ด้วยแนวคิดที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้ข้าวไทย นักวิจัยจากศูนย์วิจัยข้าวอุบลราชธานี กรมการข้าว จึงได้นำข้าวสายพันธุ์ไทยนำมาเป็นเครื่องดื่ม จนในที่สุดก็ได้ชาเขียวจากต้นอ่อนข้าวหอม ซึ่งทำได้โดย ตัดใบจากต้นอ่อนข้าวหอมพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105, ปทุมธานี 1 และสกลนคร อายุ 14-21 วัน นำมาล้างทำความสะอาด ผึ่งลมให้แห้ง นำมาหั่นตามขวางขนาดยาว 1-2 เซนติเมตร แล้วเอาไปคั่วในกระทะด้วยไฟอ่อนๆ หรืออบที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส จนกระทั่งใบข้าวแห้งและมีน้ำหนักคงที่ ก็จะได้ชาเขียวจากใบต้นอ่อนข้าวหอมน้ำชาเขียวจากต้นอ่อนข้าวหอมไม่มีรสฝาดเหมือนชาจีน แต่จะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของข้าวหอม
สำหรับปริมาณวิตามินและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายนักวิจัย พบว่า ในชาเขียวจากต้นอ่อนข้าวหอมมีวิตามินซี 4.42-6.60 มิลลิกรัม/100 กรัม วิตามินอี 4.18-5.34 มิลลิกรัม/100 กรัม คลอโรฟิลล์ 7.68-8.69 มิลลิกรัม/100 กรัม และเบต้ากลูแคน 4.01-4.16 มิลลิกรัม/100 กรัม
ถึงแม้ว่าจะเป็นชาวเขียวสัญชาติไทย แต่คุณประโยชน์ไม่แพ้ชาติใดในโลก สามารถแจกแจงได้ดังนี้ วิตามินซีมีคุณสมบัติช่วยสร้างภูมิต้านทานแก่ร่างกายช่วยเสริมสร้างผิวหนัง ฟัน และหลอดเลือด วิตามินอีจำเป็นต่อการเจริญและพัฒนาของเซลล์ประสาท ป้องกันการแตกสลายของเยื่อหุ้มเซลล์ ทั้งวิตามินซีและอียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ซึ่งช่วยลดและป้องกันการเกิดมะเร็งอีกด้วย คลอโรฟิลล์ มีคุณสมบัติช่วยปลดปล่อยธาตุที่มีประโยชน์ต่อขบวนการเมตาบอลิซึมในร่างกาย ช่วยกระตุ้นการเจริญและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ส่วนเบต้ากลูแคนมีคุณสมบัติช่วยลดโคเลสเตอรอล ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด และลดความดันโลหิต
อ้างอิง :http://ch3.sanook.com/12208/คลีนิกเกษตร-ชาเขียว
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที