทีให้รถกระตุกเพื่อให้มันสะดุ้ง ได้ผลครับมันร้องอุทานออกมาเสียงดังเต็มที่จนคนที่ติดไฟแดงหันมามองเป็นตาเดียวกัน มันอายมากแต่ผมกลับหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ (ผมนี่เลวจริง ๆ) ถึงมันจะเป็นคนที่ขี้ตกใจแต่ก็น่าแปลกที่เวลาขับรถแล้วมันนิ่งมาก (นิ่งมากจนน่ากลัว)

                หลังจากที่จบการศึกษาด้วยโชคชะตาสุบินก็มาทำงานอยู่

จังหวัดเดียวกันกับผม                         ก็คือที่นครปฐมนั้นเอง

เหมือนกับมันเป็นไปเอง                    ที่เหมือนเองเองนั้นแหละ

( ว่าจะแต่งเป็นกลอนสี่สุภาพพอดีเป็นคนเถื่อนเลยแต่งได้แค่นี้)

 

เข้าเรื่องครับสุบินนั้นนะ นอกจากขี้ตกใจแล้วยังขี้ตื่นเต้น มีอยู่วันหนึ่งผมนัดสุบินที่ขนส่งเพื่อที่จะไปสอบ  วัดระดับความรู้ทาง

ภาษาญี่ปุ่นด้วยกัน แต่ด้วยเนื่องจากรถติดมันจึงมาสาย ต้องเอารถไปฝากแต่ไม่มีที่ฝาก ไม่รู้จะทำยังไงเลยจะฝากกุญแจไว้ที่คนปล่อยรถที่ขนส่งแล้วให้พี่ที่บริษัทมารับเอารถไปในตอนเย็น ผมและพี่อีกคนที่

อยู่บริษัทเดียวกันก็พยายามหาทางช่วย         ก็บอกให้มันไปบอกคน

 

ปล่อยรถว่าอย่างนี้นะ แล้วก็จดชื่อคนที่จะมาเอารถให้ใส่กระดาษเรียบร้อย ก็ตกลงได้จนเข้าใจแล้ว แต่คนปล่อยรถก็ไม่ยอมเล่นด้วยง่าย ๆ เค้าก็พูดข่มมัน “อารายกันคุณ ทำไมไม่วางแผนมาก่อน มาถึงก็เกิดปัญหาแล้วจะแก้ยังไงเนี้ย ให้ฝากไว้ที่ผมแล้วถ้าหายไปทำไง ใครรับผิดชอบ จะให้ผมรับไว้ถ้ารถหายไปแล้วจะมาให้ผมรับผิดชอบผมไม่เอานา เนี้ยแล้วรถก็จะมาแล้วเนี้ย จะทำไงล่ะ เอ้าเร็ว ๆ คนต่อไป รถมาแล้วเห็นมั๊ย จะเอาไงว่ามา แล้วคนที่จะมารับชื่ออะไร เอ๊า อ้ำอึ้งอยู่นั่นแหละ” พอมันโดนอย่างนี้เข้าก็อึก ๆ อัก ๆ พูดไม่ออก หน้าซีดหน้าตื่น ผมก็เลยต้องอธิบายให้เค้าเข้าใจ คนปล่อยรถก็ขอชื่อที่อยู่เบอร์โทรของคนที่จะมาเอารถให้ สุบินก็หากระดาษแผ่นที่มันจดชื่อไว้มองหาก็หาไม่เจอ ยิ่งโดนบี้ยิ่งลนลานใหญ่ “กระดาษฮา(กู)มีไหน กระดาษฮา(กู)มีไหน” ซึ่งกระดาษแผ่นนั้นมันก็หนีบติดไว้ที่จั๊กกะแร้ของมันแท้ ๆ แบบนี้แถวบ้านผมเรียกว่ามัน  กั้ง ไม่ใช่ของกินหรอกเป็นอาการตื่นเต้นแบบสุดตีน โดยที่ผมก็เพียงแค่ทำได้แต่ว่า มองหน้าสุบินแล้วก็อดสังเวชใจไม่ได้ ห้า...เอ้ย  พับผ่าสิ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คนดีสี(ศรี )เชียงลาย(ราย)

ประหยัดน้ำไฟช่วยชาติ


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที