-
16 GB WiFi ราคา 16,500 บาท
-
32 GB WiFi ราคา 19,500 บาท
-
64 GB WiFi ราคา 22,500 บาท
-
16 GB 4G+3G ราคา 20,500 บาท
-
32 GB 4G+3G ราคา 23,500 บาท
-
64 GB 4G+3G ราคา 26,500 บาท
พร้อมจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการตามตัวแทนจำหน่ายอย่าง iStudio ประมาณเดือนธันาคมนี้
คุณสมบัติหลักๆ ที่น่าสนใจก็จะประกอบไปด้วย
ประสิทธิภาพของ iPad 4
สเปกที่ใช้นั้น เรียกได้ว่าถอดแบบมาจาก iPad 3 แทบจะทั้งหมด ยกเว้นแต่ในส่วนของ ชิปประมวลผล Apple A6X ความเร็ว 1 GHz Dual Core และแรม RAM ขนาด 1 GB
ความแตกต่างระหว่าง iPad 3 และ iPad 4 ที่ค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะความเร็วในการเปิดใช้งานแอพ ซึ่งทั้งนี้ก็เป็นเพราะประสิทธิภาพของชิป Apple A6X นั่นเอง ทำให้สามารถเรียกใช้งานแอพได้เร็วทันใจกว่าเดิมมาก ส่งผลให้สามารถเรียกได้เลยว่าเป็นอุปกรณ์ iDevice ที่มีประสิทธิภาพความแรงสูงสุด (จากการทดสอบ GeekBench) สูงที่สุด โดยมีคะแนนสูงกว่า iPad 3 อยู่สองเท่านิดๆ เลยทีเดียว และยังสูงกว่า iPhone 5 อยู่ประมาณ 10% ด้วย ด้านของระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่จากการทดสอบ โดยการเปิดวิดีโอแบบวนลูป, เชื่อมต่อ WiFi และควบคุมระดับความสว่างจอ พบว่าสามารถใช้งานได้กว่า 11 ชั่วโมง 8 นาที (รุ่น WiFi)
จอแสดงผล
หน้าจอที่ใช้ใน iPad 4 เป็นจอ Retina Display ที่ใช้พาเนล IPS ขนาด 9.7 นิ้ว ความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล โดยมีค่าความหนาแน่นของเม็ดพิกเซลอยู่ที่ 264 ppi ที่แน่นอนว่าเหมือนกันกับ iPad 3 โดยสูงกว่าใน iPad 2 ซึ่งมีแค่ 132 ppi และ iPad Mini ที่มีอยู่เพียง 163 ppi เท่านั้น ทำให้ภาพที่เราเห็นบน iPad 4 จะมีความเนียนกว่าบน iPad 2 และ iPad Mini อยู่พอสมควร ตามมาตรฐานของ Retina Display ส่งผลให้ประสบการณ์ใช้งานที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง
กล้องถ่ายภาพ
กล้องหน้า (FaceTime) นั้นไม่ได้ให้ภาพที่ดีเท่ากับกล้องหน้าของ iPhone 5 หรือของ iPod Touch Gen 5 ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะจอที่มีขนาดและความละเอียดสูงกว่ามาก (ความละเอียดของจออยู่ที่สามล้านกว่าพิกเซล ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียดเพียง 1.2 ล้านพิกเซล) ทำให้ภาพถ่ายที่ปรากฏบนจอมันดูไม่สวยงามเท่ากับใน iPhone 5 (ความละเอียดจอแค่เจ็ดแสนกว่าพิกเซล) แต่ทั้งนี้ก็นับว่าดีกว่า iPad รุ่นเก่าอยู่มาก ส่วนกล้องหลังนั้นให้ภาพขึ้นจอที่คมชัดดี ไม่ต่างจากเก่ามากนัก
การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
ตัวของ iPad 4 นั้น มีให้เลือกทั้งรุ่น WiFi และ WiFi+cellular ซึ่งส่วนของ cellular นั้นก็รองรับการเชื่อมต่อ 4G LTE ด้วย เช่นเดียวกับ iPad 3, iPad 4 และ iPhone 5 ส่วนของ WiFi นั้น รองรับการเชื่อมต่อมาตรฐาน 802.11a/b/g/n ซึ่งตัวของมาตรฐาน n นั้น รองรับการใช้งานทั้งคลื่นความถี่ 2.4 GHz (คลื่นที่ใช้งานทั่วไป) และความถี่ 5 GHz (เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ) ซึ่งที่ความถี่ 5 GHz จะทำให้สามารถใช้งาน WiFi ได้ที่ความเร็วสูงกว่า 2.4 GHz ด้วย แต่ทั้งนี้ตัวกระจายสัญญาณ เช่น WiFi Router หรือ Access Point ต้องรองรับการปล่อยคลื่นที่ 5 GHz ด้วย
บอดี้และรูปร่างตัวเครื่อง
ตัวเครื่อง iPad 4 นั้น เรียกได้ว่าเกือบที่จะเหมือน iPad 3 แทบทุกอย่าง (แน่นอนว่ามีให้เลือก 2 สีเช่นเดิม คือ ดำและขาว) ทั้งในเรื่องความบางที่บางเพียง 9.4 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักเพียง 652 กรัมเท่านั้น ส่วนดีไซน์ก็ยังคงรูปแบบไว้เช่นเดิม ส่งผลให้การจังถือและใช้งานยังทำได้โดยง่าย ใครที่เคยใช้ iPad 3 อยู่แล้วก็จะสามารถใช้งานได้เหมือนเดิมทุกๆ อย่าง ถึงว่าหากเทียบกับ iPad 2 ที่มีน้ำหนักเบากว่าก็ตามที ซึ่งข้อสังเกตที่ทำให้ iPad 4 ยังมีความบางและน้ำหนักนี้อยู่ก็คือแบตเตอรี่ ที่จำเป็นต้องใช้ถึง 11666 mAh ในการใช้งานเพื่อให้ได้ทั้งประสิทธิภาพและการจัดการพลังงานที่ดี
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดก็คือ พอร์ตเชื่อมต่อที่เปลี่ยนมาใช้เป็นพอร์ต Lightning และอนาคตของตัวเครื่องที่จะต้องมีนักพัฒนาสร้างแอพขึ้นมารองรับแน่นอน ดังนั้นซื้อ iPad 4 ไปก็น่าจะสามารถเก็บไว้ใช้ได้อีกนาน (ถ้าไม่โดนเปลี่ยนรุ่นเร็วเกินไป) โดยเหตุผลที่ Apple รีบส่ง iPad 4 ออกมาทำตลาดก็น่าจะเป็นเพราะความต้องการขายสินค้าในช่วงวันหยุดที่จะมาถึง นี้ และอีกอย่างคือต้องการเร่งขยายฐานผู้ใช้งานพอร์ต Lightning เพิ่มขึ้นโดยเร็วเท่านั้นเอง
http://notebookspec.com/ipad-4/135420/
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที