ใครที่ต้องการเก็บเงิน และอยากให้เงินเก็บเพิ่มมากขึ้น หรือคนที่ไม่รู้วิธีการเก็บเงินที่ให้เพิ่มมาขึ้น เริ่มจากตรงไหนกันบ้าง วันนี้มี เคล็ด(ไม่)รับ มาต่อกัน
ขอบคุณแหล่งภาพ : http://www.jobnorththailand.com/learndetail.php?le_id=000037
"งานดี ๆ รายได้สูง ๆ มีจริงหรือ?"
"ทำงานมานานจนเบื่อ เปลี่ยนงานใหม่ดีไหม หรือจะเรียนต่อปริญญาโทดี?"
"งานหนักมาก จะลาออกจากที่เดิมดีหรือเปล่า?"
"ทำอย่างไรจึงจะได้เงินเดือนสูง ๆ ?"
"ลาออกจากงาน แล้วไปทำธุรกิจส่วนตัวเองดีไหมนะ?"
เริ่มหางาน
ขอบคุณแหล่งภาพ : http://www.jobnorththailand.com/learndetail.php?le_id=000015
เอาละสิ .. ตอนจบปริญญาตรีเทียบกับเพื่อนในกลุ่ม เราเกรดน้อย (เกือบ) สุด เพื่อน ๆ เกียรตินิยมกันเป็นแถว ตอนนั้นเราตั้งเป้าว่าเอาบริษัทขนาดกลาง -> ใหญ่ ละกัน
เริ่มต้นที่ 10,000 บาท ทำงาน 6 วัน เราก็ลังเล เพราะเพื่อน ๆ เริ่มที่ 13,000 บ้าง 22,000 บ้าง แต่สุดท้ายก็คิดว่า ลองดู เพราะโปรไฟล์บริษัทก็ไม่ถึงกับแย่มาก
ทำไปได้สัก 2 เดือนก็เริ่มรู้แล้วว่าไม่เหมาะ เพราะงานน้อยมาก.. ไม่ค่อยจะมีอะไรทำ วัฒนธรรมองค์กรชิลเกิน ยิ่งตอนนั้นเป็นเด็กจบใหม่ไฟแรง ทำไปได้ไม่ถึงปีเลย ทำยังไงดี...
สิ่งที่จะต้องหาคำตอบคือ "เรียนต่อ" เพื่ออะไร
- เปลี่ยนสายงาน
- หาความรู้เพิ่ม
- หาคอนเนคชั่น
- ใคร ๆ ก็เรียนกัน?
- ขี้เกียจทำงานแล้ว
ถ้าใครไม่สนใจ หรือ ยังไม่รู้ว่าจะเรียนอะไร แนะนำ อย่าเพิ่งเรียนก่อนนะคะ
เรียนต่อโท
ขอบคุณแหล่งภาพ : http://it-grads.nida.ac.th/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89/%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5/
มหาวิทยาลัยไหนดี .. ถ้าเป็นไปได้ก็ยังแนะนำให้เลือกสถาบันระดับต้น ๆ ไหน ๆ จะเสียเงินอีกหลายแสนแล้ว นอกจากได้ความรู้ ก็ถือว่าสร้างโปรไฟล์และคอนเนคชั่นไปด้วย ไม่ได้บ้าสถาบันแต่อย่างใด แต่ในโลกความจริง ก็ต้องยอมรับว่าเป็นใบเบิกทางระดับหนึ่ง
แนะนำให้ทำงานไปอย่างน้อยสัก 1- 2 ปี ค่อยเรียนไปพร้อมกับทำงาน เพราะเราเรียนภาคปกติ รู้สึกว่าไม่ได้ประโยชน์เท่าภาคพิเศษ นอกจากความชิลกว่าในการเรียน
สุดท้ายพอจบมา เราก็เปลี่ยนสายงานได้ตามตั้งใจ เงินเดือนขยับมาที่ 2x,xxx
อยากมีธุรกิจของตัวเอง
ขอบคุณแหล่งภาพ : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=339187
ทำงานมาไม่กี่เดือน ก็เริ่มเบื่อ (อีกแล้ว)
ต้องยอมรับว่าช่วงอายุ 20 กว่า ๆ เป็นช่วงแสวงหาประกอบกับอาจจะยังปรับตัวไม่ค่อยได้ หลาย ๆ อุตสาหกรรมจะมีบุคลิกลักษณะเฉพาะตัว เช่น FMCG, Garment, Bank บริษัทที่เราเข้าไป คนค่อนข้างแรง เรารู้สึกกดดันมาก ถ้าเป็นสมัยนี้คงทนได้ ความต้านทานสูง
ก็เหมือนกับมนุษย์เงินเดือนทั่วไป พอเบื่องานก็ชักอยากจะทำธุรกิจของตัวเอง เราก็เหมือนกัน คิดเอาง่าย ๆ ว่าเรียนมาด้านบริหาร คงพอทำอะไรได้ คุยกะเพื่อนแป๊บ ๆ เพื่อนก็เบื่องานเหมือนกัน ตกลงจะทำ catering กัน ด้วยความไม่มีประสบการณ์ไม่ได้วางแผน เรากะเพื่อนลาออกจากงานเลย (เราทำได้แค่ปีนึง) ผลปรากฏว่า เจ๊งตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ว่างงานอยู่ 3 เดือน
ปล. คนที่จะทำงานธุรกิจส่วนตัว ต้องวางแผนและประเมินธุรกิจที่จะลงทุนให้รอบคอบ
ตกงาน
ขอบคุณแหล่งภาพ : http://www.tlcthai.com/horo/horoscope/horo/14156.html
กลายเป็นคนตกงาน.. ช่วงนี้ส่งอีเมลสมัครงานเป็นร้อย ๆ เว็บสมัครงานที่ดีที่สุดสำหรับเรา (จนถึงตอนนี้) คือ jobsdb.com
Resume เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น
สัมภาษณ์ยังไงให้ได้งาน
ขอบคุณแหล่งภาพ : http://www.tlcthai.com/education/job/12541.html
Resume เขียนให้ดี ยาวพอประมาณ เราว่า 1-2 หน้าก็พอ
บุคลิกสำคัญมาก ๆ พอ ๆ กับความสามารถของคุณ แต่งตัวให้เรียบร้อยพอประมาณ แต่ต้องดูมั่นใจ พูดจาให้เป็นมิตรแต่ชัดเจน ไปให้ตรงเวลา เตรียมตัวไปให้ดี เดี๋ยวนี้ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตมีเยอะแยะ
ประสบการณ์ส่วนตัว ทั้งเป็นผู้ถูกสัมภาษณ์และผู้สัมภาษณ์ เคมีที่ตรงกันของเรากับเจ้านายสำคัญมาก ๆ ถ้าเรารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ดูขัด ๆ ระหว่างเรากับเจ้านายตั้งแต่แรก บางทีก็จะปฏิเสธงานนั้นไป
ถ้าอยากรู้ว่าองค์กรมีปัญหาด้านไหนก็พยายามสังเกตจากคำถามของคนสัมภาษณ์ เช่น ถ้าเจอปัญหาเรื่องคน จะรับมือยังไง เจ้านายปัจจุบันเป็นยังไง
งานเลือกเรา แต่เราก็มีสิทธิ์เลือกงานเช่นกัน
ผลงานดี เพื่อนร่วมงานรัก เจ้านายชอบ
ขอบคุณแหล่งภาพ : http://www.manpowerthailand.com/knowledge.php
3 อย่างนี้จะช่วยผลักดันความก้าวหน้าได้อย่างมาก
ยังไงที่เรียกว่าผลงานดี?
บางคนรู้สึกว่าชั้นก็ทำงานมาตั้งเยอะ กลับดึก ๆ ดื่น ๆ ทำไมไม่โตสักที ให้ลองดูว่า งานที่คุณทำ ทำอยู่แบบไหน เป็นงานที่มีความสำคัญหลักกับองค์กรหรือเปล่า ที่ทำงานหนักเพราะระบบไม่ดี แล้วเราช่วยปรับปรุงได้ไหม คุณสามารถพัฒนางานที่ทำอยู่ให้ดีขึ้นได้ยังไง
อีกแบบนึง คำว่าทำงานเช้าชามเย็นชามไม่ได้เห็นในระบบราชการอย่างเดียว ในองค์กรเอกชนก็จะเห็นคนประเภทนี้ คือ ทำตามหน้าที่เท่านั้น เวลาว่างเล่นเน็ต เข้าเฟซบุ๊ก ถ้ามีโปรเจคท์พิเศษ ต้องทำอะไรเพิ่ม จะบ่นเป็นคนแรก ๆ โดยยังไม่ได้ฟังเหตุผลด้วยซ้ำ
ถ้าคุณอยากจะผลงานโดดเด่น ก็ต้องทำงานให้มืออาชีพ พัฒนาอยู่เสมอ ไม่ต้องรอให้ใครมาสั่ง มีโปรเจคท์อะไรใหม่ ๆ ถือว่าเป็นโอกาส
สิ่งที่คิดว่าหลาย ๆ คนมักจะเป็น คือ
- ไม่ถาม ไม่พูดในห้องประชุม
- อีโก้สูง
- ชอบดราม่า ใช้อารมณ์
- มองภาพรวมไม่ออก
- คิดว่าต่างชาติเก่งกว่าเราเสมอ
ซึ่งเป็นจุดที่ควรจะปรับปรุง
ถ้าทำมาทั้งหมดนี้แล้วยังไม่เห็นความก้าวหน้า สุดท้ายต้องเปลี่ยนองค์กร คิดไว้เสมอว่าบริษัทมีให้เราเลือกอีกเป็นพัน เป็นหมื่น
ถ้าเราเป็นนักเทนนิส ถนัดคอร์ทหญ้า แต่มัวแต่ไปแข่งในคอร์ทดิน ยังไงก็แพ้ สู้ไปหาคอร์ทที่เหมาะกับเราดีกว่า
ลำดับต่อมา คือ เพื่อนร่วมงานรัก ...
- มีมนุษยสัมพันธ์ดีพอสมควร
- ให้เกียรติคนทุกระดับ เราทักทายทุกคน ตั้งแต่พี่แม่บ้านยันประธานบริษัท เชื่อไหมว่าการพูดสวัสดี ทำให้บรรยากาศดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- อย่าเข้าพวกกับใครเป็นพิเศษ คุยได้กับทุกคน
- การบ่นใคร ทำได้แต่พองาม เลี่ยงได้เป็นดี ประเภทด่าแบบดุเดือด ทำได้ เพราะเราก็คนธรรมดา มีอารมณ์เป็นปกติ
Facebook!! ถ้ายังคิดว่าเป็นคนธรรมดาซึ่งต้องการที่ระบายในบางครั้ง กรุณาอย่า add facebook เพื่อนร่วมงาน หรือไม่ก็ต้องระวังมาก ๆ ตั้ง private, group ให้ดี เพราะมันสามารถทำให้ชีวิตการทำงานของคุณยุ่งยากขึ้นอีกหลายเลเวล
- อย่าสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น
- เวลาทำงานเป็นทีม ให้เครดิตคนอื่นตลอด
- ไปสังสรรค์ หรือร่วมกิจกรรมบ้าง
ลำดับสุดท้าย ซึ่งสำคัญมาก คือ เจ้านายชอบ!
เมื่อตอนเป็นเด็กน้อย เราไม่ค่อยให้ความสำคัญกับข้อนี้เท่าไหร่ คิดว่าถ้าทำงานดี เจ้านายก็ต้องชอบเอง ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เสมอไป
เราสามารถทำให้เจ้านายชอบ โดยการทำงานได้ ทั้งนี้ต้องสร้างสมดุลด้วย อย่าเอาใจมากเกินจนโดนคนอื่นหาว่าประจบประแจง
ความรู้อยู่รอบตัว
ขอบคุณแหล่งภาพ : http://www.roomak.com/tag/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7
คือ คุณต้องดิ้นรนทางใดก็ทางหนึ่ง ยิ่งเงินเดือนสูง ๆ เค้าจ้างมาก็หวังจะให้ทำงานได้เลย (ถ้าเป็นไปได้) อย่ารอให้งานมาหาหรือคนมาสอนถึงที่ค่ะ เวลาทำงานนอกจากเนื้องานแล้ว สังเกตสิ่งอื่น ๆ รอบตัวไว้เป็นข้อมูลด้วย เช่น วิธีการทำงานของ MD สไตล์การพรีเซ็นต์ของ CEO หรือวิธีที่เจ้านายเจรจากับแผนกอื่น เรื่องพวกนี้เป็นความรู้อีกแบบนึงที่จะเป็นประโยชน์กับคุณในอนาคต
โอกาสไม่ได้มาในรูปของตัวเงินอย่างเดียว
ขอบคุณแหล่งภาพ : http://www.globalart.co.th/hq/index.php/gm-executive
ถึงหัวกระทู้จะพูดถึงเรื่องเงินเป็นหลัก แต่จริง ๆ แล้วโอกาสไม่ได้มาในรูปของเงินอย่างเดียวค่ะ เวลาพิจารณารับโอกาสไว้ ใช่ว่าจะวัดด้วยตัวเงินเท่านั้น แต่มีทั้งเรื่องของความท้าทาย เรื่องของการสร้างโปรไฟล์ ตรงนี้ต้องพิจารณาประกอบกันไปนะ
คุม Project กันเถอะ
ขอบคุณแหล่งภาพ : http://www.therightit.com.au/projectmanagement
พอเป็น manager กะเค้าได้ไม่ถึงครึ่งปี ตอนนั้นรู้สึกเหนื่อยมาก ๆ เดินเข้าไปคุยกับ GM บอกว่าไม่ไหวแล้วอยากจะออก เพราะคนก็หาไม่ได้ งานเยอะมาก ๆ เคยกลับบ้านแบบตอนเช้า เพราะต้องส่งงานลูกค้า
พอมาทบทวนดู คือ ตอนนั้นเรายังไม่มีประสบการณ์ ถึงมีทีม แต่เราบริหารเวลาไม่ค่อยดี แถมยังประเมินเวลาการทำงานต่ำกว่าความเป็นจริงตลอด กระจายงานไม่ดี ทำให้เราเหนื่อยมาก ตอนหลังก็พยายามปรับปรุงเรื่องนี้
GM บอกว่าเอางี้ อย่าพึ่งออก หยุดพักไปก่อนเลย เดือนนึงพอไหม เดี๋ยวทางนี้หาคนทำให้ แล้วอยากไปทำอย่างอื่นหรือเปล่า พอดีมีโปรเจคท์ใหม่เข้ามาอันนึง สนใจไหม ถ้าสนใจเดี๋ยวจะให้ไปทำ ไปฟอร์มทีมเองเลย
เราดูแล้วก็สนใจ ก็เลยรับโอกาสไว้
ลุยโปรเจคท์ได้ประมาณปีครึ่ง คือ ตั้งแต่เริ่มต้นจนมากลาง ๆ เฟส เน้นการวางแผนที่ดี แล้วก็ปรับปรุงข้อด้อยของเราที่พูดถึงไว้ข้างต้น ตอนนั้นเราไม่ได้คิดถึงเงินเดือนเท่าไหร่ เงินก็ปรับเรื่อย ๆ ตามปี คิดแต่เรื่องความสำเร็จของโปรเจคท์มากกว่า
ลูกน้องที่รัก
ขอบคุณแหล่งภาพ : http://www.ifoc.it/articolo.php?id_categoria=1&id_sottocategoria1=10&id_sottocategoria2=0&titolo=Team
ทั้งหมดทั้งปวง เราจะประสบความสำเร็จในฐานะ manager ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีลูกน้องดี ๆ ทีมที่ดี เหมือนกับที่คุณต้องรู้สไตล์เจ้านาย คุณก็ต้องรู้สไตล์ลูกน้องด้วยเช่นกัน ใช้คนให้ถูกงาน ยังคงใช้ได้เสมอ
แต่สิ่งที่คุณเพิ่มเติมให้ลูกน้องได้ คือ การ coach, train เพื่อดึงศักยภาพของเค้าให้ออกมาได้มากที่สุด ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็อาจจะต้องหาทางออกให้โดยให้ไปทำทีมอื่นที่เชื่อว่าจะเหมาะกับเขามากกว่า
เราชอบให้ลูกน้องโต ได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ต้องผ่านเราทั้งหมด เพื่อให้มีโอกาสดี ๆ ในอนาคต
เราไม่เคยดราม่าใส่ลูกน้อง ถ้าจะชมก็ชมต่อหน้าทั้งทีม ถ้าจะตำหนิก็ไปว่ากันสองคน ว่าแล้วจบ ไม่มีการขุดคุ้ย กระแนะกระแหน
เวลาลูกน้องอยากจะออก เราเป็นคนให้คำแนะนำด้วยซ้ำว่าจะเลือกงานยังไง เพราะนั่นคืออนาคตที่ดีกว่าของเขา ทุกวันนี้ลูกน้องเก่า ๆ ก็ยังอยากให้ไปสังสรรค์ด้วยเสมอ ๆ
ถึงเวลาโตไปอีกก้าว
ขอบคุณแหล่งภาพ : http://www.nuttaputch.com/salary-man-tip-next-position-skills-needed/
หลังจากทำงานโปรเจคท์มาจนจบเฟสแรกกับบริษัทนี้ ประมาณ 3 ปีกว่า ถึงเป็นบริษัทที่เรารักมาก ๆ แต่ก็เริ่มมองว่าน่าจะถึงเวลาที่ต้องก้าวขึ้นไปอีก คราวนี้ก็มองบริษัทที่ใหญ่ขึ้นไปอีก อยู่ในวงการเดิม แต่รายละเอียดงานต่างไปจากเดิมค่อนข้างมาก ซึ่งก็มองว่าเป็นข้อดีในการที่จะเพิ่มความรู้ให้กว้างขึ้นไปอีก
มาถึงตรงนี้เราคิดว่าหลัก ๆ คนทำงานบริษัทจะโตไปได้ 2 ทาง คือ
- Specialist ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เช่น สอบบัญชี นักกฎหมาย หรือโปรแกรมเมอร์
- ผู้บริหาร
ซึ่งเราจะต้องวางแผนว่าจะไปทางไหน สำหรับเราคือขอขึ้นไปทางผู้บริหาร ดังนั้น ความรู้แบบกว้างในวงการเป็นเรื่องสำคัญ
ทักษะการพรีเซ็นต์ และ ภาษาอังกฤษ
ขอบคุณแหล่งภาพ : https://my.sony.co.th/mysonynew/MyUpdate/130.aspx
2 ทักษะนี้สำคัญมากกก ถ้าคุณอยู่ในระดับบริหาร
จริง ๆ ภาษาอังกฤษสำคัญกับทุกระดับ แต่จะยิ่งเพิ่มความสำคัญขึ้นไปอีกหลายเลเวล ถ้าคุณเป็นผู้บริหาร โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้องค์กรใหญ่ ๆ มีหลายชาติ หลายภาษา ภาษาอังกฤษยังไงก็จำเป็นต้องใช้ เพราะถึงคุณจะเป็นคนมีความสามารถขนาดไหน แต่ถ้าไม่สามารถสื่อสารออกไปได้ดี คุณจะพลาดโอกาสดี ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย
ดังนั้น พอมาถึงระดับนี้ นอกจากทำงานดี เจ้านายชอบ เพื่อนร่วมงานและลูกน้องรัก คุณจำเป็นต้องสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษในระดับที่ดีมาก และมีทักษะการพรีเซ็นต์ในระดับที่ดี
Recruitment, Head hunter
ขอบคุณแหล่งภาพ : http://www.ksearchasia.com/
ในช่วงเงินเดือนระดับนี้ Recruitment, Head hunter เข้ามามีบทบาทมาก เราฝากโปรไฟล์ไว้หลายที่ เลือกที่เป็นระดับท็อป ๆ จะช่วยให้มีโอกาสเข้ามาเยอะ และ agency เหล่านี้จะช่วยต่อรองเงินเดือนให้เราได้ค่อนข้างดี
ถึงคุณอาจจะยังไม่ได้อยากเปลี่ยนงานช่วงนี้ แต่การฝากโปรไฟล์ไว้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร ในไทย ส่วนมากคนหางานไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้เอเย่นต์อยู่แล้ว
ช่วงนี้เอเย่นต์ก็เอางานมาเสนอให้เลือกอยู่เป็นระยะ ๆ จนเจองานที่ถูกใจในที่ใหม่ ประกอบกับโปรเจคท์ปัจจุบันกำลังจะเสร็จพอดี รวมประสบการณ์ทำงานทั้งหมด ตั้งแต่บริษัทแรกจนถึงปัจจุบันประมาณ 8 ปี สุดท้ายก็ตัดสินใจย้ายงานด้วยข้อเสนอที่ 1xx,xxx
มีบางอย่างที่เราไม่ได้พูดไว้อย่างชัดเจนตอนแรก แต่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ คือ
ทัศนคติ
เวลามีคนมาพูดเรื่องเงินเดือนสูง ๆ คุณมีความคิดแบบไหนขึ้นมาก่อน
- ไม่จริงหรอก เว่อร์
- รายได้ไม่สำคัญเท่ากับเงินเก็บ จริงหรือ?
- เขาทำได้อย่างไร
อย่างแรกคุณต้องมีความเชื่อก่อน ว่าเราก็สามารถทำได้
การวางแผน
ชีวิตก็เหมือนการรบ คุณต้องรู้จักวางแผน รู้จักภูมิประเทศพื้นที่ รบยังไงถึงจะได้เปรียบ ต้องหาอาวุธอะไรมาใช้ เพื่อให้ชนะ
การทำงานคุณก็ต้องรู้จักวางแผน ทบทวนเป้าหมายระยะสั้น ระยะยาวอยู่เสมอ รู้ว่าองค์กรเป็นยังไง เจ้านาย ลูกน้องเป็นยังไง เพิ่มเติมทักษะตัวเองตรงจุดไหนเพื่อให้ทำงานได้ดีขึ้น
ถ้ารู้ว่ารบไม่ชนะ บางทีก็ต้องยอมถอยทัพ การทนทำงานที่เดิมหลาย ๆ ปี โดยไม่มีอะไรดีขึ้น สุดท้ายเราก็คงจะแพ้ ดังนั้นการตัดสินใจที่ทันเวลา มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ความสนุกกับการทำงาน และ Work-life balance
การทำงานไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ยากเหมือนกันหมด แต่ความยากจะแต่งต่างกันออกไป เราต้องมีความอดทนกับงานต่างๆ ที่เรา และเรียนรู้จากการทำงานนั้น เพื่อประสบการณ์
ขอบคุณแหล่งที่มา : http://hilight.kapook.com/view/85832
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที